ภาคที่ 5 ตอนที่ 19 สันติสุขและความก้าวหน้าไม่ใช่แก่นสำคัญของข้า

กาลหนึ่งเคยมีเขากระบี่วิญญาณ

ตอนที่ 19 สันติสุขและความก้าวหน้าไม่ใช่แก่นสำคัญของข้า โดย Ink Stone_Fantasy

          ทันทีที่ค่ายกลห้าเขากำราบเส้นโลหิตปรากฏขึ้นต่อหน้าของเสี่ยวชี สีหน้าของหญิงสาวก็แปรเปลี่ยนเป็นเคร่งขรึม อีกทั้งในใจยังหนักอึ้ง

          อาเซี่ยผู้นั้นไม่ธรรมดาจริงๆ เขาเลือกเวลาได้อย่างเหมาะเหม็ง ตอนที่เด็กสาวหูแมวใช้วิธีเดียวกันนี้กับนาง เสี่ยวชีใช้วิชา ‘มนุษย์ทุกคนล้วนเท่าเทียม’ และออกมาจากสถานการณ์ตรงหน้าอย่างง่ายดาย ทว่าก็ยากที่นางจะสร้างปาฏิหาริย์เดิมได้อีกครั้ง

          นั่นเพราะเมื่อหนึ่งวันก่อนนางเพิ่งสร้างปาฏิหาริย์ที่ไม่ได้หวือหวาขึ้น ด้วยความที่นางเข้าใจเรื่องการกลับชาติมาเกิดอย่างถ่องแท้ นางจึงทำให้ดวงตาข้างขวาที่กลายเป็นหินของเด็กสาวหูแมวกลับมามีชีวิตเหมือนใหม่ได้ หากเป็นผู้บำเพ็ญเซียนตบะขั้นกำเนิดใหม่ การทำสิ่งนี้ถือเป็นเรื่องง่ายๆ ทว่าตอนนี้นางเป็นเพียงร่างอวตารตบะขั้นสร้างแกน มันจึงทำให้นางบาดเจ็บหนักไม่น้อย ตอนนี้พลังอิทธิฤทธิ์ของนางและพลังของไม้เท้านักบวชยังไม่ฟื้นกลับมาสู่สภาพที่ดีที่สุด

          ทว่าเรื่องพวกนี้ก็ไม่ได้สำคัญอะไร

          ทั้งที่เสี่ยวชีก็ตระหนักถึงสถานการณ์ของตัวเองเป็นอย่างดี นางรู้ว่านางไม่ได้อยู่ในสภาพที่ดีที่สุด แต่ก็ยังเดินสำรวจบนเขาอวิ๋นไท่ตามคำชี้แนะของเด็กสาวหูแมว นั่นเพราะเสี่ยวชีคิดอยู่ตลอดว่าเด็กสาวผู้นี้จะไม่คิดร้ายต่อนาง

          แน่นอนว่าแมวไม่ใช่สัตว์ที่ซื่อสัตย์ภักดี ทว่ากับการโดนหลู่เกียรติจากเจ้านายที่เลวทราม กับสำนักที่นางไม่อาจกลับไปได้ เด็กสาวหูแมวมีตัวเลือกมากนักหรือ นี่ไม่ใช่เรื่องของความซื่อสัตย์ภักดี แต่เป็นมูลค่าของตัวเลือก ไม่ต้องเอ่ยก็รู้ว่าหากมีข้อผิดพลาดเกิดขึ้น นางย่อมเป็นคนแรกที่ต้องได้รับผลกรรม! เสี่ยวชีสัญญากับตัวเองว่าจะฆ่าอีกฝ่ายเป็นคนแรก และมันก็ไม่ใช่สัญญาที่นางจะรักษาไม่ได้

          ทว่าอย่างไรก็ตามเหตุการณ์ตรงหน้าก็ยังเกิดขึ้นอยู่ดี บางทีเด็กสาวหูแมวอาจไม่ใช่ตัวตั้งตัวตีในการวางกับดักครั้งนี้ แต่หากจะบอกว่านางไม่รู้เรื่องนี้ ใครกันจะยอมเชื่อ ทันทีที่เด็กสาวหูแมวปล่อยให้พวกนางเดินเข้ามาในกับดักโดยไม่พูดไม่จา เด็กนั่นก็ได้กลายเป็นศัตรูของพวกนางเรียบร้อยแล้ว

          และการจัดการกับศัตรู แน่นอนว่าคือการทำให้อีกฝ่ายตายอย่างรวดเร็วและเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อยที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้

          ไม่ต้องรอเสียงยุจากหวังลู่ ไม้เท้าในมือของเสี่ยวชีก็ถูกหมุนกลับด้านอย่างรวดเร็ว แสงแห่งเซนที่ปรากฏออกมาไม่ได้ละมุนและเปี่ยมด้วยความกรุณาอีกต่อไป แต่กลับเจิดจ้ารุนแรง พลังไม้เท้านี้มากพอที่จะทะลวงภูเขา และเสี่ยวชีก็ร่ายอาคมจำกัดวงไปที่เด็กสาวหูแมวโดยเฉพาะ นั่นทำให้อีกฝ่ายไม่อาจหนีการจู่โจม และยืนนิ่งอยู่กับที่ขณะที่พลังจากไม้เท้าพุ่งกระแทกศีรษะของนางอย่างแรง

          ตู้ม!

          ศีรษะเล็กๆ ที่งดงามนั่นระเบิดออกมาในทันที ชิ้นส่วนขนาดใหญ่สีแดงและสีขาวกระจัดกระจายไปทั่ว ร่างของเด็กสาวถูกพลังรุนแรงเข้าปะทะและเหวี่ยงออกไปไกลหลายร้อยลี้ ฝังลึกเข้าไปในผนังหินของค่ายกลห้าเขากำราบเส้นโลหิต ทันใดนั้นรูที่ปรากฏขึ้นก็ถูกหินที่ร่วงหล่นลงมาเพราะแรงกระแทกของซากศพกลับไปปิดสนิทดังเดิม ทำให้มันกลายเป็นหลุมศพที่เกิดขึ้นตามธรรมชาติ

          เสี่ยวชีสังหารเด็กสาวหูแมวด้วยไม้เท้านักบวช แต่อารมณ์ของนางก็ยังหดหู่ถึงขีดสุด แม้นางจะมีชื่อทางศาสนาว่านักบวชเนื้อสุนัข และเคยพรากชีวิตของสิ่งมีชีวิตมานับพันนับหมื่นแล้ว แต่นั่นไม่ได้แปลว่านางเป็นพวกกระหายเลือด ตรงข้ามนางไม่เพียงพยายามควบคุมตัวเองไม่ให้เข่นฆ่าผู้อื่น นางยังรู้สึกรังเกียจที่จะทำเช่นนั้นอีกด้วย และความรู้สึกนี้ของนางก็จริงจังยิ่งกว่าพวกที่อ้างตัวว่าเป็นผู้บำเพ็ญเซียนที่เที่ยงธรรมด้วยซ้ำ

          นางต้องอดกลั้นต่อความรู้สึกชิงชังตัวเองที่ปรากฏขึ้นในหัวใจก่อนที่จะโจมตีออกไป และแม้พลังของไม้เท้าจะรวดเร็วและรุนแรง แต่มันยังทำให้นางรู้สึกวุ่นวายใจด้วย และเพราะความวุ่นวายใจนี้เองที่ทำให้นางเผลอมองข้ามสิ่งหนึ่งไป

          “คุณหนูเจ็ด เมื่อครู่ท่านดูกังวล แต่ท่านเป็นผู้เชี่ยวชาญที่ห้าวหาญยิ่งนัก”

คำพูดที่ถูกเวลาของหวังลู่ทำให้เสี่ยวชีหลุดออกจากความรู้สึกสับสน ทันใดนั้นนางก็นึกขึ้นได้ว่าเมื่อครู่นางเพิ่งใช้ไม้เท้าระเบิดศีรษะของเด็กสาวหูแมวไป ไม้เท้าจึงย่อมต้องเปื้อนเลือด ตอนที่นางเผลอเหม่ออยู่นั้นนางลืมนึกถือข้อนี้ไป ตอนนี้…ไม้เท้านักบวชของนางกลับเต็มไปด้วยลำแสงสกปรก ในนาทีสุดท้ายนั่นเอง เลือดของเด็กสาวหูแมวก็ทำให้ไม้เท้านักบวชมัวหมองลงอย่างไม่ได้ตั้งใจ

          อาวุธศักดิ์สิทธิ์ที่แปดเปื้อนสิ่งสกปรก แม้ไม่รุนแรงพอจะทำลายอาวุธได้ แต่ก็จะใช้การไม่ได้ไปอีกระยะหนึ่ง ดังนั้นนางจึงไม่สามารถใช้อาคม ‘มนุษย์ทุกคนล้วนเท่าเทียม’ และประตูเพื่อหลบหนีค่ายกลห้าเขากำราบเส้นโลหิตได้อีก และเมื่อไม่มีอาวุธศักดิ์สิทธิ์ของเสี่ยวชี หวังลู่กับหลิวหลีจะรอดพ้นจากปรมาจารย์ตบะขั้นสร้างแกนไปได้อย่างไร

          ทว่าเสี่ยวชีกลับดูไม่กังวลสักนิด นั่นเพราะหวังลู่เองก็ยังคงสงบนิ่ง และถ้าเขาไม่มีอาการหวาดวิตก นางก็ไม่จำเป็นต้องหวาดกลัวเช่นกัน

          ทว่าจากนั้นนางกลับได้ยินเสียงหวังลู่ถอนหายใจ “คุณหนูเจ็ด ตอนที่ท่านและอาจารย์ของข้าออกท่องเที่ยวในอาณาจักรเก้าแคว้นด้วยกัน ท่านโดนนางฉี่ใส่รึไง”

          เสี่ยวชีนิ่งเงียบอยู่นานและตัดสินใจไม่ตอบ

          “บอกตามตรง บางครั้งท่านก็โง่มาก เมื่อกี้หลังจากที่ท่านใช้ไม้เท้าระเบิดหัวนาง ท่านควรคิดหาทางหนีทีไล่ไว้ด้วย ท่านกระแทกร่างของนางไปไกลจนร่างเข้าไปฝังอยู่ในหิน ท่านคิดว่านางจะคลานออกมาแล้วกล่าวขอบคุณหรือ นางน่าจะคลานออกมาและหัวเราะเยาะที่ท่านไร้สมองมากกว่า”

          พูดจบ หวังลู่ก็ชี้ไปยังจุดหนึ่ง มันคือรอยแยกระหว่างก้อนหินและผนัง ก้อนหินเหล่านั้นขยับเล็กน้อย และมือเล็กๆ เปื้อนเลือดก็โผล่ออกมา อึดใจถัดมา เด็กสาวหูแมวหลิงเยียนก็ตะเกียกตะกายออกมาจากช่องนั้น ร่างของนางเต็มไปด้วยฝุ่นและเลือด แต่นางกลับฉีกยิ้มกว้าง มันไม่เพียงเป็นรอยยิ้มยินดีที่รอดชีวิตมาได้ แต่ก็เป็นรอยยิ้มเย้ยหยันอย่างที่หวังลู่กล่าวไว้เช่นกัน

“นี่มัน…” เสี่ยวชีขมวดคิ้วและหวนนึกไปถึงตอนที่นางใช้ไม้เท้าระเบิดศีรษะของเด็กสาวหูแมว แม้นางจะใช้พลังเท่าที่มีอยู่ ‘ในขณะนั้น’ แต่ก็ไม่ได้มีความปรานีแม้แต่น้อย เห็นชัดๆ ว่าศีรษะของเด็กสาวหูแมวระเบิดจริงๆ แต่นี่…

          “ท่านยังไม่เข้าใจอีกหรือ มันคือแมวเก้าชีวิต ท่านว่าแมวภูตที่บำเพ็ญเซียนและเปลี่ยนร่างได้อย่างสมบูรณ์แล้วจะถูกฆ่าตายง่ายๆ หรือ นางย่อมฟื้นคืนชีพแน่ๆ แม้ตามความสามารถของนาง การฟื้นคืนชีพอาจทำให้นางต้องเสียขั้นตบะไปหลายระดับ… แต่หากท่านฆ่านางตรงหน้า ตอนที่นางคืนชีพขึ้นมาอีกครั้ง นางก็จะถูกฆ่าตายอีกรอบ แต่ตอนนี้นางรอดชีวิตกลับมาแล้วจริงๆ”

          ทั้งสองฝ่ายอยู่ห่างกันหลายลี้ ซึ่งไม่ห่างจากผู้บำเพ็ญเซียนตบะขั้นสร้างแกนมากนัก แต่ภายใต้ขอบเขตของค่ายกลห้าเขากำราบเส้นโลหิต ระยะห่างที่ว่านี้ก็ไม่ต่างจากคูน้ำกว้าง ดังนั้นเสี่ยวชีจึงไม่คิดจะเสียพลังอิทธิฤทธิ์เพื่อไล่ตาม นางเพียงมองหลิงเยียนที่ยืดเส้นยืดสายอย่างสบายใจและเหาะขึ้นไปบนฟ้าเพื่ออยู่ข้างๆ อาเซี่ย

          “เจ้าทำได้ดีมาก”

          อาเซี่ยไม่ลืมรอยยิ้มหยันที่เป็นเครื่องหมายการค้าของตน

          “ข้าจะให้รางวัลเจ้าสักหน่อย”

          เมื่อได้ยินคำว่ารางวัล ร่างทั้งร่างของหลิงเยียนก็สั่นเทิ้มราวกับนึกถึงเหตุการณ์สยองขวัญบางอย่างได้ และเพราะนางยังไม่ฟื้นคืนพลังอย่างเต็มที่ ผิวที่ซีดเผือดจึงดูอัปลักษณ์ยิ่งกว่าทุกที

          ทว่าอึดใจถัดมา อาเซี่ยก็ก้มลงมาจุมพิตที่หูทั้งสองข้างซึ่งไวต่อสัมผัสของหลิงเยียน จากนั้นก็ตบศีรษะของเด็กสาวหูแมวเบาๆ

          การกระทำที่ดูอ่อนโยนและนุ่มนวลลดความกลัวที่มีในใจเด็กสาวหูแมวลงได้เล็กน้อย หากสิ่งที่เรียกว่ารางวัลคือสิ่งนี้ เช่นนั้นแล้ว…

          โชคร้ายที่จากนั้นอาเซี่ยก็กล่าวขึ้น “เอาละ ที่เหลือก็เรียบร้อยไปแล้ว ไว้ข้าจะชดเชยให้อีกแล้วกัน”

          ความกลัวกลับเข้ามาในจิตใจของนางอีกครั้ง อารมณ์ที่ขึ้นๆ ลงๆ นี้ทำให้นางรู้สึกอยากอาเจียนออกมาเป็นเลือด

          เมื่อเห็นดังนั้น เสี่ยวชีก็อดอยากจะอาเจียนออกมาไม่ได้ “เจ้านั่นมันโรคจิต” มันยากที่นางจะยอมรับ “นางบอกอยู่ชัดๆ ว่าไม่อยากจะกลับไป และข้ารู้ว่านางไม่ได้โกหก แต่ทำไม… ทำไมนางถึงเลือกที่จะกลับไปหาเจ้าคนโรคจิตนั่นและเลือกเส้นทางที่จะทำลายนางในภายหลัง”

          หวังลู่เหยียดยิ้ม “นางไม่ได้อยากกลับไป แต่นางก็ไม่ได้พูดว่านางอยากอยู่ฝ่ายเรา เราสองคนเคยคิดร้ายกับนางมาก่อน ดังนั้นจึงไม่ใช่นางเองหรอกที่เลือกเส้นทางนี้”

          เสี่ยวชีเงียบไปในทันที

          “เจ้าเดาเอาไว้แล้วหรือว่าเหตุการณ์จะเป็นแบบนี้”

          “หากข้าเดาไว้แล้ว ข้าย่อมต้องฆ่านางแมวสามแซ่นั้นไปตั้งนานแล้ว” หวังลู่กล่าวด้วยน้ำเสียงหดหู่ “ข้าแค่ไม่เชื่อนาง ก็เลยระวังตัวอยู่ตลอด ตอนนี้ในเมื่อสถานการณ์มาถึงขั้นนี้ มันก็เป็นการยืนยันว่าสิ่งที่ข้ากังวลนั้นไม่ผิดพลาด แต่เรื่องราวจะกระจ่างก็ต่อเมื่อมันเกิดขึ้นแล้วเท่านั้นล่ะ”

          “พูดอีกอย่างก็คือ เจ้าไม่มีทางรับมือเรื่องนี้ได้?”

          ทว่าก่อนที่หวังลู่จะทันตอบ อาเซี่ยที่ค้างตัวอยู่กลางอากาศก็ไม่อาจทนกับความเงียบเหงาของตนเองได้อีก

          “เจอกันอีกจนได้”

          หวังลู่ยิ้มและเอ่ยขึ้น “เจ้ายังมาดีอยู่อีกไหม”

          อาเซี่ยพยักหน้าอย่างแข็งขัน “ยังมาดีอยู่ และข้อเรียกร้องก็ยังเหมือนเดิม ข้าหวังว่าเราจะทิ้งความเป็นปรปักษ์ในอดีต และเปลี่ยนเจตนาร้ายให้เป็นมิตรภาพ”

          เสี่ยวชีอดถามขึ้นไม่ได้ “เจ้าอุตส่าห์สร้างฉากเรียกน้ำตานี้ขึ้นมาแต่กลับใช้ทำนองเพลงเดิมเนี่ยนะ”

          อาเซี่ยยิ้ม “ถือเป็นการตอกย้ำความจริงใจของข้า จนถึงจุดนี้แล้ว ข้าก็ยังไม่ต้องการที่จะประมือกับพวกเจ้า ถ้าพวกเจ้ารับปากว่าจะไม่เข้ามาแทรกแซงภารกิจจับสัตว์เซียนของเรา ข้าก็จะยกเลิกค่ายกลห้าเขากำราบเส้นโลหิตทันที และจากนั้นข้ากับหลิงเยียนจะส่งพวกเจ้าออกจากเขาอวิ๋นไท่อย่างดี นอกจากนั้นเรายังจะให้ของกำนัลติดไม้ติดมือไปด้วย สิ่งเหล่านี้น่าจะแสดงความจริงใจยิ่งกว่าที่พวกเราพยายามก่อนหน้านี้เสียอีก”

          เสี่ยวชีถาม “ข้าไม่เห็นสักนิดว่าพวกเจ้าจะได้ประโยชน์อะไร”

          อาเซี่ยกล่าว “ประโยชน์ของข้าก็คือ เมื่อเทียบกับการต้องต่อสู้กัน หากปัญหาสามารถแก้ไขได้โดยสันติ สิ่งที่ต้องจ่ายก็จะลดน้อยลง ข้าเชื่อว่าพวกเจ้าคงได้ยินจากหลิงเยียนแล้วว่า สำนักเชี่ยวชาญสรรพสัตว์สาขาเขาอวิ๋นไท่ของเรามีผู้อาวุโสตบะขั้นสร้างแกนสิบคน และผู้อาวุโสสูงสุดตบะขั้นเปลี่ยนวิญญาณหนึ่งคน ความแข็งแกร่งโดยรวมของเรานั้นสูงกว่าพวกเจ้ารวมกันถึงสิบเท่า ทว่าความแข็งแกร่งสิบเท่าที่ว่านี้ไม่อาจเอามาลงกับพวกเจ้าสามคนทั้งหมด เมื่อเทียบกับสัตว์เซียนภูตจันทราที่ไปมาไม่ทิ้งร่องรอย… ขออภัยที่ต้องพูดตามตรง แขกที่ไม่ได้รับเชิญสามคนเช่นพวกเจ้าก็ไม่ต่างอะไรกับละครสลับฉากเล็กๆ มันแปลว่าเราไม่ต้องการและไม่อาจเสียกำลังให้กับพวกเจ้ามากนัก เมื่อเป็นเช่นนี้ แทนที่จะต้องสู้ในศึกที่เสียเปล่ากันทั้งสองฝ่าย สันติสุขและความปรองดองจึงถือเป็นรางวัลที่ดีกว่ามาก คำอธิบายเช่นนี้พวกเจ้าพึงพอใจหรือเปล่า”

          เสี่ยวชีเงียบไปพักหนึ่ง จากนั้นก็ถามขึ้น “คนที่ชื่อเล่ยเจิ้นอะไรนั่น เขายอมรับวิธีนี้ของเจ้าหรือ”

          “หึๆๆ อาวุโสสูงสุดเป็นคนอารมณ์ร้อน แน่นอนว่าเขาย่อมไม่ชอบวิธี ‘พะเน้าพะนอ’ ที่ข้าทำอยู่แน่ ตามคำสั่งของเขา เราควรพยายามจับพวกเจ้าทั้งสามไปให้เขา หรือหากทำเช่นนั้นไม่ได้ก็ให้ฆ่าทิ้งเสีย ทำยังไงก็ได้ให้เรื่องมันจบ”

          เสี่ยวชีถาม “แล้วเจ้ากล้าฝืนคำสั่งเขาหรือ”

          “อืม การสูญเสียมหาศาลที่กระทบต่อภารกิจหลักของเรานั้นเลวร้ายกว่าการขัดขืนคำสั่งเสียอีก หากวิธีการอื่นช่วยให้ได้ผลลัพธ์ที่ดีกว่า ข้าเชื่อว่าผู้อาวุโสสูงสุดย่อมยอมให้กับการดื้อแพ่งเล็กๆ น้อยๆ ของข้าแน่”

“แน่ละว่าคนที่ควบคุมตัวเองได้ย่อมทำงานใหญ่ได้” เสี่ยวชีอดโอดโอยออกมาไม่ได้ หากลำพังมีเพียงนาง นางคงยอมรับข้อเสนอนี้ไปแล้ว เมื่อเทียบกับการสูญเสียเลือดเนื้อในศึกที่เสียเปล่ากันทั้งสองฝ่าย แม้ท่าทีของอาเซี่ยจะน่าเดียดฉันท์เพียงใด แต่หากว่ากันตามเหตุผล มันก็เป็นทางออกที่ดีกว่า

          เรื่องความเชื่อใจระหว่างสองฝ่ายนั้นไม่ใช่ปัญหา

          ปัญหาเดียวก็คือ หวังลู่จะยอมรับทางออกนี้หรือไม่

          เมื่อเทียบกับการออกสั่งสมประสบการณ์ในอาณาจักรเก้าแคว้นนานนับร้อยปีของนาง การบำเพ็ญเซียนสิบปีของเด็กคนนี้ถือว่าราบลื่นมาโดยตลอด เขาจะยอมรับวิธีเจรจาและล่าถอยง่ายๆ เช่นนี้หรือ

          “แน่นอนว่าไม่”

          แม้นางจะไม่รู้สึกประหลาดใจกับคำตอบของหวังลู่ แต่คำอธิบายของเขากลับทำให้นางอึ้งไม่น้อย

          “ข้าต้องขอบคุณคุณหนูเจ็ดมากที่ยอมพูดเรื่องไร้สาระกับเขาตั้งมากตั้งมาย แต่เมื่อฟังคำพูดเหล่านั้นแล้ว ข้าก็มั่นใจอยู่เรื่องหนึ่ง ซึ่งเป็นเรื่องที่ทำให้ข้าตัดสินใจแบบนี้”

          “ซึ่งคือเรื่องอะไร”

          “เจ้าคนฝึกสัตว์คนนี้เป็นแค่เศษสวะ”

          “และข้าไม่มีวันยอมรับข้อเสนอจากเศษสวะแน่”