ภาคที่ 5 ตอนที่ 18 แมวไม่ใช่พวกที่ซื่อสัตย์

กาลหนึ่งเคยมีเขากระบี่วิญญาณ

ตอนที่ 18 แมวไม่ใช่พวกที่ซื่อสัตย์ โดย Ink Stone_Fantasy

          เสี่ยวชี หวังลู่และหลิวหลี ทั้งสามคนร่วมมือกันจนทำให้อาเซี่ยต้องทิ้งมือขวาของเขาเอาไว้ ชายวัยกลางคนใจอำมหิตต้องพ่ายแพ้และกลับไปมือเปล่า ทั้งสามได้รับชัยชนะอย่างงดงาม

          หากจะพูดถึงฉากเมื่อครู่นี้ด้วยคำไม่กี่คำ นั่นน่าจะเหมาะสมแล้ว

          แต่เมื่ออยู่ต่อหน้าของรางวัลแห่งชัยชนะ ทั้งสามกลับนิ่งงันไป

          เมื่อถูกคนทั้งสามล้อมรอบ หลิงเยียนที่หนวดและแก้มสั่นเทาไม่หยุดก็ไม่อาจซ่อนความเครียดและความหวาดกลัวภายในจิตใจได้ ตบะของนางซึ่งอยู่ในขั้นสร้างแกนช่วงปลายนั้นสูงสุดท่ามกลางคนทั้งหมด แม้แต่กับเสี่ยวชีก็ยังนับว่าสูงกว่ามาก ยิ่งไม่ต้องพูดถึงหลิวหลีกับหวังลู่เลย พูดให้ถูกก็คือ นางสามารถเอาชนะคนทั้งสามรวมกันได้ง่ายๆ ทว่านางรู้ดีว่าหากคิดลงมือ ฝ่ายตรงข้ามทั้งสามก็อาจเอาชีวิตนางได้เพียงแค่หนึ่งหรือสองกระบวนท่าเท่านั้น

          แม้พวกเขาจะยังอยู่ในอาณาเขตของเขาอวิ๋นไท่ แต่ในเมื่อไม่มีค่ายกลพร้อมใช้งานที่นางคุ้นเคย ไม่มีค่ายกลสกัดพลังปราณฟ้าดิน รวมถึงกองกำลังสำรองของเขาอวิ๋นไท่ นางก็ไม่คิดว่าแค่ตบะขั้นที่สูงกว่าเพียงอย่างเดียวจะเอาชนะนักบวชเซียนเนื้อสุนัขได้ นี่ยังไม่รวมถึงผู้บำเพ็ญเซียนตบะขั้นสร้างฐานที่แข็งแกร่งเกินกว่าท่าทางภายนอกทั้งสองคนอีก

          และที่สำคัญกว่านั้นคือ เมื่ออยู่ต่อหน้าหญิงสาวที่ใส่ตาขวาคืนให้นาง หลิงเยียนกลับมีความรู้สึกที่หลากหลาย ก่อนหน้านี้ที่นางคว้ามือของอาเซี่ยช้าเกินไปบางทีก็อาจมาจากเหตุผลเดียวกันนี้ก็ได้ ทว่าเมื่อต้องเผชิญกับสถานการณ์ที่เป็นอยู่ในตอนนี้ เด็กสาวก็ค่อนข้างสับสนไม่น้อยว่าควรทำอย่างไรต่อไป

          “แล้วยังไงต่อ” เสี่ยวชีคิดไม่ออก นางจึงโยนให้หวังลู่ผู้ที่มีแผนการอยู่ตลอดเวลาเป็นคนคิด

          หวังลู่กอดอกและมองเด็กสาวหูแมวอายุราวสิบสองสิบสามปีที่อยู่ตรงหน้า

          “ทำอนาจารนางดีไหม”

หากเป็นคนอื่นพูด เสี่ยวชีคงด่าอีกฝ่ายแล้วว่าพ่นอะไรไร้สาระออกมา ทว่าอีกฝ่ายเป็นหวังลู่…

          เสี่ยวชียกไม้เท้านักบวชของนางขึ้นและพูดกึ่งเตือน “นี่ พูดอะไรอย่างนั้น ยังไงซะเจ้าก็เป็นคนมีชื่อเสียงดีแถมพื้นเพก็ดี”

          หวังลู่กล่าวตอบ “ถ้างั้นคงต้องทำอนาจารแบบเงียบๆ ซะแล้ว”

          “…”

          “นางเป็นหนึ่งในผู้อาวุโสสาขาหนึ่งของสำนักเชี่ยวชาญสรรพสัตว์ แม้จะดูอ่อนแอ แต่ก็เก่งกาจกว่าคนก่อนหน้าที่ชื่อว่าฉือโฮ่วกล้ามลั่นขี้แพ้อะไรนั่น บางทีเราอาจได้เบาะแสสำคัญจากนางก็ได้ ดังนั้นข้าว่าเราควรใช้วิธีอนาจารเพื่อทรมานและซักไซ้นางดีกว่า”

          เสี่ยวชีถามกลับ “ข้าเข้าใจส่วนทรมานและซักไซ้นั่น แต่ทำไมเจ้าต้องเน้นคำว่าอนาจารด้วย”

          หวังลู่ตอบอย่างพาซื่อ “กับเด็กสาวที่ดูเหมือนอายุสิบสองสิบสามเช่นนี้ ไม่ว่าเราจะทำอะไรกับนาง มันก็ดูไม่ปกติทั้งนั้น ดังนั้นก็ควรไปให้สุดและหยุดที่อนาจารเสียเลย!”

          “…สมแล้วที่เป็นศิษย์ของหวังอู่ โรคจิตอย่างเปิดเผยและตรงไปตรงมาดี”

          โชคดีที่เด็กสาวหูแมวยอมสารภาพเหตุการณ์ต่างๆ อย่างละเอียดเป็นขั้นเป็นตอนโดยที่ไม่ต้องพึ่งวิธีวิตถารของหวังลู่

          ที่หลิงเยียนยอมเช่นนี้ คำอธิบายของนางก็ฟังดูน่าเชื่อถือเป็นอย่างยิ่ง

          “ข้ากลับไปไม่ได้และไม่อยากกลับไปแล้ว”

          เมื่อเห็นวิธีที่อาเซี่ยควักลูกตาของหลิงเยียนออกมา ก็ไม่ยากที่จะเข้าใจว่าทำไมนางถึงคิดตีตัวออกห่าง อย่างไรเสียแมวก็ไม่ได้ขึ้นชื่อเรื่องซื่อสัตย์ภักดีอยู่แล้ว

          หลังจากเปลี่ยนฝ่าย หลิงเยียนก็ดูจะหมดหวังกับชีวิต หลายอย่างที่หวังลู่ไม่ได้ถาม นางก็สารภาพออกมาเอง รวมถึงแผนการสำคัญที่ราชาพยัคฆ์และผู้อาวุโสคนอื่นๆ กำลังดำเนินการอยู่ ซึ่งก็คือข้อมูลเกี่ยวกับสัตว์เซียนภูตจันทรานั่นเอง

“เรารู้ข้อมูลของสัตว์เซียนตัวนี้ครั้งแรกตอนที่ยังอยู่ในแคว้นทักษิณสวรรค์ แม้เราจะไม่ค่อยมีโชคเรื่องดวง แต่ก็มักจะกระตือรือร้นกับข้อมูลที่เกี่ยวกับสัตว์ภูต ดังนั้นในอาณาจักรเก้าแคว้นช่วงหลังๆ มานี้ เหตุการณ์ใดก็ตามที่เกี่ยวข้องกับสัตว์ภูตล้ำค่ามักมีสำนักเชี่ยวชาญสรรพสัตว์เข้าไปเกี่ยวข้องทั้งนั้น”

          ส่วนนี้ตรงตามที่หวังลู่และคนอื่นๆ คิด ดังนั้นพวกเขาจึงพยักหน้าเห็นด้วย

          “แต่หากเป็นเรื่องสัตว์เซียน ในอาณาจักรเก้าแคว้นนี้ร้อยปีจะเกิดขึ้นสักหน ดังนั้นแม้แต่ในสำนักเองก็มีการโต้แย้งกันไม่น้อย ข้อแรกคือสถานที่ที่สัตว์เซียนอาจปรากฏตัวไม่ได้อยู่ในพื้นที่อิทธิพลของสำนักเชี่ยวชาญสรรพสัตว์ และข้อสอง ยังไงซะมันก็ต้องอาศัยโชคชะตาเป็นหลัก เรื่องนี้จึงไม่เพียงพอที่จะดึงดูดความสนใจของทุกคน ดังนั้นมีเพียงคนกลุ่มเล็กๆ ที่มีความเห็นสุดโต่งซึ่งนำโดยราชาพยัคฆ์เล่ยเจิ้นที่นำคนใต้บังคับบัญชาออกจากแคว้นทักษิณสวรรค์มา เพื่อการนี้เราต้องละทิ้งสิ่งต่างๆ ไปมหาศาล และเป็นไปไม่ได้ที่จะกลับไปยังฐานที่มั่นหลักในแคว้นทักษิณสวรรค์ได้อีก แต่หลังจากที่มายังเขาอวิ๋นไท่ เราก็พบว่าสิ่งที่เดิมพันไว้นั้นคุ้มค่า เพราะอย่างน้อยก็มีร่องรอยของสัตว์เซียนให้เห็นบนเขาอวิ๋นไท่ หนำซ้ำมันยังเป็นตัวอ่อนของสัตว์เซียนที่มีมูลค่ามหาศาลอีกด้วย”

          “เดี๋ยวก่อนนะ” เสี่ยวชีขัดขึ้น “ว่าแต่สัตว์เซียนที่ว่ามันเป็นตัวอะไรกันแน่”

          “หากเรายังจับมันไม่ได้ ก็ไม่สามารถระบุชนิดที่แน่นอนได้ แต่จากเบาะแสที่เรารวบรวมมา สัตว์เซียนที่ว่าน่าจะเป็นชนิดที่ต่างจากทั่วๆ ไป มันคือวิญญาณมงคลของทุกสรรพชีวิตที่อยู่บนเขาอวิ๋นไท่ และเพราะมันกำเนิดจากการเปลี่ยนสภาพของพลังอิทธิฤทธิ์ของแสงจันทร์ ดังนั้นเราจึงเรียกมันว่าสัตว์เซียนภูตจันทรา”

          หวังลู่หวนนึกถึงสิ่งที่เขาเคยเรียนในหอเถิงอวิ๋น ซึ่งช่วยยืนยันคำพูดของหลิงเยียนได้เป็นอย่างดี

          สัตว์เซียนในอาณาจักรเก้าแคว้นไม่ได้เกิดจากผลผลิตของสิ่งมีชีวิตทั่วไป แต่เป็นผลผลิตจากความรุ่งเรืองของสภาพแวดล้อม และเพราะมันมีลักษณะบางประการของสัตว์ภูต ผู้คนจึงจัดประเภทให้มันเป็นสัตว์เซียน ตัวอย่างเช่น ก่อนกลียุคเคยมีสัตว์เซียนที่ถือกำเนิดจากก้อนหิน มันแข็งแกร่งผิดธรรมดา อาจหาญไม่มีใครเทียม และเพราะมีหน้าตาเหมือนวานร มันจึงได้ชื่อว่าราชาวานร

          และแม้จะไม่มีใครเคยเห็นรูปร่างหน้าตาของสัตว์เซียนที่อยู่บนเขาอวิ๋นไท่ แต่จากการที่สำนักเชี่ยวชาญสรรพสัตว์ตามรอยมันอยู่พักใหญ่ พวกเขาก็ลงความเห็นว่ามันเป็นประเภทสุนัขภูต ดังนั้นพวกเขาจึงรวบรวมสุนัขภูตนับพันๆ ตัวเพื่อทำปลอกคอที่มีไว้สำหรับสุนัขภูตเท่านั้น ด้วยความหวังที่ว่ามันจะบีบให้สัตว์เซียนตัวนี้ออกจากที่ซ่อนได้

          แน่นอนว่าหลังจากตามรอยสัตว์เซียนที่ว่านี่มากว่าหนึ่งปี สำนักเชี่ยวชาญสรรพสัตว์ย่อมรวบรวมข้อมูลได้ไม่น้อย แม้ข้อมูลนี้จะยังไม่เพียงพอให้คนพวกนั้นจับสัตว์เซียนภูตจันทราได้ แต่เมื่อมันมาตกอยู่ในมือของหวังลู่ บางทีมันอาจจะมีประโยชน์มหาศาลก็ได้

          “เท่าที่ข้าจำได้ นี่คือสถานที่ที่ผู้อาวุโสทั้งหลายคาดว่าสัตว์เซียนภูตจันทราน่าจะอยู่”

          หลิงเยียนพูดพลางยกมือเล็กและขาวของนางขึ้นมาวาดแผนที่โปร่งแสงของเขาอวิ๋นไท่ เส้นสีแดงในแผนที่นั้นแสดงสถานที่ที่สัตว์เซียนภูตจันทราน่าจะอาศัยอยู่

          “แม้มันจะเป็นสัตว์เซียน แต่ก็ยังเป็นจิตวิญญาณของทุกสรรพสิ่ง และในเมื่อมันเป็นสิ่งมีชีวิต มันย่อมต้องอยู่ในกฎของธรรมชาติ ตั้งแต่ที่มันถือกำเนิดมาจนถึงตอนนี้ไม่น่าจะเกินสิบปี ดังนั้นต่อให้มันเป็นสัตว์เซียน แต่ความแข็งแกร่งของมันก็ยังมีจำกัด บวกกับการที่มันเหน็ดเหนื่อยจากการถูกไล่ตามเมื่อปีก่อน ทำให้มันไม่มีเวลาฝึกตน ดังนั้นจึงย่อมไม่มีพลังที่จะเปลี่ยนร่าง ถ้าจะว่ากันตามมาตราฐานของการบำเพ็ญเซียนแล้ว พลังของมันก็น่าจะต่ำกว่าขั้นสร้างแกน”

          ขณะพูดท่าทีน่าเกรงขามของผู้บำเพ็ญเซียนตบะขั้นสร้างแกนช่วงปลายของนางก็ค่อยๆ กลับมาทีละน้อย เมื่อนางพูดถึงสัตว์เซียนภูตจันทรา มันฟังดูราวกับนางกำลังพูดถึงสัตว์ที่ถูกขังอยู่ในกรงโดยไม่ได้ใส่ใจเรื่องระดับขั้นแม้แต่น้อย ว่าจริงๆ แล้วสัตว์เซียนภูตจันทรานั้นมีระดับขั้นที่สูงส่งกว่าแมวภูตอย่างนางมากนัก

          “เพราะว่าขาดความแข็งแกร่ง สิ่งที่มันทำได้จึงมีจำกัด แม้มันจะมีพลังวิเศษที่ทำให้หลบหลีจากการตามล่าของเราได้ แต่ภายในหนึ่งปีเราได้เรียนรู้รูปแบบของมันไม่น้อย ภายในรัศมีหนึ่งพันลี้รอบเขาอวิ๋นไท่ มีหลายที่ที่มีความเป็นไปได้ว่ามันจะปรากฏตัว”

หวังลู่ถามขึ้นขณะจ้องมองแผนที่อย่างละเอียด “แนวเส้นฮวงจุ้ยของพลังปราณฟ้าดิน?”หวังลู่สรุปโดยไม่รอให้หลิงเยียนยืนยัน “อืม น่าจะเป็นเช่นนั้น เจ้าสัตว์นี่คือจิต

วิญญาณของทุกสรรพสิ่งบนเขาอวิ๋นไท่ ดังนั้นมันจึงไปจากเขาแห่งนี้ไม่ได้จนกว่าจะเปลี่ยนร่างอย่างสมบูรณ์ ไม่ต่างจากการที่ทารกในครรภ์ที่ไม่อาจแยกจากสายสะดือของมารดา แต่ถึงมันจะมีตบะเพียงขั้นพิสุทธิ์ มันก็สามารถปั่นหัวผู้อาวุโสตบะขั้นสร้างแกนสองคนและตบะขั้นกำเนิดใหม่อีกหนึ่งคนของสำนักเจ้าได้ เห็นชัดว่านั่นเพราะเขาอวิ๋นไท่ช่วยมันไว้ แต่ความช่วยเหลือนี้สามารถตามรอยได้ ซึ่งจากการวิเคราะห์แล้วก็น่าจะเป็นเส้นฮวงจุ้ยของพลังปราณฟ้าดินนั่นแหละ ในจุดนี้ทางฝั่งเจ้าเองก็น่าจะรู้อยู่แล้ว แต่ในเมื่อเขาอวิ๋นไท่เป็นสถานที่ที่สามารถให้กำเนิดสัตว์เซียนได้ ดังนั้นการเปลี่ยนแปลงของเส้นฮวงจุ้ยจึงพิสดารพันลึก ซึ่งพวกคนเถื่อนฝึกสัตว์อย่างพวกเจ้าไม่อาจเข้าใจได้ ดังนั้นแม้จะรู้ว่าที่อยู่ของสัตว์เซียนตัวนี้เกี่ยวข้องกับเส้นฮวงจุ้ย แต่พวกเจ้าก็ยังจับมันไม่ได้ พวกเจ้าทำได้เพียงประเมินสถานที่คร่าวๆ แล้วลองเสี่ยงดวงเท่านั้น”

          หวังลู่กล่าวจากนั้นก็เงยหน้าขึ้นมองเด็กสาวหูแมวหลิงเยียนที่ทำหน้าตกตะลึง “ใช่หรือเปล่า”

          หลิงเยียนประหลาดใจยิ่งนัก ข้อสรุปดังกล่าวถูกต้องตรงเผง แต่กว่าที่สำนักเชี่ยวชาญสรรพสัตว์จะได้ข้อสรุปดังกล่าว เหล่าผู้อาวุโสหลายคนต้องเค้นสมองอย่างหนักหลายต่อหลายวัน ไม่น่าเชื่อว่าผู้บำเพ็ญเซียนหนุ่มน้อยคนนี้จะคุ้นเคยกับเรื่องเส้นฮวงจุ้ยและสัตว์เซียนดี แถมยังสรุปทุกอย่างออกมาได้อย่างง่ายดาย

          แน่นอนว่าในสายตาของหวังลู่ อาการประหลาดใจของหลิงเยียนก็ไม่ต่างจากการรู้ตื่นของสัตว์ทึ่มๆ ที่ไม่อาจเข้าใจโลกของนักเรียนดีเด่นได้

“เอาละ ในเมื่อได้ผลพร้อมแบบนี้…” หลังจากศึกษาแผนที่อย่างถี่ถ้วนแล้ว หวังลู่ก็มั่นใจอยู่หลายจุด เขาเอ่ยขึ้น “เราลองใช้โอกาสนี้เสี่ยงโชคกันเถอะ”

          ฉวนโจ่วฮวาเป็นสัตว์กึ่งเซียนที่มีความสามารถในการสะท้อนเสียงกับสัตว์เซียนภูตจันทรา ดังนั้นแม้อีกฝั่งจะจงใจหลบเลี่ยง แต่หากพวกเขาศึกษาเส้นทางของสัตว์เซียนภูตจันทราเป็นอย่างดี ก็สามารถซุ่มรออยู่บนเส้นทางที่มันจะต้องผ่านได้ และเมื่อบวกรวมกับความสามารถในการสะท้อนเสียง การหาตัวมันก็ไม่น่าจะเป็นเรื่องยากอะไร

——

          เมื่อหวังลู่เลือกสถานที่ได้ พวกเขาก็ปรับเปลี่ยนเส้นทางและออกเดินทางในทันใด

          รัศมีหนึ่งพันลี้รอบเขาอวิ๋นไท่ไม่ถือว่ากว้างใหญ่ แต่การเดินทางบนพื้นที่ที่สำนักเชี่ยวชาญสรรพสัตว์ดูแลมามากกว่าหนึ่งปีทำให้พวกเขาไม่อาจเร่งความเร็วได้

          เสี่ยวชีถือไม้เท้านักบวชเดินนำหน้า พรางตัวเองและเหล่าผู้ที่เดินตามหลังด้วยอาคมวิเศษ ระหว่างนั้นนางก็พูดคุยกับหวังลู่ไปด้วย

          เสี่ยวชีถามออกมาด้วยท่าทีสบายๆ “ว่าแต่เจ้าเชื่อคำพูดของเด็กแมวนั่นจริงหรือ ข้านึกว่าเจ้าจะไม่เชื่อใครง่ายๆ เสียอีก”

          หวังลู่หันกลับไปมองหลิวหลีที่กำลังคุยกับเด็กสาวหูแมว เขาถามเล่นลิ้น “หากนางโกหก นางจะรับผิดชอบในสิ่งที่ทำไหวหรือ”

          “อืม หากมีอะไรขึ้นมา ข้ารับปากเลยว่านางได้ตายคนแรกแน่” เสี่ยวชีพยักเพยิดราวกับกำลังพูดเรื่องเรื่อยเปื่อยอยู่

          หวังลู่กล่าว “อีกอย่างยังไงซะนางก็เป็นถึงผู้บำเพ็ญเซียนตบะขั้นสร้างแกนช่วงปลาย มันจะไม่ลงทุนเกินไปหน่อยหรือหากพวกเขาจะใช้นางเป็นเหยื่อล่อ”

          เสี่ยวชีเห็นด้วย “นางพูดเองว่ากลับไปไม่ได้แล้ว และจะไม่กลับไปอีก… ข้ารู้สึกได้ว่านางไม่ได้โกหก”

          “การที่นางเปลี่ยนข้างได้ง่ายๆ ก็เห็นได้ชัดแล้วว่านิสัยนางไม่ใช่พวกซื่อสัตย์ แต่การที่สามารถทำให้นางเผยนิสัยที่แท้จริงออกมาได้ อาเซี่ยคนนั้นย่อมไม่ธรรมดาแน่”

          ใบหน้าของเสี่ยวชีหมองลง “คนผู้นั้นไม่ธรรมดา”

          “มันก็เห็นอยู่ชัดๆ เป็นแค่คนฝึกสัตว์ตบะขั้นสร้างแกนระดับกลาง แต่สามารถอัดตูดแมวสาวตบะขั้นสร้างแก่นช่วงปลายได้ เขาจะธรรมดาได้ยังไง”

          “…เรื่องอัดตูดอะไรนั่นเจ้าก็แค่พูดพล่อยออกมาใช่ไหม”

          “ไม่ ข้าหมายความตามนั้นจริงๆ” หวังลู่กล่าว เงียบปากและมองไปรอบๆ “เราใกล้จะถึงแล้ว”

          เสี่ยวชีฉงน “ใกล้จะถึงแล้ว?”

          ทันทีที่พูดจบ เสี่ยวชีก็รู้สึกว่าพื้นดินสั่นไหวเล็กน้อย ผ่านไปพักหนึ่งแรงสั่นก็ค่อยๆ รุนแรงขึ้น ยอดเขารอบด้านทะลึ่งพรวดขึ้นอย่างรวดเร็วจนกลายเป็นหน้าผาสูงชัน ไม่นานนักพวกเขาก็ถูกล้อมด้วยผาชันที่มีรูปร่างคล้ายกรง

          เป็นครั้งที่สองแล้วที่พวกเขาต้องเผชิญกับค่ายกลห้าเขากำราบเส้นโลหิต

          หวังลู่ไม่ใส่ใจจะมองอาเซี่ยที่อยู่บนยอดเขาแม้แต่น้อย เขาเพียงกล่าวกับเสี่ยวชี “ถึงเวลาที่ท่านจะทำให้นางแมวสามแซ่ [1] นั่นได้ตายคนแรกแล้ว”

 ……………………………………

 [1] คนสามแซ่ หมายถึง ลิโป้ ตัวละครจากเรื่องสามก๊กที่มีพ่อผู้ให้กำเนิดและพ่อบุญธรรมรวมทั้งหมดสามคน ซึ่งลิโป้ก็เป็นคนคนชั่วช้าถึงขนาดฆ่าพ่อบุญธรรมทั้งสองตาย