มหายุทธ์ สะท้านภพ บทที่ 609
“หลัวซิว ข้าจะบรรลุมหาจักรพรรดิยุทธ์หรือไม่ก็ต้องขึ้นอยู่กับเจ้าแล้วล่ะ” แววตาของเจ้ายุทธจักรอัคคีหวูชิวส่องประกายด้วยความตื่นเต้น

ในตอนแรกเจ้ายุทธจักรอัคคีหวูชิวยังเชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่งกับคำพยากรณ์ของธิดาเทพหยุนไห่ แต่เมื่อเห็นไพ่เด็ดที่หลัวซิวแสดงออกมาหลายอย่างแล้ว เขาก็เริ่มเชื่อ

เนื่องจากเรื่องนี้เกี่ยวข้องถึงโอกาสในการบรรลุมหาจักรพรรดิยุทธ์ของตน แม้ว่าคนที่หนักแน่นเช่นเขาในใจก็ยังมีความรู้สึกไหวหวั่นเช่นกัน

ก่อนที่จะเริ่มประลอง เมื่อกล่าวถึงชื่อของหลัวซิว ในเขตเล็กๆ อย่างแดนใต้นี้ก็ถือว่าพอมีชื่อเสียงอยู่บ้าง

แต่หากเปรียบเทียบกับกองกำลังใหญ่ชั้นหนึ่งพวกนั้นแล้ว ผู้ที่เพิ่งมีชื่อเสียงในภายหลังไม่สามารถเทียบเคียงได้

สำหรับคนที่มาจากแดนศักดิ์สิทธิ์แต่ละที่นั้น จักรพรรดิยุทธ์ที่มีอายุราวๆ 20 ปีเป็นสิ่งที่หาได้ไม่ยากนัก หรือแม้กระทั่งอัจริยะที่ไร้เทียมทานที่ไปถึงแดนมกุฎยุทธ์ก็มีให้เห็น

แต่การประลองครั้งนี้กลับแตกต่างกันออกไป เพราะเป็นการรวมลูกหลานของอัจฉริยบุคคลที่มาจากแดนศักดิ์สิทธิ์สี่แดนของโลกแสงดาว ในบรรดาอัจฉริยบุคคลมากมายเหล่านี้ ฝีมือของต่อสู้ของหลัวซิวสามารถดึงดูดความสนใจของพวกเขาได้

แต่ไม่มีคาดคิดว่าเขาจะถึงขั้นเอาชนะองค์กุมารจากสระบัวแท้อย่างเหลียนเอ๋อร์ได้ แถมยังใช้ฝ่ามือทำลายแสงบัวป้องร่างที่ได้ชื่อว่าเป็นการป้องกันที่แข็งแกร่งที่สุดยากจะหาผู้ทำลายได้ในแดนเดียวกัน

คนรอบๆ ต่างพากันวิพากษ์วิจารณ์ขึ้นมา คนไม่น้อยต่างรู้สึกว่า รายชื่อทั้งยี่สิบกว่าคนของแดนศักดิ์สิทธิ์ชั้นล่างนี้ หนุ่มชุดดำที่มีนามว่าหลัวซิวนั้นเป็นผู้ที่สามารถแสดงความโดดเด่นออกมาได้

ส่วนจะขึ้นไปถึงหนึ่งในสิบหรือไม่นั้น จะต้องเอาชนะคู่ต่อสู้คนสุดท้ายจากกลุ่มสามก่อน

ผู้แข็งแกร่งแห่งโลกยุทธ์ที่มาชมการประลองจำนวนมาก คนที่เข้าใจความเป็นมาของหลัวซิวมากที่สุดไม่ใช่เจ้ายุทธจักรอัคคีหวูชิว แต่เป็นเทวีหานยู่

เรื่องราวเกี่ยวกับหลัวซิวในอดีต เทวีหานยู่ได้ข้อมูลมาจากลู่เมิ่งเหยา เนื่องจากในตอนนั้นหลัวซิวเคยฝึกตนอยู่ที่สำนักยุทธ์ในเมืองชิงหยุนมาถึงสามปี และในตอนนั้นลู่เมิ่งเหยาเป็นอาจารย์อยู่ที่สำนักยุทธ์นั้น

ตามที่เทวีหานยู่รู้มา ตอนที่หลัวซิวอายุได้สิบสามปี เขาก็อยู่ในแดนกลั่นร่างแล้ว ตอนนี้เขาอายุได้ยี่สิบเอ็ดปี ภายในระยะเวลาสั้นๆ เพียงแปดปี เขาก็สามารถฝึกตนจนถึงขั้นจักรพรรดิยุทธ์ได้ แม้ว่าจะสามารถขนานนามได้ว่าอัจฉริยะขั้นสุดยอด แต่ก็ไม่นับว่าเป็นอัจฉริยะไร้เทียมทาน

แต่มาตรฐานในการตัดสินอัจฉริยะนั้น ไม่สามารถใช้การฝึกตนมาตัดสินได้ แต่ต้องใช้พลังในการต่อสู้เป็นตัวตัดสิน

“เด็กหนุ่มผู้นี้เติบโตเร็วจนน่ากลัว” แววตาของเทวีหานยู่เปล่งประกายขึ้นมา ลู่เมิ่งเหยาสามารถฝึกฝนจนถึงแดนมกุฎยุทธ์ได้ภายในระยะเวลาสั้นๆ เป็นเพราะว่านางได้รับเงื่อนไขและทรัพยากรพิเศษต่างๆ

แล้วหลัวซิวล่ะ หลายปีก่อนหน้านี้ เขาเป็นคนไร้ที่พึ่งพิง กล่าวได้ว่าเขาอาศัยเพียงโชคชะตาของตัวเองและค่อยๆ เติบใหญ่มาจนถึงขั้นนี้ได้

เจ้ายุทธจักรอัคคีหวูชิวสังเกตเห็นสีหน้าที่แปรเปลี่ยนไปของเทวีหานยู่จึงอดไม่ได้ที่จะยิ้มพลางกล่าวถาม “เทวีเจ้ายุทธจักรหยกนาราพาอัจฉริยบุคคลคนหนึ่งไปจากแดนใต้ของข้า ไม่ทราบว่ายังต้องการขุดกำแพงอีกหรือไม่”

“เจ้ายุทธจักรอัคคีกล่าวล้อเล่นแล้ว ข้ากำลังคิดว่า หลัวซิวกับลู่เมิ่งเหยานั้นเหมาะสมกันมาก”

สิ่งที่ทำให้เจ้ายุทธจักรอัคคีหวูชิวคาดไม่ถึงก็คือ การที่เทวีหานยู่กล่าวคำพูดเช่นนี้ออกมาอย่างกะทันหัน

และเมื่อต้วนฉือเทียนได้ยินคำพูดเช่นนี้ เขาจึงหรี่ตาลง ลู่เมิ่งเหยาเป็นลูกศิษย์ที่เทวีหานยู่สอนมากับมือของตัวเอง หลัวซิวคืออัจฉริยะที่หวูซิวแนะนำให้มาลงประลองครั้งนี้ หากทั้งสองครองคู่กัน นั่นไม่เท่ากับว่าเจ้ายุทธจักรอัคคีหวูซิวกับเทวีหานยู่เป็นพันธมิตรกันหรอกหรือ

ในฐานะที่เป็นสี่เจ้ายุทธจักรแห่งแดนศักดิ์สิทธิ์ ระหว่างพวกเขาย่อมต้องแก่งแย่งกันเป็นธรรมดา ต้วนฉือเทียนเหล่ไปมองเจ้ายุทธจักรมรณาเซียวโป๋และอดไม่ได้ที่จะแอบยิ้ม

เขาคิดอยากจะเป็นพันธมิตรกับคนผู้นี้ แต่เจ้ายุทธจักรมรณาเซียวโป๋มีนิสัยแปลกประหลาด เขาอยากจะเป็นพันธมิตรด้วย แต่เกรงว่าคนคนนี้จะไม่อยากจะมิตรกับใครเลยแม้แต่ตัวเองด้วยซ้ำ