ตอนที่ 58 - 2 ล้วนเป็นหายนะที่น้ำแกงไก่นำมาให้

เขาสั่งให้ข้าเป็นราชินี [ส่วนที่ 1]

แม่นางน้อยคนนี้ไม่ยอมรับแขก ถูกนางฉวยมือช่วยไว้ที่หอนางโลมในตอนแรก ตอนนางถูกกงอิ้นลักพาตัวไป เด็กสาวคนนี้ติดตามมาอย่างนิ่งเงียบไม่พูดไม่จาเช่นกัน เทียบกับชุ่ยเจี่ยที่เอะอะโวยวายอีกทั้งจิ้งอวิ๋นที่อ่อนแอแล้ว นางนิ่งเงียบพูดน้อย นัยน์ตาไม่กลมโตแต่ดำขลับคู่หนึ่งดุจสระน้ำลึก ลอยล่องอยู่ข้างหลังผู้คนคล้ายเงาเงาหนึ่งตั้งแต่เริ่มจนจบ ถึงขนาดว่าเดินทางมาด้วยกันนานขนาดนี้ แต่กลับไม่มีความรู้สึกในการดำรงอยู่ตั้งแต่เริ่มจนจบ 

 

 

แต่จิ่งเหิงปัวจำไม่กี่ประโยคที่นางเคยกล่าวไว้เล็กน้อยได้ ทุกประโยคต่างคล้ายคำพูดเลื่อนลอย ทุกประโยคต่างมีเหตุผล ทุกประโยคต่างมีความว่องไวเฉียบแหลมปานคำพยากรณ์ชนิดหนึ่ง 

 

 

นี่ก็เป็นเด็กมหัศจรรย์คนหนึ่งนะ 

 

 

เกี้ยวหามคันหนึ่งถูกแบกมาให้องค์ราชินีได้ใช้สอย มิฉะนั้นจนฟ้ามืดนางคงยังเดินไม่ทั่วตำหนักอวี้จ้าว 

 

 

จิ่งเหิงปัวมองเกี้ยวหามนั้นแวบหนึ่งแล้วขมวดหัวคิ้วขึ้น 

 

 

“นี่คือเกี้ยวหรือ หรือว่าโลงศพ” นางวิพากษ์วิจารณ์อย่างไม่เกรงใจว่า “เหตุใดต้องคลุมผ้าดำ ไม่ใช่ไปพิธีฝังศพเสียหน่อย เหตุใดต้องทำหลังคาทึบหนาขนาดนี้ ทั้งร้อนทั้งไม่ระบายลม เกี้ยวที่ข้าเคยเห็นในโทรทัศน์ไม่ได้มีหลังคาเพิ่มเข้าไปเลย เอาออก!” 

 

 

“ทูลฝ่าบาท” ขุนนางหญิงที่ติดตามนางเอ่ยอย่างลำบากใจว่า “พระองค์ทรงเป็นราชินี มิอาจให้ผู้อื่นมองโฉมพระพักตร์ด้วยความเคารพศรัทธาตามใจชอบ หากจักแก้ไขของใช้ส่วนพระองค์ที่ทรงใช้สอยไม่ว่าอย่างไร ต้องเรียนให้ราชครูเห็นชอบ กองพิธีการจะเป็นผู้จัดทำรายงานให้เสนาบดีทั้งหกร่วมกันลงนามเห็นชอบ…” 

 

 

“ข้ามีอำนาจกระทำการหรือไม่” จิ่งเหิงปัวขัดจังหวะวาจาของนาง 

 

 

ขุนนางหญิงไม่เข้าใจต้นสายปลายเหตุ กะพริบตาเอ่ยว่า “มีแน่นอนเพคะ…” 

 

 

“ข้ามีอำนาจบัญชาองครักษ์หรือไม่” 

 

 

“มีเพคะ” 

 

 

“ข้าเป็นราชินี ยามข้ากระทำการเรื่องใดด้วยตนเอง พวกเจ้ามีหน้าที่ช่วยเหลือใช่หรือไม่” 

 

 

“นี่เป็นเรื่องที่ต้องกระทำเพคะ ฝ่าบาท” 

 

 

“ดีมาก” จิ่งเหิงปัวงอนิ้วมือครั้งหนึ่ง ชี้ไปยังมีดคาดเอวขององครักษ์ผู้หนึ่ง เอ่ยว่า “มีดของเจ้างดงามยิ่งนัก ขอยืมดูหน่อยสิ” 

 

 

ใบหน้าขององครักษ์แดงซ่าน ชูมีดของเขาขึ้นอย่างเป็นเกียรติอย่างยิ่ง แลยอมรับสายตาอิจฉาของผู้อื่น 

 

 

จิ่งเหิงปัวรับมีดมากระหวัดกวัดแกว่งด้วยท่าทางยิ้มแย้มปรีดา ท่วงท่าน่าหวาดเสียวยวดยิ่ง ทุกคนอกสั่นขวัญแขวน 

 

 

“ฝ่าบาท ช้าหน่อย ช้าหน่อย…” 

 

 

“เป็นอย่างไร เป็นอย่างไร ทางนี้ ทางนั้น” จิ่งเหิงปัวแกว่งไปแกว่งมา ฟันเข้าไปในเสาฝั่งหนึ่งของเกี้ยวหามดัง “ฉับ” ครั้งหนึ่ง 

 

 

ฝูงชนที่ชี้นำห้ามปรามกันโกลาหลต่างชะงักงัน 

 

 

“ไอ้หยา พังแล้ว” จิ่งเหิงปัวหันข้างมองดู ยิ้มเห็นฟันครั้งหนึ่ง กล่าวว่า “เช่นนี้อัปลักษณ์ยิ่งนัก หามออกไปเห็นราชินีเช่นข้านี้ยังใช้เกี้ยวพังคงไร้เกียรติยศยิ่งนัก ตัดไปด้วยเสียเลยแล้วกัน” 

 

 

ไม่รอให้ทุกคนคืนสติ นางฟันลงไปดังฉับๆ ฟันมั่วซั่วบนเสาหลายต้นที่ค้ำจุนหลังคา 

 

 

“มีฐานะเป็นองครักษ์ ให้ฝ่าบาทตัดต้นไม้ด้วยตนเอง พวกเจ้าทำอะไรกันอยู่” จิ่งเหิงปัวโยนมีดคืนไป ร้องว่า “มาช่วยเหลือ!” 

 

 

องครักษ์รับมีดมาอย่างงงวย 

 

 

“อะไร คำสั่งของข้าไม่มีความหมายหรือ” จิ่งเหิงปัวยิ้มตาหยี กล่าวว่า “ยามนี้ข้าออกคำสั่ง ช่วยข้าตัดต้นไม้เหล่านี้ทิ้ง” 

 

 

“ฝ่าบาทสิ่งนี้มิใช่ต้นไม้…” 

 

 

“เดิมทีมันเป็นต้นไม้” 

 

 

… 

 

 

สุดท้ายเหล่าองครักษ์ตัด “ต้นไม้” ทิ้งอย่างเลอะเทอะเลอะเลือน 

 

 

จิ่งเหิงปัวพายงเสวี่ยปีนขึ้นไปอย่างพอใจ บิดขี้เกียจครั้งหนึ่ง เหลียวซ้ายแลขวา รู้สึกเพียงว่าสี่ด้านโปร่งลมสบายอารมณ์ยิ่งนัก 

 

 

“แบบนี้ถึงจะสบาย!” 

 

 

“ฝ่าบาท…” ขุนนางหญิงหยิบผ้าคลุมหน้าผืนหนึ่งออกมาตามสถานการณ์ที่เปลี่ยนแปลงไป เอ่ยว่า “ไม่มีหลังคาเกี้ยวแล้ว พระองค์ต้องทรงสวมผ้าคลุมพระพักตร์…” 

 

 

จิ่งเหิงปัวรับผ้าคลุมหน้ามาขยี้ในฝ่ามือสักครู่ ประสานสายตาเฝ้ารอคอยของขุนนางหญิง นำผ้าคลุมหน้าเปลี่ยนมือส่งให้ยงเสวี่ย 

 

 

“เนื้อผ้าไม่เลว” นางกล่าวว่า “นำไปทำผ้าเช็ดหน้า” 

 

 

ยงเสวี่ยรับมา ขานรับว่า “เพคะ” เบื้องลึกในดวงตาคล้ายมีรอยยิ้มกะพริบวูบ 

 

 

“ฝ่าบาท…” สีหน้าของขุนนางหญิงเดี๋ยวเขียวเดี๋ยวแดง 

 

 

“ข้ารู้” จิ่งเหิงปัวใช้มือข้างหนึ่งเท้าคางไว้ ดวงตาสุกสกาวสั่นไหว กล่าวต่อไปว่า “ราชินีมีกฎเกณฑ์มากมาย กฎเกณฑ์เหล่านี้ประเดี๋ยวคงต้องส่งขุนนางพิธีการหญิงชำนาญการมาสอนข้า ก่อนจะถึงเวลานั้น เจ้าคือขุนนางหญิงที่รับหน้าที่ทำให้ข้ามีความเข้าใจพื้นฐานต่อกฎเกณฑ์เหล่านี้ ทว่าข้าคิดว่าข้าควรจะบอกกล่าวเจ้าสักคำ เจ้าก็ดี ขุนนางพิธีการเหล่านั้นในกองพิธีการก็ดี ข้าจะไม่สนใจกฎเกณฑ์ข้อบังคับของพวกเจ้า ในอกข้าไร้ซึ่งปณิธานอันยิ่งใหญ่ เพียงหวังจะใชัชีวิตสบายๆ สักหน่อย ทว่าพวกเจ้าดันมีกฎเกณฑ์เหล่านั้น ในความเห็นของข้ามันไม่สบายเลยแม้แต่น้อย ฉะนั้น ข้าไม่สบายหรือพวกเจ้าและกฎเกณฑ์ของพวกเจ้าไม่สบาย ย่อมมีผู้หนึ่งต้องไม่สบาย เช่นนั้นพวกเจ้าไม่สบายก็พอแล้ว” 

 

 

นางยิ้มแย้มดีดนิ้วมือ เล็บสีน้ำเงินเข้มงามประณีตดีดดังกังวานประกาศแจ่มแจ้งเสียงหนึ่งว่า “มีกฎเกณฑ์มาเท่าใด ข้าทำลายเท่านั้น คอยดูละกัน” 

 

 

นางยิ้มแย้ม ประทินโฉมงามประณีต ดวงตาสุกสกาวดุจสายธาร มองแล้วไร้ซึ่งไอสังหารแม้เพียงน้อยนิด ทว่าขุนนางหญิงกลับรู้สึกว่าเล็บสีน้ำเงินเข้มนั้นทะลวงจากเบื้องหน้าไปจนถึงในดวงใจคล้ายกริชเล่มน้อยแต่ละเล่มละเล่ม 

 

 

คนบางประเภทยามปกติหยอกล้อตามใจ เอาจริงเอาจังขึ้นมายังแค่ยิ้มแย้มเชื่องช้า ทว่าในนัยน์ตาประกายพร่างพราวปานนั้นมีไอแห่งความเคร่งขรึมมิอาจล่วงเกินในตนเอง 

 

 

ขุนนางหญิงพลันนึกถึงตำนานเรื่องหนึ่งในพิธีเฉลิมฉลองรับขบวนเสด็จขึ้นมา เอ่ยกันว่าราชินีทำให้เสนาพิธีการโกรธจนล้มป่วยทั้งอย่างนั้น… 

 

 

ขุนนางหญิงถอยออกไปอย่างเงียบเชียบ แน่นอนว่านางต้องรายงานเรื่องราวในวันนี้ให้กองพิธีการทราบ 

 

 

เกี้ยวหามถูกหามขึ้นอย่างมั่นคง เคลื่อนไปข้างหน้า 

 

 

“มา พวกเรามาดูกันว่าบ้านเรือนแห่งใดเหมาะสมกับการอยู่อาศัย” จิ่งเหิงปัวเสวนาการแคว้น 

 

 

นางพบว่าพอเดินไปข้างหน้าตลอดเส้นทางจากวังบรรทมของตนเอง ภูมิประเทศตลอดทางยิ่งโล่งกว้างขึ้น ดอกไม้ใบหญ้ายิ่งน้อยลง รูปแบบบ้านเรือนสิ่งปลูกสร้างยิ่งโปร่งโล่งมากขึ้นเช่นกัน กำแพงค่อยๆ เตี้ยลง หน้าต่างค่อยๆ ใหญ่ขึ้น ไม่ได้กำแพงสูงลานตำหนักลึกให้ความรู้สึกเหมือนคุกเช่นวังบรรทมของตนเองตรงนั้นอีก 

 

 

สุดท้ายแล้วเกี้ยวหามหยุดลงหน้ากำแพงฉลุลายดอกไม้แห่งหนึ่ง จิ่งเหิงปัวมองเห็นฝูงชนที่หลั่งไหลไปมาเบื้องหน้า “จิ้งถิง” สถานที่ทำงานของกงอิ้นผ่านกำแพงดอกไม้ 

 

 

ใกล้กับจิ้งถิงมีสิ่งปลูกสร้างสามแห่ง แบ่งเป็นสวนดอกไม้ใกล้จิ้งถิง ห้องหนังสือของจิ้งถิงและที่พักอาศัยของกงอิ้น ตามความเห็นของจิ่งเหิงปัว แน่นอนว่าใกล้ที่พักอาศัยของกงอิ้นจะดีที่สุด หากห่างจากเตียงของเขาเพียงกำแพงเดียวแบบนั้นยิ่งดี ลานบ้านแห่งนั้นแม้ว่าจะใกล้กับที่พักอาศัยของกงอิ้น แต่ว่าหันหลังชนกัน หากอยากจะแอบมองจริงๆ คงต้องอ้อมไปไกล 

 

 

สุดท้ายแล้วจิ่งเหิงปัวเลือกลานบ้านแห่งหนึ่งซึ่งใกล้กับห้องหนังสือของจิ้งถิง ลานบ้านใกล้กับลานนอกและมีประตูบานหนึ่งติดกับทางหลักด้านนอกเหมือนกับห้องหนังสือของจิ้งถิง ฝั่งตรงข้ามของทางหลักก็คือสถานที่ทำงานของเหล่าขุนนางใหญ่และสถานที่อภิปรายงานราชการของหกกอง ขุนนางใหญ่บางส่วนทำงานดึกดื่นเกินไปสามารถพักค้างแรมที่ลานนอกได้ ประตูด้านหลังของกงอิ้นเปิดอยู่ตรงนั้น มีความนัยว่าสะดวกอภิปรายงานราชการตลอดเวลา 

 

 

“ที่แห่งนี้เป็นอย่างไร” จิ่งเหิงปัวมองซ้ายมองขวา ถามยงเสวี่ย 

 

 

นัยน์ตาดำขลับของเด็กหญิงคล้ายข้ามผ่านลานบ้านมองไปยังที่ห่างไกล 

 

 

“เรือนหลังใหญ่ริมน้ำ” นางเอ่ย 

 

 

จิ่งเหิงปัวจิตใจเบิกบาน รู้สึกว่าไม่มีที่ไหนเหมาะสมไปมากกว่านี้แล้ว เรือนหลังใหญ่ริมน้ำ แน่นอนว่าใกล้สระน้ำแข็งเช่นกงอิ้นนี้น่ะ 

 

 

“เช่นนั้นใช้ที่แห่งนี้แล้วกัน” นางโบกมือครั้งหนึ่ง วนเวียนรอบลานบ้านทั้งสี่ด้าน 

 

 

“เฮ้อ ขาดม้านั่งในสวน นำม้านั่งมาหน่อย” 

 

 

“เหตุใดกำแพงรั้วฝั่งนี้ทึบหนาขนาดนี้ เปลี่ยนเป็นกำแพงฉลุลายดอกไม้!” 

 

 

“ต้นไม้ดอกไม้น้อยเกินไปแล้ว เตียนโล่งเช่นนี้ รีบย้ายต้นไม้ดอกไม้มาปลูกหน่อย มิเช่นนั้นพอออกจากลานบ้านแล้วถูกแดดเผาจะข้าจะทำอย่างไร” 

 

 

เหล่าองครักษ์ถูกเรียกใช้จนยุ่งหัวหมุน รีบเร่งปลูกต้นไม้ ทุบกำแพงสร้างใหม่ โยกย้ายเครื่องเรือน บรรยากาศคึกคักกระตือรือร้น 

 

 

ในห้องหนังสือข้างจิ้งถิง กงอิ้นที่กำลังอภิปรายงานราชการกับขุุนนางใต้บัญชาพลันหยุดหัวข้อสนทนาลงแล้ว 

 

 

ทุกคนต่างเงียบงันไปชั่วครู่ ได้ยินเสียงตึงตังตึงตังแว่วมาจากข้างห้อง มองหน้ากันไปมา 

 

 

จิ้งถิงไม่นับว่าเป็นพระราชวังที่สวยหรูที่สุดในตำหนักอวี้จ้าว ถึงขนาดเปล่าเปลี่ยวไกลโพ้นเล็กน้อย จึงได้รับนามว่าเงียบสงบสองคำนี้ ลานบ้านทุกแห่งโดยรอบไม่มีคนพักอาศัยหลายปีแล้ว ผู้ที่อภิปรายงานราชการ ณ ที่แห่งนี้เคยชินกับบรรยากาศเงียบสงบ แต่ไหนแต่ไรมาเอ่ยวาจาล้วนต้องเอ่ยเสียงเบา ยามนี้ได้ยินเสียงทุบกำแพงข้างนอก เสียงขนย้าย เสียงขุดดิน ซ้ำยังเจือด้วยเสียงหัวเราะเกียจคร้านน่าฟังของสตรี ส่งเสียงเอะอะโวยวายจนทนไม่ไหว ต่างอดจะมองไปทางกงอิ้นอย่างไม่สบายใจไม่ได้ 

 

 

ผู้ใดต่างรู้ว่าราชครูรังเกียจเสียงดังเอะอะเป็นที่สุดแล้ว 

 

 

ทว่าคราวนี้แปลกประหลาดอยู่บ้าง ท่านราชครูได้ยินเสียงเอะอะโวยวาย ยามแรกเริ่มขมวดหัวคิ้วขึ้นเช่นกัน ทว่าปลายคิ้วพลันผ่อนคลายเพียงน้อย หางตาชำเลืองไปข้างนอกเพียงครั้ง เพียงชั่วครู่จึงเคาะโต๊ะดั่งไม่มีเรื่องใดเกิดขึ้น เอ่ยว่า “เอ่ยต่อ” 

 

 

ทุกคนรู้สึกแปลกประหลาดอยู่ในใจ ไม่กล้าเมินเฉยรีบเร่งเอ่ยต่อ ในใจกลับแอบใคร่ครวญ 

 

 

มีบางคนที่ความรู้สึกไว นึกได้ว่าเมื่อครู่หางตาของราชครูชำเลืองไปข้างนอกเพียงครั้ง คล้ายว่ารัศมีโค้งตรงมุมปากนุ่มนวลโดยพลันหรือ 

 

 

ยังมีบางคนที่ความรู้สึกไวยิ่งกว่า นึกได้ว่าท่าทางของราชครูมีความเปลี่ยนแปลง คล้ายว่าด้วยเพราะได้ยินเสียงหัวเราะเสียงนั้นพอดีหรือ 

 

 

เอ๊ะ เจ้าของเสียงนั้นคือผู้ใด ลานบ้านรอบจิ้งถิงนี้ ผู้ใดกล้าย้ายเข้ามาเอะอะโวยวายขนาดนี้กัน