ทั้งสองฝ่ายต่างพุ่งเข้าโรมรัน อาศัยกำลังส่วนบุคคลที่เหนือกว่าอีกฝ่าย กองทัพของเซียวอวี๋จึงมีเปรียบอยู่บ้าง บึ้ม บึ้ม….. เปลวเพลิงสายแล้วสายเล่าถูกคาเอลปล่อยออกไปแผดเผาพวกอันเดดเป็นเถ้าถ่าน ตั้งแต่ที่ได้คทาคู่มือกลับมา ความแข็งแกร่งของบเขาก็เพิ่มขึ้นเป็นทวี แม้เวลานี้จะยังไม่บรรลุถึงระดับสมบูรณ์พร้อมเช่นอดีตกาล กระนั้นพลังระดับนี้ก็ยังจัดอยู่ในชนชั้นแนวหน้า พวกอัศวินกลุ่มภาคีอาชาเหล็กต่างมองดูพลังของคาเอลอย่างตกตะลึง เวทมนตร์ที่ปลดปล่อยโดยจอมมนตราขั้นที่หกถึงกับมีอานุภาพยิ่งใหญ่เพียงนี้ สมแล้วที่เผ่าบลัดเอลฟ์ถูกยกย่องว่าเป็นเป็นเผ่าพันธุ์เอกอุด้านเวทมนตร์ “ฮึ่ม! เจ้าพวกมนุษย์โสโครก กล้ารุกล้ำเข้ามาในดินแดนของตระกูลบารอฟ พวกเจ้ากำลังรนหาที่ตาย” จู่ๆเสียงแหบต่ำที่ราวกับดังจากขุมนรกก็สะท้อนก้องทั่วบริเวณ แผ่นดินเริ่มสั่นสะเทือน ไม่นานก็มีฝูงแมลงสาบจำนวนนับไม่ถ้วนแทรกขึ้นมาตามร่องบนพื้น พวกมันไม่ได้พุ่งเข้ามาโจมตีพวกเซียวอวี๋ในทันที หากแต่วิ่งไปรวมกลุ่มกันเป็นกลุ่มใหญ่ ฝูงแมลงสาบรวมตัวกันแน่นขนัดดุจคลื่นสมุทร แมลงสาบแต่ละตัวต่างก็ปลดปล่อยก๊าซสีเขียวออกมาคล้ายหมอกมรณะ หมอกเหล่านี้เคลื่อนตัวกระจายออกและก่อตัวขึ้นเป็นค่ายกลขนาดใหญ่ที่ดูแปลกพิสดาร “นั่นมันอะไร?” เซียวอวี๋สบถออกมาเมื่อได้เห็น ไม่ว่าสิ่งนั้นคืออะไร เพียงมองก็ทราบว่ามันต้องไม่ใช่เรื่องดี “นั่นคือเวทอันเดดที่ชั่วร้ายที่สุด ครั้งเมื่อสโคโลแมนซ์ยังเป็นโรงเรียนเวท นี่ก็เวทที่สร้างชื่อให้กับพวกมัน” เอกวินน์กล่าวเสียงเรียบ “มันมีจุดอ่อนหรือไม่?” เซียวอวี๋รีบถาม อย่างไรที่นี่ก็มีเอกวินน์อยู่ สถานการณ์คงไม่เลวร้ายสักเท่าใดกระมัง? “เวทอันเดด ที่ค้ำจุนมันอยู่ก็คือไฟวิญญาณ ตราบที่ไฟวิญญาณมอดดับไป มันก็ย่อมดับสูญตามไปด้วย” เอกวินน์จ้องมองค่ายกลเวทก่อนจะกล่าวตอบ “จะทำลายไฟวิญญาณได้อย่างไร?” เซียวอวี๋ถามต่อ “เหมือนอันเดดทั่วไป ทำลายตำแหน่งที่มีไฟวิญญาณสถิตย์อยู่ เมื่อสูญเสียสิ่งป้องกัน ไฟวิญญาณก็จะถูกทำลายได้โดยง่าย มิเช่นนั้นก็ใช้การโจมตีทางวิญญาณ ทำลายไฟวิญญาณของมันโดยตรง หากเป็นอันเดดที่ทรงพลัง ไฟวิญญาณของมันจะมีอาคมปกป้องเอาไว้ อย่างนั้นพวกเราก็ต้องทำลายกฏแล้ว” “ทำลายกฏ?” เซียวอวี๋มึน “หากทราบถึงการเรียงอักขระเวทของมัน เจ้าก็สามารถทำลายมันทิ้งด้วยเวทมนตร์” เอกวินน์เชิดหน้าตอบ “หากไม่ทราบเล่า?” เซียวอวี๋ฉีกยิ้ม “เช่นนั้นก็บดขยี้มันตรงๆ” เอกวินน์ตอบ “บัดซบ นี่จะต่างอะไรกับไม่ได้กล่าว? เจ้าจัดการมันไม่ได้หรือ เจ้าคือเอกวินน์มารดาของเมดีฟไม่ใช่หรือ? อย่าบอกนะว่าแค่นี้ก็จัดการไม่ได้?” เอกวินน์แค่นเสียงพลางถลึงตามองเซียวอวี๋ “ข้ามองไม่ออก” “มารดามันเถอะ!” เซียวอวี๋ปวดหัว ไม่ใช่ว่าพวกเขาต้องจบสิ้นอยู่ที่นี่หรอกนะ? จู่ๆอากาศโดยรอบก็เกิดการเปลี่ยนแปลง หมอกเขียวที่เบื้องหน้าคล้ายกับถูกบางสิ่งดูดกลืนเข้าไป เมื่อหมอกจางลง ปีศาจขนาดมหึมาก็ปรากฏขึ้นในสายตาของทั้งหมด เป็นปีศาจที่ประกอบขึ้นจากโครงกระดูกจนสูงกว่าสิบเมตร “ท่านย่ามัน ตัวมันใหญ่จริงๆ” เซียวอวี๋สบถ ครืน……. ในเวลาเดียวกัน แมลงสาบที่รวมตัวกันเป็นปีศาจขนาดยักษ์ก็เริ่มพุ่งมาทางเซียวอวี๋ ที่บนศีรษะของมันมีเนโครแมนเซอร์นั่งอยู่ ปีศาจยักษ์ พร้อมทั้งเนโครแมนเซอร์ สถานการณ์ตอนนี้เรียกได้ว่าตึงมือแล้ว “บัดซบ จัดการมันให้ข้า!” เซียวอวี๋ตะโกนไปในกลุ่มกองทัพของเขา คาสโซ่เป็นคนแรกที่ออกมา ด้วยความแข็งแกร่งขั้นที่หกและโล่ในมือแล้ว เขาเหมาะสมที่จะอยู่ป้องกันด้าหน้าทัพ เซียวอวี๋หันไปเรียกมังกรน้อยออกมา เขาตระหนักว่าคู่ต่อสู้นั้นไม่ธรรมดา และคาสโซ่คงจัดการไม่ไหว มังกรน้อยผละจากกลุ่มทอันเดดอย่างเสียดาย จากนั้นมันจึงนำทอนฟาออกมาพุ่งเข้าตีปีศาจยักษ์ โฮก….. เมื่อถูกตี ปีศาจยังก็มึนงง การโจมตีด้วยทอนฟาของมังกรน้อยแน่นอนว่าทรงพลังอย่างมาก “มารดามันเถอะ บิดาจะเป็นเพื่อนเล่นใหเ้เจ้าเอง!” มังกรน้อยคำราม โลหิตในกายพลุ่งพล่านอย่างตื่นเต้น ร่างกายของมันใหญ่โตเกินไปเมื่อต้องสู้กับศัตรูรูปร่างมนุษย์ มันจึงไม่สะดวกเท่าไร การได้เจอคู่ต่อสู้ที่ขนาดใกล้เคียงกันเช่นนี้ทำให้มันตื่นเต้นยินดี ครั้งก่อนมันเคยปะทะกับผู้นำกอล็อกที่ร่างกายใหญ่โต แต่อีกฝ่ายแข็งแกร่งเกินไป มันจึงพ่ายแพ้กลับมา วันนี้ อีกฝ่ายอ่อนแอกว่าผู้นำกอล็อกมาก ดังนั้นมันจึงมั่นใจยิ่ง โฮก…… ปีศาจยักษ์ที่หายมึนงงก็เดือดดาลผู้ที่โจมตีใส่มัน มันพลันอ้าปากพ่นเปลวเพลิงอันร้อนแรงออกมา มังกรน้อยที่เป็นศิษย์ก้นกุฏิของบเซียวอวี๋มีหรือจะโง่รับ ดังนั้นมันจึงม้วนตัวหลบออกไปหลายตลบ “ต้องใช้หัวเสียบ้าง เพียงความแข็งแกร่งไม่สามารถจัดการได้ทุกเรื่อง” มังกรน้อยกล่าวกับตนเอง ครืน….เปรี้ยง…… ที่อีกด้าน เวทมนตร์ของคาเอลและสายฟ้าของพวกอัศวินกริฟฟ่อนก็เริ่มพุ่งถล่มใส่ปีศาจยักษ์ ตอนนี้ กองทัพที่ติดตามเซียวอวี๋มาบึงตะวันลับกว่าครึ่งต่างก็มีระดับเกินสิบไปแล้ว การต่อสู้อันหลากหลายได้เคี่ยวกรำพวกเขาจนแข็งแกร่ง ยิ่งไปกว่านั้น ยิ่งผ่านการต่อสู้มามาก พวกนักรบออร์คก็ยิ่งแข็งแกร่งและมีระบบระเบียบ พวกมันล้วนสุ้ตามที่เซียวอวี๋เคยสอน เล็งไปที่เท้า เตะไปที่เป้า ทิ่มไปที่ดวงตา เหล่านี้ล้วนเป็นท่าโจมตีที่มีประสิทธิภาพอย่างยิ่ง คาสโซ่มองดูเหล่าไพร่พลของเซียวอวี๋ที่จัดการกับศัตรูด้วยวิธีไร้ยางอายก็อดหลั่งเหงื่อเย็นไม่ได้ คราวที่สู้กับไพร่พลเมืองเม็กที่ด้านนอก เขาเองก็ได้เห็นพฤติกรรมชั่วร้ายเหล่านี้มาบ้าง และครั้งนี้ก็ทำให้เขาเข้าใจกองทัพของเซียวอวี๋มากขึ้น กอ่นที่เขาจะมาเป็นผู้นำของกลุ่มอาชาเหล็ก เขาคิดว่าสมาชิกกลุ่มของเขาสามารถบดขยี้นักรบออร์คได้ไม่ยากและคงเกิดความาสูญเสียค่อนข้างต่ำ แต่ตอนนี้เขาก็พบแล้วว่า ความคิดนั้นช่างตื้นเขินนัก สิ่งที่นักรบออร์คของกองทัพเซียวอวี๋ยึดเป็นมั่นเหมาะคือการปรับสภาพ หากสู้ไม่ได้ พวกมันก็จะแสร้งยอมแพ้หรือหลอกล่อด้วยวิธีการต่างๆอย่างลื่นไหล ดูไปแล้วแทบไม่ต่างอะไรจากกองโจร ที่ต่างก็แค่เพียง พวกนี้เป็นกองโจรที่แข็งแกร่งจนน่ากลัว คาสโซ่อดคิดขึ้นไม่ได้ว่า ระหว่างการรักษาเกียรติกับรักษาชีวิตไพร่พลแล้ว สิ่งใดดีกว่ากัน แต่เมื่อได้เห็นจากกองทัพของเซียวอวี๋ เขาก็ทราบคำตอบ การรักษาชีวิตเอาไว้ได้ย่อมประเสิรฐที่สุดแล้ว “ฮึ่ม ไอ้พวกตัวตนชั้นต่ำ จนดับสูยไปเสีย” ปีศาจยักษ์ระเบิดพลังออกมาจนเกิดพายุพัดออกรอบทิศทาง ครืน….. พื้นดินเริ่มสั่นสะเทือนและยุบตัว จากนั้นกลุ่มก้อนดินก้ผุดขึ้นพุ่งเข้าใส่กองทัพของเซียวอวี๋จนปั่นป่วนโกลาหล “วิ่ง วิ่ง!” ทุกคนตะโกนและต่างก็รีบวิ่งกระจายเข้ามุมที่ใกล้ตัวเองที่สุด เซียวอวี๋เคยสอนการต่อสู้กับบอสใหญ่ไว้ให้พวกเขาแล้ว ต่อให้อีกฝ่ายร้ายกาจเพียงใด การโ๗มตีนั้นก็ไม่อาจครอบคลุมทุกทิศทาง ดังนั้น หากมีไหวพริบดีๆ การหลบหลีกมันก็ไม่ใช่เรื่องยาก เวทอันทรงพลังของปีศาจยักษ์ทำให้เกิดพายุก้อนหินขึ้นมา หากถูกมันดูดเข้าไปแล้วล่ะก็ แม้แต่ตัวตนขั้นที่ห้าก็ยังต้องเจ็บหนักหรือกระทั่งตกตาย ดังนัน้การวิ่งให้ไวจึงเป็นการลดอัตราสูญเสียที่ดีที่สุด เทียบกับกองทัพของเซียวอวี๋ที่รู้หน้าที่แล้ว ภาคีอาชาเหล็กและภาคีหัตถืเงินต่างก็สูญเสียมากกว่า นั่นก็เพราะพวกเขาไม่ทราบวิธีรับมือและออกวิ่งช้าเกินไป