หลังจากหนึ่งกานธูป … … สองกานธูป จนครบครึ่งชั่วยาม หลิน เซี่ยงก็ยังคงไม่ได้ยินเสียงฮ่องเต้พูดเพื่อให้เขาลุกขึ้น มือและเท้าของหลิน เซี่ยงก็กำลังสั่นขึ้น แต่เขาไม่กล้าที่จะขยับตัว เขารู้ว่าฮ่องเต้ในตอนนี้กำลังโกรธมาก แต่เขาไม่เข้าใจว่าทำไมเขาถึงโกรธเขา?

       เป็นเพราะขาของเสี่ยวหวางเย่ ที่ตอนนี้หายขาดแล้วหรือ?

       ถ้าเป็นเช่นนั้น หลังจากที่เขาทำความเคารพ แม้ว่าฮ่องเต้จะโกรธ เขาก็จะบอกให้เขาลุกขึ้น ไม่ว่าจะอย่างไรสภาพของเสี่ยวหวางเย่ ก็ไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกับเขา

       เหงื่อบนหน้าผากของหลิน เซี่ยงตกลงไปทีละหยุดๆ ยิ่งเขาใช้สมองมากเท่าไรก็ยิ่งรู้สึกสับสนมากเท่านั้น เขาไม่ได้ทำอะไรเมื่อเร็ว ๆ นี้ ฮ่องเต้ก็ไม่มีเหตุผลใดที่จะชี้ความโกรธมาที่เขา

       หลิน เซี่ยงเต็มไปด้วยความหวาดกลัว อย่างไรก็ตามในขณะที่เขากำลังคิดถึงการกระทำของเขาก่อนหน้านี้ ฮ่องเต้ก็พูดขึ้น  “ผู้นำตระกูลหลิน เจ้ารู้ถึงความผิดของเจ้าหรือไม่?”

       เขาเรียกชื่อเขาแตกต่างออกไป ฮ่องเต้ไม่ได้ซ่อนความโกรธของเขาเอาไว้ การกระทำแบบนี้ของฮ่องเต้ ทำให้หลิน เซี่ยงกลัวมากที่สุด เนื่องจากฮ่องเต้ได้ทำลายเจ้าหน้าที่ทุกครั้งที่เขามีท่าทีแบบนี้

“ฝ่าบาท กระหม่อม กระหม่อมผู้นี้ไม่ทราบ… ” หลิน เซี่ยงยังคงตื่นตัว ความคิดของเขายังคงหมุนไปรอบๆ พยายามที่จะเปิดเส้นทางให้กับตัวเอง แต่ … …

       อย่าคิดว่าเขาโง่ เขาไม่สามารถนึกถึงการตอบโต้ออกมาได้จริงๆ เพราะเขาไม่รู้เหตุผลที่ทำให้ฮ่องเต้โกรธเขาจริงๆ

       ฮ่องเต้ ไม่ต้องการตัดหลิน เซี่ยงออกไปซะทีเดียว ก่อนจะพูดขึ้นในเวลาที่เหมาะสม “เจ้าไม่รู้หรือ … เจ้าไม่ได้สอนบุตรสาวของเจ้าหรือ เจ้ากระตุ้นความไม่พอใจของเสี่ยวหวางเย่ แต่เจ้ายังกล้าที่จะปฏิเสธมัน! “

       มันเป็นเพราะหว่านถิงหรือ?

       หรือว่าเสี่ยวหวางเย่ตำหนิอะไร?

       หลิน เซี่ยงรู้สึกละอายใจและสบถอย่างต่อเนื่อง “ฝ่าบาท โปรดยกโทษให้กระหม่อมด้วยพ่ะย่ะค่ะ เหตุผลที่หว่านถิงต้องการที่จะไปที่ตำหนักเสี่ยวหวางฟู่ เป็นเพราะนางเป็นห่วงเสี่ยวหวางเฟย นางไม่มีเจตนาอื่น กระหม่อมขอให้ฝ่าบาททรงตรวจสอบเรื่องนี้ก่อนพ่ะย่ะค่ะ”

“เจ้ากำลังพูดถึงอะไร?” ฮ่องเต้มีความไม่พอใจบนใบหน้าของเขา เขาไม่เข้าใจว่าหลิน เซี่ยงกำลังพูดถึงอะไรอยู่

       อืม?

       หลิน เซี่ยงสับสนมาก เขาเงยหน้าขึ้นและถามขึ้นทันที “ฝ่าบาท พระองค์ไม่ได้ถามเกี่ยวกับการที่หว่านถิงที่ไปที่ตำหนักเสี่ยวหวางฟู่หรือพ่ะย่ะค่ะ?”

“หว่านถิงอะไร? เจิ้นกำลังถามเจ้าเกี่ยวกับทักษะทางการแพทย์ของหลิน ชูจิ่ว ” ฮ่องเต้ไม่พอใจอย่างมากกับพฤติกรรมของหลิน เซี่ยง  แต่ …

       หลิน เซี่ยงดูงงงวยมาก ก่อนจะพูดขึ้น “ชูจิ่ว มีทักษะทางการแพทย์ มันจะเป็นไปได้อย่างไรพ่ะย่ะค่ะ?” นางจะไปเรียนรู้จากใคร? กับผีสางหรือ?

“เจ้าไม่รู้หรอกหรือ” ปฏิกิริยาของหลิน เซี่ยงเป็นธรรมชาติมาก เขาดูเหมือนจะไม่โกหก

       หลิน เซี่ยงรู้สึกสับสนมากยิ่งขึ้น เขาไม่เชื่ออย่างเด็ดขาด “ชูจิ่วมีทักษะทางการแพทย์แล้วนางจะไปเล่าเรียนมาจากใครพ่ะย่ะค่ะฝาบาท?”

“เจิ้นเองก็ไม่รู้” เมื่อฮ่องเต้เห็นปฏิกิริยาของหลิน เซี่ยง เขาก็รู้ว่าเขาจะไม่ได้อะไรจากปากของเขา ความรู้ของหลิน เซี่ยงก็ยิ่งน้อยกว่าเขา

       ตอนนี้หลิน เซี่ยงรู้แล้วว่าทำไมฮ่องเต้ถึงกับโกรธ เขากลัว ดังนั้นเขาจึงคำนับลงไปอย่างต่อเนื่อง “ฝ่าบาท กระหม่อมไม่รู้ กระหม่อมโง่เขลา กระหม่อมไม่รู้ว่านางกำลังเรียนรู้วิชาแพทย์ ถ้ากระหม่อมรู้กระหม่อมจะไม่ปล่อยให้นางแต่งงานเข้าไปในตำหนักเสี่ยวหวางฟู่ แม้แต่ในความตาย กระหม่อมขอให้ฝ่าบาทโปรดเข้าพระทัย … … “

       หลิน เซี่ยงไต่ขึ้นมาในตำแหน่งปัจจุบันโดยใช้สมอง ดังนั้นจากคำพูดของฮ่องเต้ เขาเข้าใจว่าเขาไม่สามารถแยกตัวออกไปจากปัญหานี้ได้เนื่องจากเรื่องของหลิน ชูจิ่ว  

       เขาเกือบจะตายแล้ว

“ฝ่าบาท ชูจิ่วไม่ต้องการที่จะแต่งงานกับเสี่ยวหวางเย่ ในเวลานั้น และเพื่อที่จะไม่ให้มันเกิดขึ้นนางเกือบจะฆ่าตัวตาย แต่หลังจากที่นางได้แต่งงานเข้าไปในตำหนักเสี่ยวหวางฟู่ กระหม่อมก็ไม่ได้รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับนางอีก ” ใบหน้าของหลิน เซี่ยงถูกปกคลุมด้วยเลือด น้ำตา และเลือดก็ติดอยู่ที่ใบหน้าของเขา เขาดูน่าสังเวชมาก

       เพื่อที่จะปฏิเสธการแต่งงานของนาง หลิน ชูจิ่ว เกือบจะสละชีวิตของนางเอง แน่นอนว่าฮ่องเต้รู้ถึงกรณีนี้ ถ้าไม่ใช่เพราะเขาหลิน ชูจิ่วก็จะไม่แต่งงานกับเสี่ยวเทียนเหยา แต่หลังจากที่แต่งงานเข้าไปในตำหนักเสี่ยวหวางฟู่แล้ว หลิน ชูจิ่ว ก็จะเปลี่ยนไปอย่างสมบูรณ์