หมอเกากางแขนทั้งสองข้างออก ภายใต้พระจันทร์สีเลือดเขาดูราวกับจะบ้าคลั่งขึ้นอีก โซ่คืบคลานออกจากใต้เสื้อคลุมของเขา พวกมันคือการโจมตีของเขา แต่ในเวลาเดียวกัน มันก็คือเครื่องมือพันธนาการของเขา

ไม่มีใครรู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับหมอเกา เขาดูเหมือนจะพันโซ่เหล่านั้นเอาไว้รอบตัวตอนที่ยังมีสติ โซ่เหล่านี้นั้นเป็นตัวแทนของความสิ้นหวังและอารมณ์ด้านลบ และพวกมันยังเป็นตัวแทนของมนุษย์และวิญญาณที่เขาฆ่าด้วยมือตัวเอง โซ่พันธนาการทุกคนที่เขาฆ่า แต่พวกมันก็พันธนาการตัวเขาด้วยเช่นกัน

ยิ่งโซ่ผุดออกจากร่างของเขามากเท่าใด คุณหมอเกาก็ราวกับปลดล็อกผนึกแต่ละชั้นออกไป รัศมีอันตรายอย่างยิ่งยวดนั้นแผ่ออกมาจากตัวเขา เลือดสีดำหยดลงพื้น ผสมเข้ากับคำสาป และเปลี่ยนไปเป็นหลอดเลือดเป็นทาง

ปลายด้านหนึ่งขดอยู่รอบเท้าของหมอเกา และปลายอีกด้านนั้นเชื่อมอยู่กับโลกหลังประตูนี้ เสื้อคลุมสีแดงเลือดสะบัดไปตามลมและเสียงประหลาดก็ก้องออกมาจากในร่างของหมอเกา

“รอยยิ้มน่าอร่อยนั่น ฉันอยากจะยัดเขาเข้าไปในร่างของฉัน! กินเขา! กินเขา! กินเขาเลย!” เสียงของผู้หญิงคนหนึ่ง ใบหน้าหนึ่งงอกขึ้นบนร่างของหมอเกา เครื่องหน้าของเธอนั้นไม่อยู่ในที่ที่ควรจะอยู่ แต่ดวงตาของเธอนั้นเต็มไปด้วยความตะกละ

“หุบปาก!” ได้ยินเสียงเธอ หมอเกาก็แทงมือตัวเองเข้าไปในร่างตัวเองอย่างเหี้ยมโหด เลือดทะลักออกมา ไหลไปตามโซ่

“อาหารที่ฉันไม่เคยกินมาก่อน นี่เป็นสิ่งที่ฉันไม่เคยกินมาก่อน!”

“ไม่ใช่แก ฉันต่างหาก!”

“กินเขาเลย!”

หลายเสียงดังออกมาจากร่างของหมอเกา เฉินเกอตอนนี้ถึงได้เห็นว่ามีใบหน้ามากมายงอกอยู่บนร่างของหมอเกา และพวกมันก็ดูเหมือนจะเติบโตอยู่ในร่างของเขา

“หุบปาก! ฉันบอกให้พวกแกทั้งหมดหุบปาก!” เลือดไหลซึม เริ่มจากด้านใน เสื้อคลุมสีขาวของหมอเกานั้นย้อมสีเลือดมากขึ้นไปอีก ร่างกายของเขาเริ่มย่ำแย่ลงจากการทำร้ายตัวเองหลายครั้ง

คุณหมอเกาที่ดูสงบลงตั้งแต่ได้พบเฉินเกอกลับบ้าคลั่งขึ้นอีกครั้ง โซ่บนร่างของเขาดูเหมือนจะมีไว้เพื่อพันธนาการใบหน้าเหล่านั้น เมื่อโซ่หลุดออก ใบหน้าเหล่านั้นก็ใช้ร่างของเขาบอกความปรารถนาของตนออกมา

กระทั่งมีบาดแผลเช่นนี้ ผู้หญิงคนนั้นก็ยังไม่สนใจบาดแผลที่เกิดขึ้นและหัวเราะบ้าคลั่งต่อ อันที่จริง ฟางหยวนเคยเห็นใบหน้านี้มาก่อน เขาเคยเห็นใบหน้าของเธอครั้งหนึ่งในห้องที่เต็มไปด้วยรูปภาพของเหยื่อของสมาคมเล่าเรื่องผี เธอคือหนึ่งในคนที่ถูกสมาคมฆ่า

ภายใต้อิทธิพลของอารมณ์ด้านลบ เธอกลายเป็นส่วนหนึ่งของบางอย่างที่คุณหมอเกาต้องแบกรับ เสียงที่ต่างกันดังมาจากใต้เสื้อคลุมสีเลือดของหมอเกา เฉินเกอคิดไม่ออกเลยว่าหมอเกาจะดูเป็นอย่างไรภายใต้เสื้อคลุมนี่ เขามองดูจากที่ไกล ๆ ขณะที่หมอเกาทำร้ายร่างกายตัวเองด้วยมือเปล่า แต่ว่านั่นก็ดูจะไม่ได้ผลอะไรเลย

เสียงยุ เสียงกร่นด่า และเสียงสาปแช่งมากมาย คุณหมอเกาหยุดลงช้า ๆ สีหน้าของเขาค่อย ๆ เปลี่ยนไปเป็นใบหน้าบนร่างของตนเอง ริมฝีปากของเขาเปิดกว้าง ดวงตาข้างหนึ่งมีน้ำตาไหล และอีกข้างเป็นเลือดซึมออกมา และเขาก็หัวเราะบ้าคลั่งขณะพุ่งเข้าใส่เงานั่น!

เขาลงมืออย่างไม่สนใจอะไรทั้งนั้น หากเส้นผมของจางหยาขวางทางเขา เขาก็จะทึ้งมันออก

“คุมขัง เปลี่ยนรูป และกดข่ม วิญญาณที่มีคุณสมบัติพิเศษสามอย่าง” เงานั่นใช้ร่างกายของตนเองเป็นสารอาหารหล่อเลี้ยงแก่ผีทารก เด็กนั่นเติบโตต่อเนื่องจนกระทั่งถึงจุดสุดท้ายที่ร่างกายของเงาสลายลง “เมืองหลี่ว่านและอพาร์ทเม้นท์ผีนั้นปกป้องความลับของผีทารก หากฉันไม่สามารถทวงที่นี่คืนได้ ฉันก็จะทำลายที่นี่ทิ้งซะ”

โดยไม่ซ่อนเร้นหรือว่าถอยหลัง เงานั่นงอขาแล้วพุ่งเข้าใส่หมอเกา ใบหน้าของเงานั้นพร่ามัวไปขณะที่ใบหน้าของเด็กทารกกลับชัดเจนมากขึ้น เฉินเกอที่ยืนอยู่ไกล ๆ ใช้ดวงตาหยินหยางและจดจำใบหน้าของเด็กเอาไว้ในใจ โดยไม่มีการเกริ่นนำอะไรทั้งนั้น หมอเกาปะทะกับเงานั่น การต่อสู้ร้อนแรงขึ้นถึงขีดสุด

แค่คำว่าน่าสยดสยองยังไม่พอที่จะอธิบายการต่อสู้นี้ ไม่มีใครในพวกเขารู้จักความหมายของการป้องกัน พวกเขาโจมตีไม่หยุด คำสาปเปลี่ยนไปเป็นหอกแทงเข้าไปในร่างของหมอเกา ใบหน้ามนุษย์ผุดขึ้นมาขณะเสียงกรีดร้องโหยหวนและเสียงหัวเราะก้องออกมาจากร่างของหมอเกา

เสียงโซ่สะบัดแกรกกรากต้านคำสาป หมอเกาที่ไม่ยั้งมือแล้วระเบิดเลือดออกจากร่างเหมือนเป็นพลุที่ทำจากน้ำ เขาโจมตีเหมือนตัวเองกำลังจะตาย และเมื่อถูกกำหนดให้ตาย เขาก็จะรวบเอาเงานั่นไปด้วย

เลือดที่รอบตัวเขาเปลี่ยนไปเป็นโซ่เส้นหนึ่งพันรอบตัวเงาเอาไว้

ดาดฟ้ากลายเป็นแอ่งเลือด โซ่คลานออกจากแอ่งเลือดและพุ่งเข้าใส่เงาราวกับงูที่กำลังหิวโหย โซ่นับร้อยเส้นพุ่งเข้าไปในร่างเงา พวกมันแทงทะลุร่างเขา ตรึงเขาเอาไว้บนดาดฟ้า

“ฉันอยากรู้ว่าวิญญาณที่ทรงพลังยิ่งกว่าวิญญาณสีเลือดจะมีรสชาติอย่างไร?”

คุณหมอเกาที่มีรอยยิ้มประหลาดบนใบหน้ากัดเข้าที่เงานั่น!

ริมฝีปากของเขาเต็มไปด้วยคำสาป คุณหมอเกาเสียสติ วิญญาณสีเลือดตนนี้นั้นปรารถนาจะกลืนกินคำสาปลงไปทีละคำ

“โซ่คือการกักขัง ร่างกายโอบอุ้มพลังของการกดข่ม และแกยังมีความสามารถในการเปลี่ยนรูป แกทรงพลังมากจริง ๆ นั่นแหละ”  ริมฝีปากของเด็กทารกขยับ โซ่หลายเส้นถูกคำสาปแผดเผา ร่างของเงาสลายไป และเขาก็หลุดออกจากกับดักของหมอเกา

หมอเกาไม่ได้ปลดปล่อยโซ่ทั้งหมดของตน พลังที่แท้จริงของเขาทำให้เงาหวาดระแวง และมันก็จะจดจำคำว่า ‘สมาคมเล่าเรื่องผี’ เอาไว้ไปตลอดกาล

“จุดอ่อนของเขาก็คือเด็กที่ในอกของเขา! คำสาปทั้งหมดนั้นปกป้องเด็กนั่นอยู่!” คนที่อยู่ด้านนอกล้วนเห็นชัดเจนกว่า เฉินเกอนั้นเป็นคนหนึ่งที่รักษาสติเอาไว้ได้ดีที่สุด และเขาก็มองจุดอ่อนของเงาออกในทันที

“แกอีกแล้วเหรอ?” ตอนที่พวกเขากำลังสู้กัน เงานั่นก็ขยับตัวเข้ามาใกล้เฉินเกอแล้ว ความเกลียดชังของมันที่มีต่อเฉินเกอนั้นเกินจะวัดได้ โซ่พันอยู่รอบ ๆ เงานั่น แต่กลเม็ดเดิมมักใช้ซ้ำสองไม่ได้

เขาใช้คำสาบปกป้องเด็กที่ในหน้าอกเอาไว้ชั้นหนึ่ง ละทิ้งการป้องกันส่วนใหญ่ขณะขยับมาทางเฉินเกอ เขาต้องการเข้าไปใกล้กับเฉินเกอเพื่อฆ่ามนุษย์คนนี้ที่เขาเกลียดที่สุดในโลก เขาไม่ต้องการเห็นเฉินเกอในรัศมีสายตาอีกต่อไป เขาเกลียดชังทุกอย่างเกี่ยวกับชายคนนี้ และความปรารถนาจะทำลายก็ก่อตัวอยู่ในใจเขา

“ฉันไม่เคยทำร้ายแก และฉันก็ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับแก ถ้ามีโอกาส ฉันก็หวังว่าพวกเราจะสามารถนั่งคุยกันดี ๆ ได้ แต่โชคร้าย พวกเราทั้งคู่รู้ว่าอีกฝ่ายนั้นอันตรายแค่ไหน” เฉินเกอยืนอยู่ที่เดิม ไป๋ชิวหลินและผู้หญิงจากอุโมงค์ยืนระวังอยู่ข้างกายเขาขณะที่เฉินเกอจับตามองรูปแบบการเคลื่อนไหวของเงานั่นอย่างละเอียด

การคืบหน้ามาอย่างรวดเร็วเช่นนี้ขณะที่ในเวลาเดียวกันยังหลีกเลี่ยงการโจมตีถึงตายได้นั้นมีคุณค่าให้เฉินเกอศึกษา พวกเขานั้นมีร่างกายเช่นเดียวกัน แต่ความเชี่ยวชาญในด้านการใช้ร่างกายของเงานั่นเหนือกว่าเฉินเกอมาก

เฉินเกอนั้นอาศัยค้อนและแรงลุ่น ๆ แต่หลังจากประสบการณ์การเรียนรู้ครั้งนี้ เขาพบขีดจำกัดของการใช้แต่แรงเพียงอย่างเดียว เขาจำเป็นต้องเรียนรู้เทคนิคอื่นมากขึ้นเพื่อให้สามารถหนีได้ง่ายขึ้นในอนาคตและไม่เป็นภาระให้แก่ผู้อื่น

ถึงเงาจะเป็นภัยคุกคามใหญ่หลวง เฉินเกอก็ยังสามารถเรียนรู้เทคนิคของเงานั่นได้อย่างสบายใจ ไม่ใช่เพราะว่าเฉินเกอรู้แจ้งในชีวิต แต่เพราะว่าจางหยาอยู่ข้างกายเขา

“ก็ยังเป็นจางหยาที่เชื่อถือได้มากกว่า พวกเขาล้วนเป็นวิญญาณสีเลือด แต่เทียบกับหมอเกาและเงา จางหยานั้นดูเป็นปกติธรรมดาที่สุดแล้วในพวกเขา”

นิ้วของเธอกำแน่น และเส้นสีดำก็ค่อย ๆ ปรากฏขึ้นบนผิวที่แขนของจางหยา ผิวที่ขาวราวกับศพ ชุดสีแดงเลือด และเส้นประหลาดสีดำ… จางหยาที่มักจะมีสีหน้าไร้ความรู้สึกเปลี่ยนไปเป็นเงาและจู่ ๆ ก็ยิ้มออกมา

นี่เป็นวันที่มีความหมายสำหรับเธอ ในฐานะพยานของการประกาศความรู้สึกของเฉินเกอ จางหยาอยากจะเปลี่ยนเงาไปเป็นตุ๊กตา เป็นของที่ระลึก

เธอคิดว่าจะทำแบบเดียวกันนั้นในพิธีแต่งงานของพวกเขา เธอจะเปลี่ยนแขกทุกคนไปเป็นตุ๊กตา และด้วยวิธีนั้น ความสุขของวันนั้นก็จะได้รับการเก็บรักษาเอาไว้ไปตลอดกาล