ตอนที่ 173 หากเยี่ยนยังไม่ไปอีก พรุ่งนี้คงต้องเปลี่ยนไปสวมหมวกเขียวแล้ว

เล่ห์รักกลกาล [ส่วนที่ 1]

ในชั่วขณะนี้รอบด้านเงียบสงบลงหลายส่วน 

 

 

บรรยากาศในห้องเปลี่ยนเป็นความดุเดือดปะทุขึ้นมา 

 

 

เยี่ยเม่ยนั่งอยู่ที่เดิม รับรู้ได้ถึงลมเย็นยะเยือกพัดเข้ามา มองประกายเย็นชาในสายตาเป่ยเฉินอี้ แต่นอกจากความเย็นชาแล้ว ยังมีความรู้สีกที่เยี่ยเม่ยไม่อาจอ่านออก ทำให้หญิงสาวระแวงอยู่บ้าง ในยามนี้นางอ่านใจของเป่ยเฉินอี้ไม่ออก 

 

 

ชิงเกอก็มองเยี่ยเม่ยด้วยความตื่นเต้น ในใจหวังได้ยินคำตอบนั้น แต่ก็กลัวจะได้ยินคำตอบนี้ 

 

 

เยี่ยเม่ยนิ่งเงียบชั่วครู่ สายตาที่มองเป่ยเฉินอี้ไร้ความหวาดกลัว เอ่ยปากเสียงเย็นว่า “เยี่ยเม่ยก็คือเยี่ยเม่ย ไม่มีฐานะพิเศษอื่น” 

 

 

ยามนี้บรรยากาศในห้องหนาวเหน็บขึ้นมา 

 

 

เป่ยเฉินอี้จ้องเยี่ยเม่ย ใบหน้าสมบูรณ์แบบไร้ที่ติแฝงไว้ด้วยอารมณ์ยากคาดเดา “นี่คือความจริงใช่หรือไม่ หรือว่าแม่นางเยี่ยเม่ยต้องการให้เป่ยเฉินอี้จ่ายค่าตอบแทนใด ถึงยอมเอ่ยความจริง” 

 

 

เยี่ยเม่ยย่อมดูออกว่า เป่ยเฉินอี้ไม่เชื่อคำพูดนาง 

 

 

หญิงสาวหาได้ใส่ใจ กลับเอ่ยถามเขาด้วยเสียงอารมณ์ดี “ไม่อย่างนั้น อี้อ๋องลองเอ่ยมาว่าอยากฟังคำตอบแบบไหน เยี่ยเม่ยอาจจะฝืนตอบดูก็ได้” 

 

 

เป่ยเฉินอี้ฟังแล้ว หาได้กลัดกลุ้ม ถามออกไปอีกประโยค “ดังนั้น ไม่ว่าเป่ยเฉินอี้จะถามอย่างไร แม่นางเยี่ยเม่ยก็มีคำตอบเดียวอย่างนั้นหรือ” 

 

 

คนทั้งสองยังคงต่อคำกันไปมา 

 

 

ประชันฝีปากไม่เลิก 

 

 

…. 

 

 

เยี่ยเม่ยเอ่ยจนเริ่มหมดความอดทน สายตาเย็นเยียบมองเป่ยเฉินอี้ “ไม่ผิด หากท่านต้องการฟังความจริง อย่างน้อยในตอนนี้ข้าก็มีคำตอบเดียวเท่านั้น เยี่ยเม่ยก็คือเยี่ยเม่ย ไม่ใช่ใครอื่น เบื้องหลังก็ไม่มีผู้ใด หากภายหน้าอี้อ๋องยังถามอีก คำตอบจะเป็นเหมือนเดิมหรือไม่ เยี่ยเม่ยก็ยากจะบอกได้ชัดเจน” 

 

 

ผู้เฒ่าเสี่ยวเถียนไช่บอกว่านางสูญเสียความทรงจำ ไม่แน่ว่าวันใดความทรงจำกลับมา หากนางเคยเป็นใครคนอื่นขึ้นมาจริงๆ อย่างนั้นหลังจากความทรงจำกลับมาแล้ว ย่อมมีคำตอบต่างออกไป 

 

 

ส่วนคำตอบของเยี่ยเม่ย 

 

 

กลับทำให้เป่ยเฉินอี้คลี่ยิ้มออก สายที่มองเยี่ยเม่ยยิ่งล้ำลึกลงไปอีก “แม่นางน่าสนใจกว่าที่เป่ยเฉินอี้คิดไว้มาก” 

 

 

 “อย่างนั้น ท่านบอกได้หรือยัง ความผิดที่ข้าทำเหล่านั้นคืออะไรกัน” เยี่ยเม่ยปรายตามองเขา รอคำตอบ  

 

 

เป่ยเฉินอี้ยิ้มออกมา จากนั้นรีบเอ่ยปาก… 

 

 

…… 

 

 

เรือนของเป่ยเฉินเสียเยี่ยน 

 

 

อวี้เหว่ยเดินเข้ามาด้านใน คุกเข่ารายงาน “เตี้ยนเซี่ย แม่นางเยี่ยเม่ยไปที่เรือนของอี้อ๋อง ชิงเกอเป็นคนเชิญนาง” 

 

 

เป่ยเฉินเสียเยี่ยนฟังแล้ว แววตาแผ่ไอสังหารออกมา  

 

 

ทำให้อวี้เหว่ยใจสั่นหวาดกลัว เอ่ยถามความสงสัยออกไปอย่างระวัง “เตี้ยนเซี่ย ท่านว่าแม่นางเยี่ยเม่ยจะเป็นคนของอี้อ๋องจริงหรือไม่ ยามที่นางมองอี้อ๋อง สีหน้าไม่เป็นปกติ ตอนนี้ได้พบอี้อ๋องเป็นครั้งแรก ข้าน้อยกังวลว่า…” 

 

 

หากเป็นเช่นนั้นจริงๆ อย่างนั้นเตี้ยนเซี่ยของเขาจะถูกม้วนเข้าสู่วังวนการชิงอำนาจ อีกทั้งยังถูกลากเข้าไปด้วยแผนหญิงงาม 

 

 

ในขณะที่อวี้เหว่ยกังวล 

 

 

เป่ยเฉินเสียเยี่ยนกวาดตามองอวี้เหว่ยทีหนึ่ง น้ำเสียงไพเราะน่าฟัง ค่อยๆ ดังขึ้น “หากนางเป็นคนของเป่ยเฉินอี้จริง ยามนี้ก็ควรหลบเลี่ยง เพื่อกันมิให้ถูกสงสัย ไม่ใช่ไปพบเป่ยเฉินอี้ในทันที ไม่ใช่หรือไง” 

 

 

อวี้เหว่ยยามนี้ดวงตาทอประกาย พยักหน้าติดต่อกัน “นั่นก็ถูก หากแม่นางเยี่ยเม่ยเป็นคนของอี้อ๋องจริง เพื่อไม่ให้ทุกคนรู้ฐานะนี้ ยามนี้นางย่อมไม่ไปพบเป่ยเฉินอี้อย่างเปิดเผย หากจะไปพบก็สมควรหลบๆ ซ่อนๆ มากกว่า” 

 

 

ทว่าเมื่ออวี้เหว่ยเอ่ยมาถึงตรงนี้ ก็ปรายตามองเป่ยเฉินเสียเยี่ยนอย่างระวังทีหนึ่ง “แต่ว่าสีหน้าแม่นางเยี่ยเม่ยยามเห็นอี้อ๋อง ไม่ถูกต้องจริงๆ เตี้ยนเซี่ย ท่านว่า…”  

 

 

ยามนี้เป่ยเฉินเสียเยี่ยนไม่เอ่ยปากอีก ถัดมาเขาก้าวเท้าเดินออกจากห้องไปอย่างสง่างาม 

 

 

อวี้เหว่ยรีบติดตามไป “เตี้ยนเซี่ย ท่านไปทำอะไรหรือ” 

 

 

เป่ยเฉินเสียเยี่ยนไม่หยุดฝีเท้า ใบหน้าหล่อเหลาชั่วร้ายไม่บอกอารมณ์ยินดียินร้าย กล่าวว่า “เจ้าก็บอกแล้วว่า สีหน้านางยามไปหาเป่ยเฉินอี้ไม่ถูกต้อง หากเยี่ยนยังไม่ไปอีก เกรงว่าวันพรุ่งนี้รัดเกล้าหยกของข้าคงไม่ต้องสวม แต่เปลี่ยนเป็นหมวกเขียว[1]แทนแล้ว” 

 

 

ระหว่างที่พูด ก็จากไปด้วยความเร็วเพิ่มขึ้น เพียงไม่กี่ก้าวก็พ้นไปจากหน้าประตูเรือน 

 

 

อวี้เหว่ยกระตุกมุมปาก 

 

 

เห็นชุดต่วนสีแดงเข้มของเตี้ยนเซี่ย ทั้งยังมีหยกแดงบนศีรษะที่สีใกล้เคียงกับอาภรณ์ กอปรมีทับทิมแดงต่างๆ ประดับประดาทำเป็นรัดเกล้าหยก ลองคิดภาพว่าวันพรุ่งนี้เช้ารัดเกล้าหยกนั่นเปลี่ยนเป็นหมวกเขียวใบหนึ่งแล้ว 

 

 

ภาพรวมทั้งหมดแปลกประหลาดเกินคาด อวี้เหว่ยขนลุกไปทั้งกาย ยืดตัวตรง รู้สึกหนาวเหน็บ ไม่รู้ว่าจะมีคนตายอีกเท่าไหร่ เขาไม่เอ่ยอะไร รีบติดตามไป… 

 

 

หวังว่าแม่นางเยี่ยเม่ยจะไม่มากรัก ไม่เช่นนั้นคงมีผู้บริสุทธิ์ต้องตาย… 

 

 

…… 

 

 

ภายในห้องของเป่ยเฉินอี้ 

 

 

ยามที่เป่ยเฉินอี้เอ่ยคำพูดที่บอกกับเป่ยเฉินเสียเยี่ยนกับเยี่ยเม่ย สายตาเยี่ยเม่ยพลันเกิดแววลุ่มลึก จ้องเป่ยเฉินอี้ เอ่ยปากเสียงเย็นชา “อี้อ๋องเอ่ยไม่ผิด ความผิดประการที่สองข้ายอมรับ ในใจเพียงแค่คิดว่าต้ามั่วรุกรานเข้ามา พวกเขากล้ามา ข้าก็กล้ารับศึก ข้าไม่เคยคิดถึงการใช้รับเป็นรุก เป็นฝ่ายบุกโจมตีก่อน” 

 

 

หลังจากเงียบไปครู่หนึ่ง เยี่ยเม่ยแค่นหัวเราะ กล่าวต่อว่า “ความผิดประการที่สาม ข้าก็ยอมรับ ไม่ว่ามีเหตุมากน้อยเพียงใด การนำกำลังทหารออกไปมากกว่าย่อมชิงชัยชนะได้ในเวลาอันสั้น อีกทั้งบางทีอาจจะสร้างความเสียหายใหญ่หลวงให้กับทหารหลักของจิวมั่วเหอได้อีกด้วย” 

 

 

ยามนางออกจากเมือง ไม่คิดมากขนาดนั้นจริงๆ 

 

 

เมื่อเอ่ยถึงตรงนี้ เยี่ยเม่ยชื่นชมเป่ยเฉินอี้ปราชญ์อันดับหนึ่งในใต้หล้าจากใจ นางรู้สึกว่าถึงบุรุษผู้นี้จะอันตราย แต่หลังจากพบกันไม่กี่ครั้ง ความสามารถในการรบทัพของนางต้องพัฒนาขึ้นมากแน่ 

 

 

มิน่ายามชิงเหอเห็นว่านางไม่ยอมออกมาพบเป่ยเฉินอี้ ถึงตกอกตกใจขั้นนั้น  

 

 

เมื่อเอ่ยถึงตรงนี้ เยี่ยเม่ยมองเป่ยเฉินอี้คำรบหนึ่ง พลันถามว่า “อย่างนั้น ในเมื่ออี้อ๋องคาดเดาแล้วว่าข้ากับจิวมั่วเหอร่วมมือกัน ความผิดประการแรกที่อี้อ๋องเอ่ยก็ไม่มีอีก อย่างนั้นเพราะเหตุใดอี้อ๋องถึงให้ชิงเกอไปบอกว่าข้าทำผิดสามประการอีกเล่า” 

 

 

สมควรมีแค่สองประการถึงจะถูก 

 

 

เป่ยเฉินอี้จ้องใบหน้านาง น้ำเสียงทุ้มเอ่ยขึ้นว่า “เพราะหลังจากถอยทัพแล้ว ข้ายังพบข้อผิดพลาดอีกประการของเจ้า ความผิดนั่นก็คือ ไม่เคยคาดการณ์ถึงความเปลี่ยนแปลงในการออกทัพ ไม่เคยคำนึงถึงความเป็นไปได้ที่จิวมั่วเหอจะฝ่าวงล้อมออกไป ดังนั้นถึงเสียโอกาสส่งคนไปดักไว้ก่อน เพื่อกำจัดพวกเขายามถอยให้ราบคาบ”  

 

 

เขาเอ่ยออกมาเช่นนั้น เยี่ยเม่ยรู้สึกว่าลมหายใจของนางเริ่มหนักอึ้ง 

 

 

ในที่สุดนางจ้องมองเป่ยเฉินอี้ เอ่ยออกมาว่า “หากคนที่ข้าต่อกรด้วยคืออี้อ๋อง เยี่ยเม่ยไม่มีความมั่นใจว่าจะชนะได้” 

 

 

นางชนะที่การเดินหมากเหนือความคาดหมาย ส่วนเป่ยเฉินอี้ชนะที่ใช้กลยุทธ์ได้ดุจเทพ เทียบกลวิธีพิสดาร เป่ยเฉินอี้อาจเทียบนางไม่ติด แต่ในด้านกลยุทธ์ศึก นางต้องยอมรับว่า เป่ยเฉินอี้อยู่เหนือชั้นกับนางมากโข 

 

 

 “แต่อย่างน้อยเจ้ายังมีโอกาสชนะถึงสี่ส่วน” เป่ยเฉินอี้วิเคราะห์ ถัดมาเขาก็ยกถ้วยชาขึ้น เอ่ยเสียงขรึมว่า “อย่างไรก็ตาม ใต้หล้านี้คนที่ทำศึกกับข้า แล้วมีโอกาสชนะเกินสองส่วนก็ไม่มี” 

 

 

เยี่ยเม่ยยามนี้สูดลมหายใจลึก 

 

 

นางเข้าใจอย่างลึกซึ้งว่าคำพูดของเป่ยเฉินอี้มิได้โอ้อวดเกินไป  ถึงความสามารถในการชิงชัยของนางมีสูงมาก แต่เมื่อพบกับยอดฝีมือจริงๆ ก็ไม่แน่จะเอาชนะได้ทุกครั้งไป การทำศึกกับเป่ยเฉินอี้ สำหรับนางในยามนี้ก็มีความมั่นใจเพียงสี่ส่วนเท่านั้น 

 

 

นางเชื่อว่าจากความสามารถของบุรุษผู้นี้ คนที่เคยต่อสู้กับเขาไม่มีใครมีโอกาสชนะเกินสองส่วนได้ ไม่เพียงแค่กลยุทธ์การศึกของเขา โดยเฉพาะอย่างยิ่งคือ เขาเพิ่งมาถึงชายแดน เห็นสถานการณ์ศึกครั้งเดียว ก็เดาได้ว่านางกับจิวมั่วเหอจะร่วมมือกัน 

 

 

ถึงตอนนี้ เยี่ยเม่ยมองสายตาเป่ยเฉินอี้ กลับแฝงไปด้วยแววท้าทาย “แต่คนเราย่อมพัฒนา วันนี้เยี่ยเม่ยอาจมีโอกาสเพียงสี่ส่วน ภายหน้าจะเป็นอย่างไร ใครก็ตอบไม่ได้ อย่างไรเสียอี้อ๋องก็อยู่จุดสูงสุดอยู่แล้ว ส่วนคนที่อยู่บนจุดสูงสุดคิดก้าวหน้า ก็ยิ่งยาก” 

 

 

คำพูดนี้ไม่ผิดเลย 

 

 

นางยังมีช่องว่างให้พัฒนา ดังนั้นจึงก้าวไปได้อย่างรวดเร็ว ส่วนเป่ยเฉินอี้อยู่จุดสูงสุดของปราชญ์แล้ว ก็นับเป็นคนยอดคน คิดจะก้าวไปอีกครึ่งก้าว ก็ล้วนเป็นความยากลำบากอย่างแสนสาหัส เพราะช่องให้พัฒนานั้นมีไม่มากแล้ว 

 

 

 “คำพูดนี้ถือว่าแม่นางเยี่ยเม่ยส่งสารท้ารบกับเป่ยเฉินอี้หรือไม่” อี้อ๋องมองเยี่ยเม่ย สายตาล้ำลึกเกินหยั่งเผยแววสนใจขึ้นมาหลายส่วน 

 

 

เยี่ยเม่ยมองเขาอย่างเย็นชา เอ่ยว่า “ข้าเอาชนะจั่วอี้อ๋องและจิวมั่วเหอที่เป็นเทพแห่งสงครามไม่เคยแพ้ของต้ามั่วได้ ใครจะรู้ว่าจะมีสักวันหนึ่ง ที่ข้าเอาชนะท่านได้ เทพสงครามที่ไม่เคยแพ้ในใต้หล้า คนที่ไม่เคยพ่ายแพ้มาก่อน จะรู้สึกเดียวดายนัก หากถูกข้าเอาชนะได้ สำหรับท่านแล้วหาใช่เรื่องไม่ดี มิใช่หรือไง” 

 

 

เป่ยเฉินอี้ฟังแล้วพลันยิ้มออก “ท้าทายเป่ยเฉินอี้ ไม่ใช่การตัดสินใจที่ฉลาดนัก” 

 

 

เยี่ยเม่ยก็คลี่ยิ้มบ้าง “การท้าทายยอดคนถึงมีความหมาย เยี่ยเม่ยเฝ้ารอวันที่จะได้ประมือกับเป่ยเฉินอี้” 

 

 

ไม่ว่าพูดอย่างไร ในสายตาเยี่ยเม่ยเวลานี้ เป่ยเฉินอี้คือตัวอันตราย ทั้งเป็นศัตรูที่คู่ควรนับถือ ความสามารถของเขาน่าเลื่อมใสอย่างไม่ผิด 

 

 

เมื่อเอ่ยมาถึงขั้นนี้ เยี่ยเม่ยก็ไม่อยากรั้งอยู่อีกต่อไป 

 

 

นางลุกขึ้น เตรียมจากไป “คำที่ควรพูดก็พูดไปแล้ว เยี่ยเม่ยจะมาเยี่ยมใหม่วันหน้า” 

 

 

สีหน้าเป่ยเฉินอี้ยากคาดเดาได้ จับอารมณ์บนใบหน้าเขาไม่ถูก เมื่อฟังเยี่ยเม่ยเอ่ยแล้ว ก็ผายมือ “เชิญ” 

 

 

เยี่ยเม่ยหมุนตัวจากไป 

 

 

ทว่าพลันฉุกคิดอะไรบางอย่างได้ หันกลับมองเป่ยเฉินอี้ เอ่ยเสียงเย็น “ความจริงไม่รู้เพราะอะไร ครั้งแรกที่พบหน้าท่าน ข้ากลับมีความรู้สึกคุ้นเคย” 

 

 

ยามอยู่ด้านล่างกำแพงเมือง ประกายระยิบระยับจำนวนมากจุดประกายสว่างอยู่ในสมองนาง ทว่าไม่อาจจำแนกได้ชัด ทำให้เยี่ยเม่ยจำได้อย่างแม่นยำ 

 

 

คิดไม่ถึงว่ายามนางเอ่ยเช่นนี้ 

 

 

เป่ยเฉินอี้ที่นังมาตลอดดวงตาเบิกกว้าง ลุกขึ้นอย่างว่องไวราวกับสายฟ้าฟาด ถัดมาสายตาเขาปรากฏไอสังหาร สองมือพุ่งเข้ามาบีบคอเยี่ยเม่ย 

 

 

ความว่องไวขั้นทำให้เยี่ยเม่ยตกตะลึง 

 

 

นางถอยไปก้าวหนึ่ง เพื่อหลบการโจมตีเอาชีวิตของอีกฝ่าย เดิมก็สามารถถอยร่นไปได้อีกก้าว แต่นางสงสัยว่าเป่ยเฉินอี้จะทำอะไรกันแน่ ดังนั้นนางจึงไม่ได้ถอยไปอีกก้าวหนึ่ง ทว่ามือจับพัดเตรียมโต้กลับไป 

 

 

ส่วนเป่ยเฉินอี้ยามนี้บีบคอนางไว้ได้ 

 

 

แววตาของเขาเย็นเยียบ มองใบหน้าเยี่ยเม่ยจากระยะใกล้ น้ำเสียงทุ้มไพเราะ ในยามนี้ดูน่ากลัวอย่างถึงที่สุด “บอกมา ใครเป็นคนส่งเจ้ามากันแน่”