หลังจากฝึกตนครบอีกหนึ่งรอบ โม่เทียนเกอลืมตาขึ้น
นางอยู่ในโลกแห่งฟ้าเสมอเหมือนมาแล้วหนึ่งเดือน แต่สถานการณ์ภายนอกก็ยังคงไม่เปลี่ยนไปแม้แต่น้อย
เริ่นอวี่เฟิงยังคงฝึกวิชาลับเทพมังกร และชิวจื้อหมิงก็ยังคงมีชีวิตอยู่
เจียงซั่งหังและถังฟังคาดว่าจะหนีไปได้สำเร็จ แต่ก็ไม่มีใครแม้แต่คนเดียวที่จะเข้ามาในตำหนักใต้บาดาล บางทีผู้ฝึกตนจิตวิญญาณใหม่ไม่สามารถทำอะไรเพื่อเปิดตำหนักใต้บาดาลได้หลังจากที่ทางเข้าได้ถูกปิดลง ดังนั้นเริ่นอวี่เฟิงจึงยังคงสามารถสงบนิ่งได้อยู่
บางทีเริ่นอวี่เฟิงน่าจะเบื่อเนื่องจากเขาขังตัวเองอยู่ในตำหนักใต้บาดาลคนเดียว ดังนั้นนอกจากเขายังไม่ฆ่าชิวจื้อหมิง แต่เขายังทำมนตร์กันน้ำให้เขาเป็นพิเศษอีกด้วยจึงทำให้เขายังคงมีชีวิตอยู่ได้
ชิวจื้อหมิงผู้ซึ่งรับรู้ว่าเริ่นอวี่เฟิงนั้นมีจิตสังหารที่ลดลง ทำให้เขารู้สึกโล่งใจมากขึ้นและเขาก็เริ่มที่จะฝึกตนอย่างช้าๆ
จากมุมมองของโม่เทียนเกอที่คอยสังเกตการณ์อยู่ ชิวจื้อหมิงน่าจะยังไม่ตายในเร็วๆ นี้ ไม่มีใครรู้ว่าพวกเขาจะติดอยู่ในตำหนักใต้บาดาลนานแค่ไหน ตราบใดที่เริ่นอวี่เฟิงต้องการสหายอยู่ร่วมกับเขา ชิวจื้อหมิงก็จะยังคงมีชีวิตอยู่ บางทีเริ่นอวี่เฟิงอาจจะรู้สึกว่าเขาต้องการคนรับใช้และในขณะนั้นเขาอาจจะมอบผลประโยชน์บางอย่างให้กับชิวจื้อหมิงก็เป็นได้
แน่นอน เรื่องทั้งหมดนี้ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับโม่เทียนเกอในตอนนี้ สิ่งที่สำคัญที่สุดสำหรับนางในตอนนี้คือการฝึกตนและพัฒนาให้ไวมากที่สุดเท่าที่จะทำได้เพื่อต่อกรกับเริ่นอวี่เฟิงและตัดสินว่าใครฝึกตนได้เร็วมากกว่ากัน
โม่เทียนเกอรู้ว่าสำหรับนาง การปิดประตูแห่งจิตทำสมาธิที่นี่ในตอนนี้จะส่งผลเสียกับนางมากกว่าผลดี ในช่วงระยะเวลาอันสั้นที่นางท่องอยู่ภายนอก ทั้งร่างกายและจิตใจของนางเติบโตขึ้น ดังนั้นนางจึงไม่มีปัญหามากนักในการที่จะก้าวเข้าสู่ขั้นสุดท้ายของดินแดนการสร้างฐานแห่งพลังงาน ในทางกลับกัน การพัฒนาเข้าสู่ดินแดนการก่อเกิดแก่นขุมพลังนั้นยังเร็วเกินกว่าที่จะคาดเดาได้ หากนางบังคับตัวเองให้ผ่านเข้าสู่ดินแดนการก่อเกิดแก่นขุมพลัง นางจะต้องเผชิญกับความยากลำบากในการที่จะก้าวผ่านอุปสรรคของพลังมารภายในได้
ทว่านางไม่อาจทำอะไรได้ ดังนั้นเมื่อได้รู้เกี่ยวกับเรื่องนี้ นางก็เริ่มที่จะค้นหนังสือในโลกแห่งฟ้าเสมอเหมือนของนางจนกระจุยกระจายเพื่อหาทางแก้ไขปัญหานี้
ในหนังสือเหล่านี้ นางพบยาวิเศษบางตัวที่สามารถช่วยในการก้าวผ่านดินแดนและในระหว่างยาเหล่านั้น มีบางตัวที่ส่งผลในการปกป้องหัวใจและเพิ่มสมาธิ วันถัดๆ มาถูกใช้ไปกับการฝึกตนและปรุงยาวิเศษเหล่านั้น การทำเช่นนี้ไม่ได้ช่วยแก้ปัญหาของนาง แต่อย่างไรก็ตาม การมีทางออกไว้บ้างนั้นยังดีกว่าที่จะไม่มีอะไรเลย
เพียงเช่นนั้น แปดเดือนผ่านไปเพียงพริบตา
โม่เทียเกอสำรวมอารมณ์ ควบคุมพลังวิญญาณให้สงบ และครองหัวใจนางให้ว่างเปล่า พลังวิญญาณหยินทั้งห้าธาตุในร่างกายนางมีมากมายมหาศาลและท่องอย่างรวดเร็วไปทั่วเส้นลมปราณของนาง
โม่เทียนเกอรู้ว่านางก้าวเข้าสู่ขั้นสุดท้ายของดินแดนการสร้างฐานแห่งพลังงานแล้ว
นางไม่ได้รู้สึกตื่นตระหนกแม้แต่น้อย ในขณะที่นางกำลังควบคุมการหายใจ นางค่อยๆ ปล่อยพลังวิญญาณให้ไหลไปทั่วเส้นลมปราณของนาง
ในการพัฒนาเข้าสู่ดินแดนเล็กนี้ ความฉลาดในการเรียนรู้ของคนนั้นมีอิทธิพลอย่างมาก ถ้านางยังคงครอบครองรากวิญญาณทั้งห้าแบบเดิม นางจะต้องใช้แรงอย่างมากในการที่จะพัฒนาผ่านเข้าสู่แต่ละดินแดนเล็กหลังจากที่นางเข้าสู่ดินแดนการสร้างฐานแห่งพลังงานแล้ว อย่างไรก็ตาม นางเปลี่ยนวิชาการฝึกตนและฝึกศาสตร์ซู่หนี่ว์แห่งต้นกำเนิดในตอนนี้ ดังนั้นนางจะไม่มีทางเผชิญปัญหาในการติดอยู่ที่คอขวดระหว่างการก้าวผ่านในดินแดนเล็กน้อยนั้น ตราบใดที่นางระมัดระวัง มันก็จะไม่มีปัญหาอะไร
พลังวิญญาณสะสมเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ ภายในตานเถียนของนางขณะที่พลังวิญญาณรอบๆ ตัวนางพุ่งเข้าสู่นางอย่างรวดเร็ว โม่เทียนเกอซึมซับพลังวิญญาณอย่างสงบนิ่งหลังจากนั้นจึงเก็บมันไว้ที่ตานเถียนของนาง ปล่อยให้กระบวนการต่างๆ วนเวียนอยู่เช่นนั้น
ในที่สุดตานเถียนของนางก็ถูกเติมจนเต็มและไม่สามารถรองรับพลังวิญญาณได้อีก โม่เทียนเกอหยุดดูดซับพลังวิญญาณในทันทีและเคลื่อนไหวพลังวิญญาณที่อัดแน่นอยู่ในตานเถียนของนาง
ด้วยความระมัดระวังอย่างพิถีพิถันของนาง พลังวิญญาณเริ่มเคลื่อนไหว มันเคลื่อนจากตานเถียนผ่านเส้นลมปราณของนางหลังจากนั้นจึงกลับไปที่ตานเถียนอีกครั้ง ก่อให้เกิดเป็นรูปแบบวงโคจรซ้ำๆ
การเคลื่อนไหวของพลังวิญญาณของนางเริ่มเร็วขึ้นและกลายเป็นกระแสน้ำวน มันเหมือนกับว่าร่างกายของนางเปลี่ยนเป็นจักรวาลซึ่งมีดวงดาวนับไม่ถ้วนหมุนวนรอบๆ จุดกึ่งกลาง
ทันใดนั้น การเคลื่อนไหวของดวงดาวเหล่านั้นก็ถึงขีดสุดและหลังจากนั้น “ปัง!” พวกมันพุ่งเข้าหากันเพื่อมุ่งหวังจะเป็นที่หนึ่งในการแข่งขันบนโลกที่ยิ่งใหญ่ ในขณะที่ดวงดาวต่างบีบเข้าหากันและพยายามที่จะแทรกเข้าไปด้านใน จักรวาลก็ได้ระเบิดออกกลายเป็นจักรวาลที่มีขนาดใหญ่ขึ้นด้วยเสียงอันดัง
…
โม่เทียนเกอลืมตาขึ้น ใบหน้านางชุ่มไปด้วยเหงื่อ นางไม่สนใจที่จะเช็ดเหงื่อของตัวเอง เพราะสิ่งแรกที่นางทำคือสำรวจตัวเองด้วยความรู้สึกยินดี
ตามที่นางคาด นางก้าวเข้าสู่ขั้นสุดท้ายของดินแดนการสร้างฐานแห่งพลังงานแล้ว!
การพัฒนาภายในดินแดนเล็กนั้นไม่ได้ยากเท่าการก้าวผ่านเข้าในแต่ละดินแดนใหญ่ ความเข้มข้นของพลังวิญญาณภายในร่างกายของผู้นั้นจะไม่เปลี่ยนไป ตานเถียนของพวกเขานั้นแค่ขยายขึ้นเล็กน้อย
โม่เทียนเกอเคลื่อนพลังวิญญาณภายในร่างกายของนางอีกครั้ง เพียงหลังจากที่นางรู้สึกว่าร่างกายของนางผ่อนคลายและพบว่าไม่มีปัญหาตกค้างที่อาจเกิดจากการพัฒนาของนาง ในที่สุดนางจึงหยุด
นางเพิ่งก้าวเข้าสู่ขั้นสุดท้ายของดินแดนการสร้างฐานแห่งพลังงาน แต่นางไม่ค่อยมีความสุขนัก ขั้นสุดท้ายของการสร้างฐานแห่งพลังงานนั้นไม่ค่อยมีค่าเท่าไร เริ่นอวี่เฟิงเข้าสู่ขั้นสุดท้ายของดินแดนการสร้างฐานแห่งพลังงานมานานแล้ว และถ้าให้ตัดสินจากพฤติกรรมของเขา ความแข็งแกร่งของเขาก็น่าจะเข้าถึงดินแดนการก่อเกิดแก่นขุมพลังได้แล้วหลังจากที่เขาใช้สิ่งที่เรียกว่าวิชาลับเทพมังกร นางยังคงไม่แข็งแกร่งพอที่จะทำอะไรเขาได้
ด้วยความสัตย์จริง โม่เทียนเกอไม่คิดว่าเริ่นอวี่เฟิงจะกลายเป็นผู้ฝึกตนขั้นสูงได้เร็วนักขณะที่ได้ครอบครองวิชาลับเทพมังกร นอกเหนือไปจากความจริงที่ว่าวิชาลับเทพมังกรที่ว่านั้นดูจะแปลกประหลาดมากแล้ว ร่างกายของเขานั้นยังไม่ได้ครอบครองลมปราณเทพมังกรเลยแม้แต่น้อย ในทางกลับกัน เขากลับเต็มไปด้วยพลังมารแทน สำหรับนาง ด้วยรากวิญญาณต้นกำเนิดและปราณหยินบริสุทธิ์ที่นางมีเป็นดั่งต้นทุนทางธรรมชาติและควบคู่ไปกับศาสตร์ซู่หนี่ว์แห่งต้นกำเนิด นางไม่คิดว่านางจะพัฒนาไปได้ช้ากว่าเริ่นอวี่เฟิงมากนักถ้านางใช้ความพยายามทั้งหมดของนางไปในการฝึกตน
ดังนั้น นี่คือการแข่งขัน นางต้องการเห็นว่าเริ่นอวี่เฟิงผู้ซึ่งพึ่งพาวิชาลับเทพมังกรจะสามารถฝึกตนได้เร็วกว่า หรือนางจะพัฒนาได้เร็วกว่าด้วยศาสตร์ซู่หนี่ว์แห่งต้นกำเนิด ตราบใดที่ความเร็วในการฝึกตนของนางเร็วกว่าเริ่นอวี่เฟิง มันจะต้องมีสักวันหนึ่งที่นางจะออกไปได้อย่างเปิดเผย คว่ำเขาให้หลุดออกจากแท่นหินและฆ่าเขา
ด้วยการถอนใจเบาๆ โม่เทียนเกอเปิดรอยแยกบนท้องฟ้าของโลกแห่งฟ้าเสมอเหมือนเพื่อสังเกตการณ์ถึงสถานการณ์ด้านนอก
เริ่นอวี่เฟิงและชิวจื้อหมิงยังคงใช้เวลาของพวกเขาไปกับการฝึกตน ในช่วงหลายเดือนที่ผ่านมานางแอบฟังบทสนทนาของพวกเขาเป็นครั้งคราว ชิวจื้อหมิงนั้นสามารถนับได้ว่าลดระดับตัวเองลงมาโดยสมบูรณ์ เพื่อที่จะมีชีวิตรอดภายใต้การกดขี่ของเริ่นอวี่เฟิง เขาได้กลายเป็นทาสผู้โชคร้ายที่เกาะติดอยู่กับเริ่นอวี่เฟิง
ประจวบเหมาะกับที่โม่เทียนเกอประสบความสำเร็จในการก้าวเข้าสู่ขั้นสุดท้ายของดินแดนการสร้างฐานแห่งพลังงาน เริ่นอวี่เฟิงก็หยุดฝึกตนนอกโลกแห่งฟ้าเสมอเหมือนเช่นกัน
เมื่อเริ่นอวี่เฟิงฝึกตน โม่เทียนเกอคอยสังเกตการณ์เขาและพบว่าพลังสีดำบนร่างของเขานั้นได้เข้มข้นขึ้นเรื่อยๆ จนแทบจะท่วมเขาไปทั้งตัว อย่างไรก็ตามถ้าพลังสีดำนั้นคือพลังวิญญาณ โม่เทียนเกอก็สันนิษฐานว่าเริ่นอวี่เฟิงนั้นยังคงติดอยู่ในดินแดนที่เทียบเท่ากับขั้นต้นของดินแดนการก่อเกิดแก่นขุมพลัง เขายังไม่สามารถผ่านเข้าในดินแดนใหม่ได้
ขณะที่ค้นพบเรื่องนี้ โม่เทียนเกอก็ถอนใจอย่างโล่งอก นี่แสดงให้เห็นว่าแม้จะได้ครอบครองวิชาลับเทพมังกรแล้ว แต่เริ่นอวี่เฟิงก็ยังไม่สามารถเหนือกว่าระดับการฝึกตนของผู้ฝึกตนที่ยิ่งใหญ่คนอื่นๆ และเขาต้องฝึกตนอย่างช้าๆ ทีละขั้นตอนแทน หากเป็นเช่นนั้น โม่เทียนเกอก็ค่อนข้างมั่นใจว่าความเร็วในการฝึกตนของนางจะไม่มีทางช้าไปกว่าเริ่นอวี่เฟิง
เริ่นอวี่เฟิง ผู้ซึ่งเพิ่งหยุดฝึกตนดูสับสนวุ่นวายใจ บางทีเขาอาจได้เผชิญเข้ากับอุปสรรคในการฝึกตนของเขาเข้าแล้ว เขาครุ่นคิดเกี่ยวกับเรื่องนี้แต่ไม่นานเขาก็หยิบบางสิ่งบางอย่างออกมาจากกระเป๋าเอกภพ
ดวงตาโม่เทียนเกอเบิกกว้างเมื่อเห็นท่าทางของเขา
สิ่งที่เริ่นอวี่เฟิงหยิบออกมาไม่ใช่อะไรนอกเหนือไปจากแผ่นบันทึกหินหนาแผ่นหนึ่ง!
ชิวจื้อหมิงเคยพูดครั้งหนึ่งว่าตอนที่เริ่นอวี่เฟิงเข้ามาที่ตำหนักใต้บาดาลในตอนแรก เขาได้รับแผ่นบันทึกหินที่อธิบายถึงวิชาลับเทพมังกรที่จำเป็นต้องใช้ในการครอบครองลมปราณเทพมังกร เพราะเหตุนั้น เริ่นอวี่เฟิงจึงสรรค์สร้างคำโกหกเพื่อทำให้พวกเขาเชื่อว่ามีสมบัติมากมายอยู่ในตำหนักใต้บาดาล และก็หลอกใช้พวกเขาในการเข้ามาที่ตำหนักใต้บาดาลอีกครั้ง
หลังจากหยิบแผ่นบันทึกหินออกมา เริ่นอวี่เฟิงดูเหมือนจะมีอารมณ์เล็กน้อย เขาถอนใจในขณะที่สัมผัสแผ่นบันทึกนั้น หลังจากนั้นไม่นาน เขาก็วางแผ่นบันทึกหินลงและมุ่งความสนใจไปที่มัน เห็นได้อย่างชัดเจนว่าเขากำลังศึกษามันอยู่
จากตำแหน่งของนาง โม่เทียนเกอไม่สามารถมองเห็นเนื้อหาในแผ่นบันทึกหินได้ชัดเจนนัก อย่างไรก็ตาม นี่ไม่ใช่อุปสรรคที่จะมาขัดขวางนางในการมองเนื้อหาได้อย่างคร่าวๆ
เหมือนอย่างที่ชิวจื้อหมิงพูด เส้นลายนับไม่ถ้วนคล้ายกับภาพวาดได้ถูกจารึกบนพื้นผิว เพราะตัวอักษรเพิ่งถูกสร้างขึ้น ในสมัยโบราณผู้คนจึงใช้ภาพวาดในการบันทึกสิ่งต่างๆ แผ่นบันทึกหินมาจากวิหารบูชายัญโบราณในตำหนักใต้บาดาลนี้ มันไม่ใช่สิ่งที่น่าแปลกที่มันได้ถูกบันทึกเป็นรูปภาพ
เนื้อหาของรูปวาดที่สลักบนพื้นผิวนั้นเรียบง่าย ชายคนหนึ่งยืนอยู่หน้ากระดูกมังกร ดูเหมือนกับกำลังใช้วิชาลับบางอย่าง ข้างๆ เขามีร่างของมนุษย์จำนวนมากในท่าทางที่แตกต่างกัน และร่างกายมนุษย์เหล่านั้นได้ใช้เส้นหลายประเภทในการวาด นี่ดูเหมือนกับเป็นวิถีในการใช้พลังวิญญาณ คาดว่านี่คงเป็นวิชาลับเทพมังกรที่ว่านั้นของเริ่นอวี่เฟิง เพิ่มเติมจากนั้น ท่าทางบางท่าดูเหมือนมีคำง่ายๆ สลักไว้อยู่ข้างๆ รูปมนุษย์เหล่านั้น แต่โม่เทียนเกอไม่มีความรู้เกี่ยวกับภาษาโบราณเช่นนี้
ในยุคโบราณนั้นได้ถูกมองว่าเป็นยุคต้นกำเนิดของมนุษย์ จากมุมมองของผู้ฝึกตน ยุคโบราณนั้นสามารถแบ่งออกได้เป็นหลายยุคสมัย ตั้งแต่ยุคอดีตอันไกลโพ้น ยุคสูญสิ้นพระเจ้า และยุคกลาง ยุคอดีตอันไกลโพ้นเริ่มตั้งแต่การสร้างโลกและคงอยู่นานหลายล้านปี แต่ผู้ฝึกตนผู้ที่เข้าใจยุคอดีตอันไกลโพ้นอย่างลึกซึ้งนั้นจะมุ่งเน้นไปที่หลายแสนปีหลังจากที่พระเจ้าสร้างกฎเกี่ยวกับการเข้าสู่สรวงสวรรค์
ภายในหลายแสนปีนั้น มีผู้คนหลายคนที่ครอบครองพลังวิเศษ ทุกคนต่างปรารถนาที่จะเข้าสู่สวรรค์ และมีหลายคนที่ประสบความสำเร็จในการนั้นและได้กลายเป็นเซียน ช่วงเวลานี้ได้ทิ้งไว้ซึ่งตำราและวิชาการฝึกตนมากมายซึ่งยังคงมีอยู่สำหรับบางคนที่โชคดีพอได้ครอบครองไว้ ตำราเช่นนั้นได้ถูกศึกษาจากผู้ฝึกตนหลายคน และพวกเขาทั้งหมดนั้นต่างเข้าใจถึงความหมาย
ไม่ต้องพูดถึงคนอื่น แต่โลกแห่งฟ้าเสมอเหมือนของโม่เทียนเกอก็เป็นเศษส่วนเล็กๆ จากช่วงเวลานั้น และตำรากับงานเขียนภายในนั้นก็ไม่ได้เป็นอุปสรรคต่อนาง
อย่างไรก็ตาม ในทุกวันนี้ ไม่มีใครในโลกแห่งการฝึกตนที่รู้เกี่ยวกับอักษรโบราณจากหลายล้านปีก่อนเช่นนี้
คาดว่าเริ่นอวี่เฟิงก็คงไม่เข้าใจมันเช่นกัน เพราะในขณะนี้รอยย่นบนหน้าผากของเขาเผยออกมาอย่างชัดเจนในขณะที่กำลังมองดูรูปวาดและคำต่างๆ บนแผ่นบันทึกหิน วิเคราะห์มันทีละเล็ก ทีละน้อย เขาขยับตัวบ้างเพียงครั้งคราวเท่านั้น
ความคิดบางอย่างโผล่เข้ามาในจิตใจของโม่เทียนเกอ ในเมื่อเริ่นอวี่เฟิงไม่เข้าใจเนื้อหา จะเป็นไปได้ไหมว่าสิ่งที่เขาเรียกวิชาลับเทพมังกรอย่างที่เขาคิดว่าเข้าใจนั้นผิดไปหมด หรือบางทีมันอาจจะไม่ใช่วิชาลับเทพมังกรและเป็นเพียงแค่ศาสตร์นอกรีตบางอย่างเท่านั้น
ยิ่งนางคิดเกี่ยวกับมันมากเท่าไร นางก็ยิ่งรู้สึกถึงความเป็นไปได้มากขึ้นเท่านั้น หากไม่อย่างนั้นถ้าเขาได้ซึมซับลมปราณเทพมังกรเข้าไปจริง ทำไมร่างกายของเขาทั้งหมดถึงได้ปกคลุมไปด้วยพลังมาร แต่เริ่นอวี่เฟิงจะจับไม่ได้เชียวหรือว่ามีบางสิ่งที่ผิดปกติไป
ภายนอกโลกแห่งฟ้าเสมอเหมือน ทั่วทั้งใบหน้าเริ่นอวี่เฟิงนั้นเต็มไปด้วยความสงสัย ไม่ว่าเขาจะคิดเช่นไร เขาก็ยังคงไม่สามารถเข้าใจได้ว่าอะไรเป็นสิ่งที่ผิดพลาดไป