ในขณะนั้น ชิวจื้อหมิงก็หยุดฝึกตนเช่นกัน เขามองไปที่เริ่นอวี่เฟิงอย่างครึ่งหวาดครึ่งสงสัย
เขาไม่กลัวเริ่นอวี่เฟิงจะฆ่าเขาอีกแล้ว แต่ในทางกลับกัน เขารู้สึกกลัวมากกว่าเมื่อต้องเผชิญหน้ากับเริ่นอวี่เฟิงในตอนนี้ หลังจากหนึ่งปีผ่านไป การกดขี่ของเริ่นอวี่เฟิงได้ฝังความกลัวเช่นนี้ลึกเข้าไปในจิตใจของชิวจื้อหมิง ไม่ว่าเมื่อไหร่ก็ตามที่เขาเห็นเริ่นอวี่เฟิง เขาจะแสดงท่าทางออกมาทันที
ในตอนนี้ เริ่นอวี่เฟิงถอนใจและเหมือนพูดกับตัวเอง “ลมปราณเทพมังกร… ลมปราณเทพมังกร…”
ชิวจื้อหมิงลังเลอยู่ชั่วครู่แต่ในท้ายที่สุดเขาก็ถามด้วยความระมัดระวัง “ศิษย์พี่เริ่น เกิดเรื่องอะไรขึ้นอย่างนั้นหรือ”
เริ่นอวี่เฟิงหันมองเขาอย่างรวดเร็ว หลังจากนั้นเขาหยุดคิดและพูดอย่างแผ่วเบา “ไม่มีปัญหาอะไร ข้าเพียงแค่มีปัญหานิดหน่อยในการทำความเข้าใจวิชาการฝึกตนนี้”
“…โอ้” ชิวจื้อหมิงไม่กล้าถามเขาต่อและแค่นั่งเงียบๆ ด้านข้างเท่านั้น
เห็นได้อย่างชัดเจนว่าเขาต้องการใครสักคนในการพูดคุยด้วยหลังจากใช้เวลาไปมากกับการพยายามทำความเข้าใจข้อความนั้นเริ่นอวี่เฟิงคิดอยู่ครู่หนึ่งหลังจากนั้นจึงพูด “ลมปราณเทพมังกร… เหตุใดถึงกลายเป็นเช่นนี้หลังจากที่ซึมซับมันเข้ามา…”
โม่เทียนเกอตกใจ แสดงว่าเริ่นอวี่เฟิงก็สับสนเหมือนกัน
ต้องเป็นเช่นนั้นแน่ เริ่นอวี่เฟิงพูดต่อ “แผ่นบันทึกหินนี้บอกว่าระหว่างที่ซึมซับลมปราณเทพมังกร คนผู้นั้นจะกลายเป็นผู้สืบทอดของเทพมังกร และแรงผลักดันนั้นจะมากมายมหาศาลในขณะที่ลมปราณของพวกเขาจะบริสุทธิ์และศักดิ์สิทธิ์ แต่…”
โม่เทียนเกอได้ยินเช่นนี้ ก็เกือบจะมั่นใจว่าเริ่นอวี่เฟิงนั้นฝึกวิชาผิด!
แต่ทว่าเริ่นอวี่เฟิงดูเหมือนจะไม่ตระหนักถึงข้อเท็จจริงนั้น เขายังคงบ่นพึมพำด้วยความสงสัยอยู่กับตัวเอง “บางทีวิชาการฝึกตนนี้น่าจะเป็นเช่นนี้หรือ”
หลังจากที่เขาพูดเช่นนั้น ชิวจื้อหมิงพูดอย่างหวาดกลัว “ศิษย์พี่เริ่นจะเป็นไปได้ไหมว่า… ท่านเข้าใจวิชาผิดไป”
สิ่งที่ชิวจื้อหมิงพูดทำให้ท่าทางของเริ่นอวี่เฟิงเปลี่ยนไปในทันที เขาตะโกนอย่างดุดัน “ไม่มีทาง! ข้าครอบครองลมปราณเทพมังกรแล้ว แล้วข้าจะเข้าใจมันผิดไปได้อย่างไร”
“ใช่ขอรับ ใช่ขอรับ” ชิวจื้อหมิงไม่กล้าปฏิเสธเขา ดังนั้นเขาจึงพูดแค่คำว่าใช่ซ้ำไปมาเท่านั้น
“มันจะต้องเป็นเพราะข้ายังไม่ได้ฝึกมันจนสมบูรณ์ ถ้าข้าประสบความสำเร็จในการฝึกตน ข้าจะต้องสามารถเปลี่ยนร่างของข้าให้กลายเป็นร่างเทพมังกรได้แน่นอน!” เริ่นอวี่เฟิงพูดอย่างมั่นใจ หลังจากนั้นเขาจึงเก็บแผ่นบันทึกหินและนั่งลงเพื่อกลับไปฝึกตนอีกครั้ง
โม่เทียนเกอ ผู้ซึ่งอยู่ในโลกแห่งฟ้าเสมอเหมือนส่ายหัว เริ่นอวี่เฟิงนั้นได้ติดอยู่ในเขตของปีศาจแล้ว ถึงแม้ว่าเริ่นอวี่เฟิงจะสามารถสะสมพลังเพิ่ม แต่วิชาการฝึกตนนั้นผิดอย่างแน่นอน ลมปราณเทพมังกรที่บริสุทธิ์และศักดิ์สิทธิ์จะส่งผลให้เกิดเป็นพลังมารดำมืดได้อย่างไร
อย่างไรก็ตาม เป็นเรื่องดีที่เริ่นอวี่เฟิงมีปัญหาในการฝึกตนของเขา ผู้ที่ฝึกศาสตร์มารมักจะมีแนวโน้มเกิดอุบัติเหตุในการฝึกตน ถ้าเขาประสบกับการเบี่ยงเบนของพลังในอนาคต มันจะง่ายกับนางมากในการที่จะฆ่าเขา
ทันทีที่โม่เทียนเกอหลับตาเพื่อที่จะกลับไปฝึกตนต่อ โม่เทียนเกอก็สัมผัสได้ถึงบางอย่าง นางจึงลืมตาขึ้นอีกครั้ง
ในโลกแห่งฟ้าเสมอเหมือน ทุกอย่างยังคงสงบสุข อย่างไรก็ตามโลกที่อยู่นอกโลกแห่งฟ้าเสมอเหมือนดูเหมือนจะกำลังสั่นไหว
เริ่นอวี่เฟิงหยุดฝึกตน ชิวจื้อหมิงลืมตาขึ้นเช่นกัน ทั้งสองคนมองไปรอบๆ ตัว ทั้งรู้สึกสับสนและประหลาดใจ
ชิวจื้อหมิงพูดออกมา “ศิษย์พี่เริ่น เกิด… เกิดอะไรขึ้น”
คิ้วของเริ่นอวี่เฟิงย่นเข้าหากัน เขาก็ดูสงสัยในสิ่งที่เกิดขึ้นเช่นกัน
แท่นจัตุรัสยกสูงขนาดใหญ่ที่อยู่ภายในห้องก็สั่นสะเทือนเช่นกัน แม้จะอยู่ในโลกแห่งฟ้าเสมอเหมือน โม่เทียนเกอก็สามารถเห็นได้อย่างชัดเจนว่ากระดูกมังกรบนจัตุรัสเริ่มสั่นสะเทือน!
ท่าทางของเริ่นอวี่เฟิงเปลี่ยนแปลงไปหลายครั้ง หลังจากนั้นเขาหลับตาและส่งจิตสัมผัสออกไป แต่ทันทีหลังจากนั้นสีหน้าเขาก็เริ่มซีดลง “วันที่สิบห้าของเดือนแปด! มันคือวันที่สิบห้าของเดือนที่แปด!”
โม่เทียนเกองุนงง เสี้ยววินาทีต่อมาท่าทางของนางก็เปลี่ยนไป
ในวันที่สิบห้าของเดือนแปด การเปลี่ยนแปลงที่ยิ่งใหญ่จะเกิดขึ้นในแดนแห่งมังกรซ่อนลาย ภูมิทัศน์ด้านในจะเปลี่ยนแปลงไปโดยสิ้นเชิง เปลี่ยนไปเป็นรูปแบบที่แตกต่างจากปีก่อนหน้าทั้งหมด ศิษย์ที่ติดอยู่ภายในแดนแห่งมังกรซ่อนลายหลังจากผ่านวันที่สิบห้าของเดือนแปดไปจะไม่ปรากฏตัวออกมาอีก!
นี่เป็นสิ่งที่เจียงซั่งหังเน้นย้ำกับโม่เทียนเกอก่อนที่จะเข้ามาในแดนแห่งมังกรซ่อนลาย
พวกเขาอยู่ภายในตำหนักใต้บาดาลนี้มากกว่าแปดเดือน ตอนที่พวกเขาเข้ามาครั้งแรก พวกเขาบอกนางว่าสามเดือนก่อนหน้านั้น หลังจากผ่านวันที่สิบห้าของเดือนแปด พวกเขาก็มาที่แดนแห่งมังกรซ่อนลายและพบกับตำหนักใต้บาดาล ตอนนี้หนึ่งปีได้ผ่านไปแล้ว ภูมิทัศน์ของแดนแห่งมังกรซ่อนลายกำลังจะเปลี่ยนไป!
โม่เทียนเกอกังวลเกี่ยวกับเรื่องนี้เล็กน้อย แต่นางคิดเสมอว่าในเมื่อนางอยู่ในโลกแห่งฟ้าเสมอเหมือน มันไม่น่าส่งผลกระทบอะไรกับนาง ในตอนนี้ มันดูเหมือนกับว่านางจะไม่ได้รับผลกระทบจริงๆ ทุกสิ่งทุกอย่างด้านนอกล้วนสั่นสะเทือน แต่สภาพภายในโลกแห่งฟ้าเสมอเหมือนนั้นยังคงเป็นปกติ อย่างไรก็ตาม ในเมื่อสถานการณ์มาถึงจุดนี้ นางก็ยังคงมีความกังวลอยู่เล็กน้อย ถ้าตำหนักใต้บาดาลนี้หายไป แล้วโลกแห่งฟ้าเสมอเหมือนจะไปโผล่อยู่ที่ไหนในภายหลัง มันจะหายไปพร้อมกับตำหนักใต้บาดาลไหม หรือมันจะยังคงอยู่ในที่เดิม
ภายนอก เริ่นอวี่เฟิงและชิวจื้อหมิงตื่นตระหนกอย่างที่สุด ถึงแม้ว่าเริ่นอวี่เฟิงจะไม่ใช่ผู้ฝึกตนการสร้างฐานแห่งพลังงานแล้ว เขาก็ยังคงทำอะไรไม่ถูกกับเหตุการณ์เช่นนี้
“ศิษย์พี่เริ่น พวกเราควรทำอย่างไรดี พวกเราควรทำอย่างไรดี” เสียงของชิวจื้อหมิงดูเหมือนกับว่าเขากำลังจะร้องไห้ ตำหนักใต้บาดาลสั่นสะเทือนมากขึ้นอย่างรุนแรง และโครงกระดูกเทพมังกรก็ดูเหมือนกับจะพังทลายลงได้ทุกเวลา
เริ่นอวี่เฟิงอารมณ์เสียที่สุด ด้วยเสียงที่กระด้าง เขาพูดอย่างหงุดหงิดว่า “สงบสติ!”
ชิวจื้อหมิงไม่กล้าเถียงเขา ดังนั้นเขาจึงหยุดพูด อย่างไรก็ตาม ร่างกายของเขาได้สูญเสียกำลังไปหมดแล้ว และเขาก็ทำได้เพียงแค่มองเริ่นอวี่เฟิงด้วยความงุนงง
เริ่นอวี่เฟิงใช้เวลาคิดครู่หนึ่ง แต่ดูเหมือนว่าเขาก็ไม่สามารถคิดแผนการอะไรออกมาได้ การได้รับความแข็งแกร่งของลมปราณเทพมังกรทำให้เขาลืมเกี่ยวกับความจริงที่ว่าแดนแห่งมังกรซ่อนลายนั้นจะเปลี่ยนแปลงไปครั้งหนึ่งในทุกปี
เหตุใดภูมิทัศน์ภายในแดนแห่งมังกรซ่อนลายถึงเปลี่ยนครั้งหนึ่งในทุกปี หรือภูมิทัศน์ของปีก่อนหน้านั้นจะไปจบลงที่ตรงไหน ไม่มีใครตอบคำถามนี้ได้มาหลายพันปีแล้ว ชะตาของเหล่าศิษย์ผู้ซึ่งติดอยู่ในแดนแห่งมังกรซ่อนลายและไม่สามารถออกไปได้ยังคงเป็นปริศนาลึกลับ หลังจากที่พวกเขาหายไป พวกเขาก็ไม่เคยกลับออกมา
พื้นดินสั่นสะเทือนรุนแรงมากยิ่งขึ้นกว่าเดิม พวกเขาลอยอยู่ในน้ำแล้วเพราะไม่สามารถยืนได้อยู่บนพื้น
“จะเป็นอย่างนี้ไม่ได้ ข้าจะอยู่เช่นนี้ไม่ได้” เริ่นอวี่เฟิงบ่นพึมพำกับตัวเอง หลังจากนั้นไม่นาน เขาก็บังคับตัวเองให้กลับไปนั่งขัดสมาธิและใช้พลังวิญญาณ
โม่เทียนเกอไม่รู้ว่าเขาพยายามจะทำอะไร แต่เขาดูเหมือนจะมีแผนการแล้ว
ขณะที่เริ่นอวี่เฟิงเคลื่อนพลังลมปราณและรวบรวมพลังวิญญาณ ลมปราณดำบนร่างกายของเขาเริ่มเข้มข้นขึ้น และลมปราณเทพมังกรบนกระดูกมังกรเริ่มที่จะเคลื่อนไหวอย่างรวดเร็วเข้าหาเขา!
เขาพยายามที่จะฝืนดูดซับลมปราณเทพมังกรเพื่อเพิ่มระดับการฝึกตนของเขา!
สีหน้าโม่เทียนเกอเปลี่ยนไป นางไม่รู้ว่าผลจากการกระทำของเริ่นอวี่เฟิงนั้นจะเป็นอย่างไร แต่ว่าด้วยเหตุผลแล้ว ผู้ฝึกศาสตร์แห่งมารนั้นมักจะประสบเข้ากับอุบัติเหตุระหว่างฝึกตนทั้งสิ้น โดยเฉพาะถ้าพวกเขาพยายามที่จะเพิ่มระดับการฝึกตนโดยการบังคับ อย่างไรก็ตาม สิ่งที่เรียกว่าวิชาลับเทพมังกรนั้นมีมาหลายล้านปีก่อน ไม่มีใครรู้ว่ามันจะใช้กฎเดียวกันหรือไม่ ยิ่งไปกว่านั้น ถ้าเริ่นอวี่เฟิงประสบความสำเร็จในการเพิ่มระดับการฝึกตน นางก็คงจะหนีได้ยาก ไม่ต้องพูดถึงเรื่องการฆ่าเขาเลย!
แน่นอน มันคงจะดีที่สุดถ้าเริ่นอวี่เฟิงล้มเหลว หรือไม่ก็อาจจะโดนแดนมังกรซ่อนลายพาไปยังจุดหมายที่ไม่มีใครรู้ ด้วยวิธีนั้นอย่างน้อยนางก็จะหนีไปได้ง่ายๆ
ลมปราณเทพมังกรวิ่งเข้าสู่เริ่นอวี่เฟิงอย่างบ้าคลั่ง พลังดำมืดบนร่างกายของเขาเริ่มเพิ่มมากขึ้นและค่อยๆ ปกคลุมร่างกายของเขาทั้งหมด
ในขณะนั้น ตำหนักใต้บาดาลสั่นสะเทือนรุนแรงมากยิ่งขึ้น พวกเขาไม่รู้ว่ามันเริ่มมาจากที่ไหน แต่เสียงดัง “แก๊ก” ดังออกมาและกระดูกมังกรซึ่งตั้งอยู่บนจัตุรัสมาหลายล้านปีก็พังทลายลงด้วยเสียงดังสนั่น
อันดับแรก หัวกะโหลกทลายลง หลังจากนั้นก็กระดูกสันหลังขนาดใหญ่ ทีละชิ้น ทีละชิ้น ซี่โครงถูกกระแสน้ำพัดไปแล้วในตอนนี้ และกระดูกหางก็ค่อยๆ แยกออกจากกันอย่างช้าๆ
โครงกระดูกเทพมังกรยักษ์กลายเป็นกองกระดูกสีขาวกระจัดกระจายยุ่งเหยิงไหลไปตามกระแสน้ำในทันที
หนึ่งในกระดูกมังกรกระแทกเข้าไปที่ชิวจื้อหมิงผู้ซึ่งลอยอยู่ในน้ำ สติของเขาพร่ามัวและหลังจากนั้นไม่นานเขาก็หมดสติลง
ในทางกลับกัน เริ่นอวี่เฟิงยังคงฝึกศาสตร์ของเขาอยู่ ในตอนนี้เขาถูกปกคลุมไปด้วยพลังดำมืด ดังนั้นจึงไม่สามารถมองเห็นร่างกายของเขาได้เลยแม้แต่น้อย
โม่เทียนเกอมองด้วยความประหม่า นางหวังว่าเริ่นอวี่เฟิงจะไม่ประสบผลสำเร็จและนางหวังว่านางจะไม่ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์ด้านนอกในเมื่อนางอยู่ในโลกแห่งฟ้าเสมอเหมือน
หลังจากที่รู้สึกยาวนานเหมือนนิรันดร์ ตำหนักใต้บาดาลยังคงสั่นสะเทือนแต่เริ่นอวี่เฟิงลืมตาขึ้นทันทีพร้อมกับตะโกนด้วยเสียงอันดัง “อ่าาา…”
พลังดำมืดที่ปกคลุมร่างกายของเขาค่อยๆ จางหายไป เผยให้เห็นคนที่อยู่ด้านใน
ใบหน้าขาวซีด ร่างกายที่เ**่ยวย่นและผอมแห้ง… เขาผอมจนหนังติดกระดูก เหมือนกับโครงกระดูกแต่มีดวงตาที่เป็นแสงสีดำสนิท
โม่เทียนเกอถึงกับผงะ ในช่วงหลายเดือนที่ผ่านมา เริ่นอวี่เฟิงนั้นมักจะมีพลังดำมืดวนเวียนอยู่รอบๆ ดังนั้นนางจึงไม่เคยเห็นรูปลักษณ์ที่แท้จริงของเขา นางไม่คาดคิดว่าใครคนหนึ่งผู้ซึ่งมีรูปลักษณ์ที่น่าดูชมเมื่อหลายเดือนก่อนจะกลายเป็นเช่นนี้! ถึงแม้ว่านางจะพูดกับคนอื่นว่าเริ่นอวี่เฟิงเป็นเหมือนกับศพที่แห้งไปแล้ว บางคนอาจจะเชื่อในสิ่งนั้นก็เป็นได้
อีกครั้งที่เริ่นอวี่เฟิงประกบมือเข้าหากัน ทันทีหลังจากนั้น พลังสีดำก็ถูกปล่อยออกมาจากฝ่ามือเขา วงแหวนพลังสีดำหนึ่งวงพุ่งออกมาตามด้วยอีกหนึ่งวงและขดเป็นวงอยู่รอบๆ ตัวเขาเหมือนกับเป็นหนอนไหมพ่นไหมออกมาเพื่อทำเป็นรังไหม จำนวนของเส้นวงแหวนสีดำเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ พวกมันเริ่มจากเท้าของเริ่นอวี่เฟิงและพันขึ้นมาที่ร่างกายของเขาอย่างรวดเร็ว
ในตอนนี้ ภายในตำหนักใต้บาดาลนั้นเละเทะไม่มีชิ้นดี
สายตาโม่เทียนยังคงจับจ้องอยู่ที่เริ่นอวี่เฟิง เส้นไหมสีดำพันรอบเอวและท้องของเขาหลังจากนั้นก็ไล่ขึ้นไปจนถึงหัวของเขา ในท้ายที่สุด พวกมันก็พันอย่างแน่นหนาไปจนถึงบนหัวของเขา พันรัดเขาอยู่ด้านในอย่างแน่นหนา
เสียงดังสนั่นมาจากทางด้านนอกของตำหนักใต้บาดาล จากด้านในโลกแห่งฟ้าเสมอเหมือน โม่เทียนเกอเห็นว่าตำหนักเริ่มที่จะถล่มลง
นี่เป็นการก่อสร้างจากยุคโบราณ ดังนั้นทุกชิ้นส่วนจึงถูกสร้างขึ้นทีละเล็ก ทีละน้อยโดยใช้ก้อนหินขนาดใหญ่กว่ามนุษย์สองเท่า แต่ละก้อนหนักหนึ่งพันจินเป็นอย่างมาก อย่างไรก็ตาม ในตอนนี้ก้อนหินเหล่านั้นเริ่มที่จะถล่มลง กำแพงจากทุกด้าน เพดาน… ทีละช่วง ทีละช่วงถูกกระแสน้ำพัดไปและตกลงสู่ก้นบึ้งแห่งพื้นใต้ทะเล
กระแสน้ำเริ่มที่จะรุนแรงมากยิ่งขึ้น กระดูกมังกรลอยไปทั่ว และก้อนหินขนาดใหญ่กระเด็นไปทั่วทิศทาง
โม่เทียนเกอมองอย่างเสียดายในขณะที่ก้อนหินเหล่านั้นกระแทกเข้าไปที่เริ่นอวี่เฟิงแต่โดนขัดขวางด้วยรังไหมสีดำขนาดใหญ่ที่ห่อหุ้มร่างกายของเขาอยู่ สำหรับชิวจื้อหมิงเขาได้ถูกฝังอยู่ใต้ก้อนหินที่ไหนสักที่ไปนานแล้ว
หลังจากเวลาผ่านไปนาน ทุกสิ่งทุกอย่างก็เริ่มสงบลง กระแสน้ำไม่รุนแรงอีกต่อไป และการเคลื่อนที่ของก้อนหินก็ได้หยุดลง ความจริงแล้ว แม้กระทั่งน้ำก็เริ่มที่จะถอยหายไป
โม่เทียนเกอที่ปลอดภัยอยู่ภายในโลกแห่งฟ้าเสมอเหมือนทันใดนั้นก็เห็นลำแสงมาจากที่ไหนสักแห่งหนึ่ง