คนเหล่านั้นเดินตามนายท่านเหวินไปยังที่เรือนของเขา เขาหยุดฝีเท้าลง หันหลังกลับ นายท่านเหวินพูดว่า “ซื่อจื่อ แม่นางเมิ่ง เรื่องวันนี้รบกวนพวกเจ้ามากแล้ว วันหน้าหากมีเรื่องจะต้องให้พวกเราช่วย ขอให้โปรดพูดมาตามตรง ข้าจะช่วยอย่างเต็มที่”
หวงฝู่อี้เซวียนพยักหน้า “อี้เซวียนขอขอบคุณนายท่านเหวินขอรับ”
เขาโบกมือ ถอนหายใจออกมายาวเหยียด พูดว่า “วันนี้ข้าเหนื่อยแล้ว ขอไม่คุยกับทั้งสองท่านต่อนะ เชิญทั้งสองตามสบายเถิด”
ทั้งสองพยักหน้า
นายท่านเหวินเดินเข้าไปในห้องนอน เสียงแก่ๆ ดังแว่วออกมาว่า “ข้าเหนื่อยแล้ว ข้าขอพักเสียหน่อย ไม่ว่าจะเกิดเรื่องอะไรขึ้นจงอย่าได้มารบกวนข้า”
เสียงตอบรับของคนบ่าวรับใช้ดังตามมา
หวงฝู่อี้เซวียนอุ้มเมิ่งเชี่ยนโยวเดินกลับไปยังเรือนรับรองแขกเงียบๆ
“ชิงหลวน เจ้าไปถามดูทีว่าซ้อตื่นหรือยัง” เมิ่งเชี่ยนโยวถามตั้งแต่ยังไม่ได้เข้าห้อง
ชิงหลวนตอบรับ เข้าไปยังเรือนหลัก
หวงฝู่อี้เซวียนวางนางลงบนเตียง เปิดชายเสื้อของนางขึ้น เพื่อดูแผลของนาง เมื่อเห็นว่าไม่มีเลือดไหลแล้วจึงพูดด้วยความยินดีว่า “โชคดีที่พวกมันไม่ได้อาบยาพิษไว้บนมีด”
ชิงหลวนกลับมาแล้ว รายงานว่า “คนที่เรือนหลักบอกว่านายหญิงเหวินยังไม่ตื่นเลยเจ้าค่ะ”
เมิ่งเชี่ยนโยวดีใจ เพราะเพียงแค่เฝิงจิ้งเหวินไม่ตื่นขึ้นมาลูกในท้องก็มีโอกาสรอดแล้ว
ราวๆ หนึ่งชั่วยามถัดมา เหวินซื่อที่มีอาการเศร้าหมองเดินเข้ามา ไม่พูดอะไรสักคำ ทำเพียงนั่งเงียบอยู่ในห้องเท่านั้น
หวงฝู่อี้เซวียนและเมิ่งเชี่ยนโยวก็ไม่พูดอะไร นั่งเคียงข้างเขา
เวลาผ่านไปครู่ใหญ่ เหวินซื่อยืนขึ้น มองทั้งสองคนเล็กน้อย พูดว่า “ระวังตัวด้วยล่ะ” และเดินออกไป
เมิ่งเชี่ยนโยวไม่เข้าใจ
หวงฝู่อี้เซวียนหรี่ตาลง
คืนนั้นผ่านไปอย่างสวัสดิภาพ เมิ่งเชี่ยนโยวตื่นขึ้นในเช้าตรู่ของวันต่อมา สะกิดหวงฝู่อี้เซวียนที่นอนข้างกายนาง ถามว่า “เมื่อคืนไม่มีคนจากเรือนหลักมาใช่หรือไม่”
หวงฝู่อี้เซวียนตอบรับ อื้ม
เมิ่งเชี่ยนโยวลุกขึ้นอย่างรวดเร็ว ไม่ทันระวังทำให้ผ้าฉีกมีเสียงดัง แคว่ก
หวงฝู่อี้เซวียนตกใจตื่นขึ้นมา กระเด้งตัวนั่งขึ้น ถามอย่างร้อนใจว่า “แผลฉีกหรือ”
พูดจบ ก็เปิดผ้าของนางออก พบว่าไม่มีเลือดซึมออกมา จึงได้วางใจลง
“เจ้าอุ้มข้าไปที่เรือนหลักที เวลานี้ซ้อควรจะตื่นได้แล้ว ข้าจะไปดูเสียหน่อย”
เมื่อมองเห็นแสงสว่างสลัวด้านนอก หวงฝู่อี้เซวียนขมวดคิ้ว “เช้าไปหรือไม่ ไม่แน่ว่าบ้านนี้อาจจะยังไม่ตื่นนอนกัน”
“ไม่หรอก เร็วเข้า อุ้มข้าไป” นางร้อนรน
หวงฝู่อี้เซวียนจนปัญญา สวมใส่เสื้อผ้าเรียบร้อย อุ้มนางออกไปจากห้อง ชิงหลวนและจูหลีได้ยินเสียงจึงเดินตาม
กระทั่งมาถึงเรือนหลัก สาวใช้ที่คอยดูแลอยู่ด้านหน้าเห็นพวกเขา จึงได้ตะโกนออกมาว่า “ฮูหยิน แม่นางเมิ่งมาแล้วเจ้าค่ะ”
พูดจบ ทั้งสองทำความเคารพ และเปิดม่านกั้นประตูออก “ฮูหยินตื่นนอนนานแล้วเจ้าค่ะ แต่เกรงว่าจะไปรบกวนแม่นางเมิ่ง จึงไม่ได้ส่งคนไปเรียกเจ้าค่ะ”
ชิงหลวนรับเมิ่งเชี่ยนโยวมาเช่นเคย อุ้มนางเข้าไปด้านใน
เฝิงจิ้งเหวินนั่งอยู่บนเตียงด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม รีบถามว่า “ท่านพี่บอกข้าว่าลูกในท้องข้าปลอดภัยแล้ว น้องโยวเอ๋อร์รีบมาดูให้ข้าทีว่าเป็นอย่างนั้นจริงหรือไม่”
เหวินซื่อนั่งอยู่อีกทาง มองนางด้วยสายตาจริงจัง
เมิ่งเชี่ยนโยวบอกให้ชิงหลวนวางตนลงบนตั่งถัดจากเตียง คว้าแขนของเฝิงจิ้งเหวินมา และจับชีพจรของนาง
เฝิงจิ้งเหวินและเหวินซื่อกลั้นหายใจ มองนางตาไม่กะพริบ
ผ่านไปครู่ใหญ่ กระทั่งเหวินซื่อทนไม่ไหวเตรียมจะถามออกไปนั้น เมิ่งเชี่ยนโยวก็ปล่อยแขนเฝิงจิ้งเหวินออก พยักหน้า “ลูกในท้องปลอดภัยแล้วเจ้าค่ะ”
ทั้งสองยินดีขึ้นมาทันที แต่เมิ่งเชี่ยนโยวกลับพูดว่า “แต่ว่าได้รับผลกระทบอยู่บ้าง ข้าเกรงว่าหลายเดือนต่อจากนี้ อาซ้อคงจะต้องใช้ชีวิตอยู่บนเตียงแล้ว”
สีหน้ามีความสุขได้จางหายไป เฝิงจิ้งเหวินถามอย่างระมัดระวังว่า “เจ้าหมายความว่า ลูกของข้ามีโอกาสจากข้าไปเสมออย่างนั้นหรือ”
“มีโอกาสเจ้าค่ะ” เมิ่งเชี่ยนโยวตอบตามตรง “แต่ว่า หากท่านรักษาตัวอย่างดี ห้าเดือนต่อจากนี้ลูกในท้องก็ปลอดภัยแล้วเจ้าค่ะ”
เฝิงจิ้งเหวินพยักหน้าติดกัน “ข้าจะพักผ่อนอย่างดี ข้าจะพักผ่อนอย่างดี”
“นอกจากไม่ควรขยับร่างกายแล้ว ยังต้องรักษาสภาพจิตใจให้มีความสุข ห้ามไม่ให้มีเรื่องใดกระทบจิตใจเจ้าค่ะ” ประโยคนี้เมิ่งเชี่ยนโยวต้องการพูดกับเหวินซื่อ
เหวินซื่อเข้าใจความหมายของนาง พยักหน้าเบาๆ
นางบอกสิ่งที่ควรทำอย่างละเอียดแล้วก็สั่งยาให้ หลังจากกินอาหารเช้าเสร็จ หวงฝู่อี้เซวียนและเมิ่งเชี่ยนโยวก็นำคนของพวกเขากลับจวนไป
ในทีแรกหวงฝู่อี้เซวียนอยากให้นางไปที่จวนอ๋องเสียก่อน แต่เมิ่งเชี่ยนโยวบอกว่าอาศัยอยู่ที่นั่นไม่เป็นอิสระ อีกทั้งต้องให้พระชายามาคอยเป็นห่วงอีก พระชายาร่างกายอ่อนแออยู่แล้ว ไม่ควรเจอเรื่องที่ทำให้ไม่สบายใจ จึงคิดว่าไม่เข้าไปเสียจะดีกว่า
หวงฝู่อี้เซวียนตามใจนาง กลับไปยังจวนที่หนานเฉิงพร้อมนาง หลังจากนั้นหลายวันก็ไม่ได้กลับไปจากจวนอ๋องอีก มีเพียงแค่ให้กัวเฟยไปจวนอ๋อง บอกคนให้นำเสื้อผ้าของเขามาส่งให้
ได้ฤกษ์งานแต่งงานเรียบร้อยแล้ว พระชายาจึงไม่ได้มีเวลามาสนใจพวกเขามากนัก เพราะยุ่งอยู่กับเรื่องชุดวันแต่งงานของทั้งสอง
เวลาผ่านไปไม่นาน แผลของเมิ่งเชี่ยนโยวกลายเป็นแผลเป็น นางลองลุกขึ้นเดิน หวงฝู่อี้เซวียนห้ามนางไม่อยู่ จึงต้องตามใจนาง
โชคดีที่ไม่ได้รับบาดเจ็บถึงกระดูก จึงไม่เป็นอันตรายมาก ท่าทางการเดินก็ไม่ได้ต่างจากปกติเท่าใด
แต่ว่า เพื่อเป็นการป้องกันไม่ให้เกิดเรื่องไม่คาดคิดขึ้น หวงฝู่อี้เซวียนจึงไม่ให้นางเดินไปไหนตามอำเภอใจ เพียงให้นางเดินเล่นในจวนเท่านั้น
เรื่องทุกอย่างได้เตรียมการไว้พร้อมหมดแล้ว ไม่มีอะไรต้องเป็นกังวล
เมิ่งเชี่ยนโยวเองก็เชื่อฟัง ไม่ได้ก้าวเดินออกไปด้านนอกเลยแม้แต่น้อย
วันนี้อากาศอุ่นขึ้น หวงฝู่อี้เซวียนไปออกกำลังกับนาง เห็นคนดูแลประตูเดินเข้ามาอย่างรีบร้อน รายงานอย่างร้อนใจว่า “ซื่อจื่อ นายหญิง ด้านนอกมีคุณชายผู้ดีท่านหนึ่งมาขอพบ บอกว่าเป็นพี่ใหญ่ของซื่อจื่อขอรับ”
ทุกคนรู้ดีว่าจวนอ๋องมีเพียงหวงฝู่อี้เซวียนและหวงฝู่อวี้เท่านั้น บัดนี้มีผู้มากล่าวอ้างว่าเป็นพี่ชายของซื่อจื่อ ความรู้สึกแรกของคนเฝ้าประตูรู้ได้ทันทีว่าเป็นกลลวง แต่ว่าดูท่าทางของเขา ดูจากการแต่งกายของเขาแล้ว ไม่ธรรมดาเหมือนผู้อื่น ในใจจึงเกิดความสงสัยขึ้น จึงได้รีบเข้ามารายงาน
หวงฝู่อี้เซวียนขมวดคิ้วลง เมิ่งเชี่ยนโยวหัวเราะและพูดว่า “ผู้ใดกันช่างใจกล้ายิ่งนัก กล้าปลอมมาเป็นพี่ของเจ้า สงสัยมาผิดบ้านกระมัง”
ราวกับว่าหวงฝู่อี้เซวียนคิดอะไรได้ขึ้นมา สีหน้ามีความกังวลขึ้น พูดว่า “ไปบอกเขา ว่าข้าไม่มีพี่ชาย เขามาผิดบ้านแล้วล่ะ”
“น้องเซวียนพูดเช่นนี้ไม่ได้ หากแพร่ออกไป คนจะมองว่าข้าเป็นคนหลอกลวง อย่างนั้นข้าคงมิรู้จะเอาหน้าไปไว้ที่ใด” พูดจบ ชายผู้ที่มีอายุอานามใกล้เคียงกับหวงฝู่อี้เซวียน ท่าทางสง่างามผู้นั้น ก็สะบัดพัดขึ้นมาพลางเดินเข้ามาด้านใน
หวงฝู่อี้เซวียนยืนขวางอยู่ด้านหน้าของเมิ่งเชี่ยนโยว เขากัดฟันกรอด พูดว่า “เหตุใดเจ้าจึงมาที่นี่”
ผู้มาเยือนเห็นท่าทีของเขา หลุดยิ้มออกมา “ได้ยินมาว่าน้องชายยังไม่ได้แต่งงาน แต่กลับมาอาศัยอยู่ที่บ้านฝ่ายหญิง ไม่ยอมกลับจวน ข้าจึงสงสัยและอยากมาดูให้เห็นกับตาว่าเสน่ห์ของสาวงามเช่นไรที่มัดใจเจ้าไว้ได้ ทำให้ซื่อจื่อผู้เย็นชาหลงใหลได้ถึงเพียงนี้”
“ไสหัวกลับไป ที่นี่ไม่ต้อนรับเจ้า” หวงฝู่อี้เซวียนพูดกลับ
แต่ผู้มาเยือนไม่ใส่ใจแม้แต่น้อย โยกหัวไปมา ทำสีหน้าผิดหวังและพูดว่า “ไม่ได้หรอก ไม่ได้ ข้ามาทั้งที่ หากไม่ได้พบหน้าหญิงสาวที่ทำให้เจ้าหลงใหล ข้าก็ไม่ยอมกลับ”
หวงฝู่อี้เซวียนเงื้อมมือปล่อยพลังฝ่ามือใส่เขาอย่างรุนแรง
ผู้มาเยือนตกใจจนถอยหลังไปเล็กน้อย ด้านข้างมีร่างของคนจำนวนหนึ่งตรงเข้ามา ยืนกั้นไว้ด้านหน้าเขาด้วยสีหน้าดุดัน
“พวกเจ้าถอยไปให้หมด หากไม่มีคำสั่งจากข้า ก็ห้ามออกมา หากทำให้พระชายาของซื่อจื่อตกใจไป ข้าจะตัดหัวพวกเจ้าทิ้ง” เขาสั่งด้วยเสียงดุ
คนเหล่านั้นลังเลเล็กน้อย และหลบหายไปอย่างรวดเร็ว
ผู้ดูแลประตูงุนงงเป็นอย่างมาก
“ที่นี่ไม่มีกงการอะไรของเจ้าแล้ว ออกไปเถิด” เมิ่งเชี่ยนโยวกล่าว
คนดูแลประตูตอบรับ เดินเร็วไปยังประตูหลัก แต่ในใจกลับยังสงสัยอยู่ เห็นทีซื่อจื่อคงจะรู้จักคนผู้นั้น แต่เมื่อพบกันก็ลงมือทันที คงจะไม่ใช่เพื่อนรักกัน เขาควรจะไปบอกกัวเฟยหรือไม่ไปบอกดี
หวงฝู่อี้เซวียนไม่หยุดใช้กำลัง ยังคงโจมตีเขาอย่างต่อเนื่อง
แต่วรยุทธ์ของผู้มาเยือนก็ไม่แพ้กัน ขณะที่รับมือกับเขาอยู่ ยังหันมาทักทายเมิ่งเชี่ยนโยวว่า “น้องสะใภ้ ข้าคือพี่ใหญ่ พวกเรามีเรื่องอะไรก็คุยกันดีๆ เถิด เจ้ารีบบอกให้เจ้าบ้านี่หยุดเสียที”
เมื่อเห็นท่าทางของเขาแล้ว บวกกับปฏิกิริยาที่หวงฝู่อี้เซวียนมีต่อเขาเมิ่งเชี่ยนโยวเองก็สามารถคาดเดาได้ว่าเขาเป็นใคร จึงไม่ได้สนใจคนสองคนที่กำลังต่อสู้กันอยู่ หันหลังเดินกลับไปยังห้องครัว
เมื่อเห็นว่านางไม่ใส่ใจแม้แต่น้อย ผู้มาเยือนรู้สึกร้อนใจขึ้นทันที พูดด้วยน้ำเสียงร้อนรนว่า “น้องสะใภ้ เจ้าจะต้อนรับแขกเช่นนี้อย่างนั้นหรือ อย่างน้อยข้าก็เป็นถึง…”
เมิ่งเชี่ยนโยวหยุดฝีเท้าลง หันหลังกลับ พูดอย่างดุร้ายว่า “หุบปาก หากเจ้ายังกล้าปริปากพูดอีก ข้าจะโยนเจ้าออกไปนอกจวน”
เขาคิดไม่ถึงว่านางจะพูดเช่นนี้ จึงผงะไปเล็กน้อย และถูกฝ่ามือของหวงฝู่อี้เซวียนปะทะเข้าอย่างแรง ร่างของเขาเซไปด้านหลังหลายก้าว และยังกระแอมออกมาหลายที
“สมควรแล้ว หากครั้งหน้ายังกล้าถือวิสาสะเข้ามาในบ้านข้าโดยไม่ได้รับอนุญาตล่ะก็ ข้าจะตบเจ้าให้ฟันร่วงหมดปากเลยทีเดียว” เมิ่งเชี่ยนพูดต่อ และหันหลังเดินจากไป
ผู้มาเยือนเบิกตาโต ราวกับว่าไม่เชื่อในสิ่งที่ตนได้ยิน ชี้ตามหลังเมิ่งเชี่ยนโยวไป “น้องเซวียน นาง นาง นาง…” ไม่รู้ว่าจะพูดอะไรต่อ ครู่หนึ่งจึงได้พูดออกมาว่า “นางเป็นหญิงร้ายและอัปลักษณ์โดยแท้”
มีพลังฝ่ามือโถมเข้ามาอีกครั้ง เขาหลบได้ พูดอย่างไม่พอใจว่า “ข้าไม่ได้พูดอะไรผิดเสียหน่อย เหตุใดเจ้าจึงจะโกรธข้ามากถึงเพียงนี้เล่า”