ตอนที่ 210-1 พี่ใหญ่ ช่วยข้าที

ข้ามกาลบันดาลรัก [ส่วนที่ 2 ภาคแต่งงาน]

หวงฝู่อี้เซวียนไม่พูดอะไร ยังคงใช้วรยุทธ์อย่างดุดันเช่นเดิม ทำให้ผู้มาเยือนถอยหลังไปหลายก้าว ราวกับว่าต้องการโจมตีให้เขาถอยออกจากจวนไป

 

 

ชิงหลวนและจูหลีรวมถึงกัวเฟยได้ยินเสียงเอะอะ จึงรีบร้อนวิ่งมา ได้เจอกับเมิ่งเชี่ยนโยวพอดี จึงสั่งว่า “เป็นเพียงแค่คนบ้าพลังสองคนเท่านั้น อย่าไปสนใจเลย”

 

 

เมื่อพูดเช่นนั้น ทั้งสามหยุดฝีเท้าลง เพียงแต่มองไปทางนั้นเล็กน้อย และหันสายตากลับมา หันหลังเดินตามเมิ่งเชี่ยนโยวเข้าไปยังห้องครัว

 

 

แม้ว่าภายนอกจะดูเหมือนไม่ตกใจ แต่ภายในแล้วเมิ่งเชี่ยนโยวตระหนกเป็นอย่างมาก ไท่จื่อมาหาเขาอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ยเช่นนี้ไม่รู้ว่ามีเป้าหมายอะไร

 

 

ในใจก็คิดไป เดินวนไปมาในห้องครัว มองดูวัตถุดิบทำอาหาร เนื่องจากหลายวันมานี้หวงฝู่อี้เซวียนพักอยู่ที่จวน วัตถุดิบจึงมีพร้อมทุกอย่าง เมื่อดูเสร็จ ก็คิดในใจได้แล้วว่าจะทำอาหารอะไรบ้าง สั่งให้บ่าวรับใช้รีบลงมือทำ เห็นท่าทางของไท่จื่อเป็นเช่นนั้นแล้ว วันนี้อย่างไรก็คงจะไล่ไม่ไป จึงได้ลงมือเข้าครัวด้วยตนเอง ต้องทำอาหารดีๆ ออกมาสักสองสามอย่าง

 

 

หลายวันมานี้ที่เมิ่งเชี่ยนโยวบาดเจ็บ หวงฝู่อี้เซวียนดูแลนางอย่างใกล้ชิด ไม่ให้นางขยับตัวนัก แม้กระทั่งลงจากเตียงมาเดินเล่นก็ยังทำไม่ได้ ไม่ต้องพูดถึงเรื่องเข้าครัวมาทำอาหารเลย ชิงหลวนและจูหลีเห็นนางเริ่มเตรียมวัตถุดิบ จึงมองหน้ากัน ชิงหลวนพูดว่า “นายหญิง ซื่อจื่อยอมให้ท่านเข้าครัวแล้วหรือ”

 

 

“ดูท่าแล้ว รอจนพวกเราทำอาหารเสร็จ พวกเขาก็อาจจะยังสู้กันไม่เสร็จก็เป็นได้” เมิ่งเชี่ยนโยวพูดพลางเตรียมวัตถุดิบไปพลาง

 

 

ทั้งสองรีบเข้าไปช่วย

 

 

เป็นอย่างที่เมิ่งเชี่ยนโยวพูดจริงๆ เสียด้วย อาหารทำเสร็จเรียบร้อยแล้ว ก็ยังคงมีเสียงคนสองคนต่อสู้กันจากบริเวณลานบ้านดังเข้ามา

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวสั่งให้ชิงหลวนและจูหลีจัดโต๊ะอาหาร นางเดินสาวเท้าเร็วๆ ไปยังลาน เห็นสภาพลานว่างที่รกวุ่นวาย และคนสองคนที่ยังคงต่อสู้กันอย่างไม่มีใครยอมแพ้ จึงพูดเสียงดังว่า “หากทำของเสียหายจะต้องรับผิดชอบตามราคาจริง หากขาดไปแม้แต่แดงเดียวข้าจะไปฟ้องพระชายาทันที”

 

 

ทั้งสองผงะไป หยุดการต่อสู้ หวงฝู่อี้เซวียนดีดตัวมาทางเมิ่งเชี่ยนโยว ส่วนอีกคนยังยืนอยู่ที่เดิม เบิกตาโตถามอย่างสงสัยว่า “อะไรกัน เขาเริ่มก่อนแท้ๆ ข้าต้องสู้กลับเพราะความจำเป็น หากจะต้องมีคนชดใช้ก็มีเพียงเขาผู้เดียว”

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวหยิบผ้าเช็ดหน้าของตนออกมา เดินไปยังตรงหน้าของหวงฝู่อี้เซวียน เช็ดเม็ดเหงื่อบนหน้าผากเขาอย่างอ่อนโยน จึงพูดว่า “หากไม่ใช่เพราะเจ้าบุกรุกที่พักของชาวบ้าน เขาจะลงมือกับเจ้าอย่างนั้นหรือ อย่างไรก็ตามนี่ก็เป็นความผิดของเจ้า หากเจ้าไม่ยอม ของที่พังเจ้าต้องเป็นผู้รับผิดชอบ”

 

 

ไม่อยากจะเชื่อเลยว่าจะมีผู้ที่ไม่มีเหตุผลเช่นนี้ด้วย เขาไม่เคยพบเคยเจอมาก่อน แต่ไม่เพียงจะไม่ถือโทษโกรธเคืองแล้ว เขากลับรู้สึกสงสัย เบิกตาขึ้นโพลงมองไปที่นาง

 

 

หวงฝู่อี้เซวียนเอาตัวไปยืนบังนางตามสัญชาตญาน พูดด้วยเสียงเย็นชาว่า “เจ้าได้เห็นคนที่เจ้าอยากเห็นไปแล้ว ไสหัวไปได้แล้ว”

 

 

ชายผู้นั้นเริ่มเฉไฉ “จริงอยู่ที่ข้าได้พบตัวจริงแล้ว แต่นี่มันเวลาเที่ยงตรง ข้าหิวแล้วล่ะสิ ไปไหนไม่รอดหรอก ข้าขอกินข้าวก่อนค่อยไป”

 

 

เขาพูดจบก็มีเสียง ตุ้บ ตุ้บ ตุ้บ ดังขึ้นสองสามที เหล่าองครักษ์เงาที่แฝงตัวอยู่ทั่วสารทิศโปรยตัวลงมาด้านล่าง พวกเขาติดตามชายผู้นี้มานานหลายปี เพิ่งเห็นเขาประพฤติตัวเช่นนี้เป็นครั้งแรก เหล่าองครักษ์เงาตกใจเป็นอย่างมากในทีแรก จึงทำให้อดทนพรางตัวต่อไปไม่ไหว ทั้งหมดจึงได้เผยตัวออกมา เขาเป็นถึงองค์ชายรัชทายาท มีฐานันดรสูงส่ง ขอเพียงแค่เอ่ยปากว่าหิว ในวังก็มีอาหารนับพันชนิดมาให้เค้าเลือก แต่ตอนนี้กลับใช้เล่ห์เหลี่ยม ดึงดันจะอยู่กินอาหารที่บ้านองค์หญิง แม้ว่าองค์หญิงคนนี้จะเป็นพระชายาซื่อจื่อในอนาคต แต่เขาก็ไม่มีเหตุสมควรจะต้องทำเช่นนี้เลย ขอเพียงออกคำสั่งมาก็เพียงพอแล้ว เมิ่งเชี่ยนโยวมีหรือจะกล้าขัดคำสั่งของเขา

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวจะกล้าหรือไม่นั้น หวงฝู่ซวิ่นมิอาจรู้ได้ แต่เขารู้ดีว่าหวงฝู่อี้เซวียนจะต้องกล้าเป็นแน่ หลายปีก่อน เมื่อครั้งที่หนุ่มผู้นี้เพิ่งถูกรับตัวกลับมาใหม่ๆ ตนมองว่าเขาเป็นเด็กที่มีความเป็นผู้ใหญ่มาก จึงคิดจะแกล้งเขาเล่น คอยหาโอกาสหยอกแกล้งเขาตลอด แรกๆ ก็ยังดีอยู่ เด็กหนุ่มคนนี้ทำเพียงแค่มองเขาด้วยสายตาโกรธเคืองเท่านั้น ไม่มีปฏิกิริยาอื่นใด แต่มีครั้งหนึ่งถูกเขาแกล้งจนโกรธมาก จึงได้ลงไม้ลงมือกับเขา และแม้ว่าจะไม่ได้พ่ายแพ้เสียเปรียบใด แต่หลังจากวันนั้น ไม่รู้ว่าอะไรดลใจเขา จะต้องมาท้าประลองกับเขาแทบจะวันเว้นวัน และแม้ว่าจะแพ้ทุกครั้ง แต่ก็ยังสู้อย่างไม่รู้สึกเหน็ดเหนื่อย เวลาผ่านไปสองปี เขาได้กลายมาเป็นคู่ต่อสู้ที่สูสีกับตนแล้ว ไม่ใช่เด็กหนุ่มขี้แพ้ในกำมืออีกต่อไป

 

 

ไท่จื่อผู้สูงส่งพูดประโยคเช่นนี้ออกมาได้ เมิ่งเชี่ยนโยวเกือบอดไม่ได้ที่จะหัวเราะออกมา นางกลั้นขำสุดแรงเกิด คว้าแขนของหวงฝู่อี้เซวียนเดินเข้าไปยังห้องครัว ไม่สนใจคนที่ยืนอยู่ด้านหลัง

 

 

“เดี๋ยว เดี๋ยว เดี๋ยว” หวงฝู่ซวิ่นไม่พอใจ ร้องตะโกนอยู่ด้านหลัง “ข้าจะบอกว่าเจ้าทั้งสองน่ะ ยังไม่ได้แต่งงานกัน แล้วจะมาจับมือถือแขนกันเช่นนี้ ข้าเห็นแล้วอุจาดตานัก”

 

 

หวงฝู่อี้เซวียนพูดเสียงเย็นชาโดยไม่หันหลังกลับไปมอง “หากเจ้าไม่อยากเห็นล่ะก็ ทิ้งเงินไว้ แล้วไสหัวออกไปเสีย”

 

 

หวงฝู่ซวิ่นถูกดุเข้า ทำให้พูดอะไรไม่ออกอยู่นานสองนาน เขาลูบจมูกของตนเองเล็กน้อย กางพัดในมือของตนออก ทำท่าทีสง่างาม “หากจะใช้วิธีนี้ไล่ข้าออกจากบ้านล่ะก็ ไม่มีทางเสียหรอก ไท่จื่อผู้นี้ไม่มีทางเสียรู้เป็นแน่”

 

 

เหล่าองครักษ์เงาที่เพิ่งจะลุกขึ้นจากพื้นได้ ก็ล้มลงไปอีกครั้ง พร้อมกันนั้นในใจมีเสียงเสียงหนึ่งแผดออกมาว่า นี่หรือคือไท่จื่อผู้เด็ดเดี่ยว ฉลาดหลักแหลมไม่มีใครเปรียบ เจ้าเลห์ดั่งจิ้งจอกของพวกเรา เป็นเขาตัวจริงแน่หรือ

 

 

หวงฝู่ซวิ่นกวาดสายตามองพวกเขาเพียงเล็กน้อย แต่เหล่าองครักษ์เงากลับรู้สึกราวกับว่ามีลมหนาวพัดเข้ามาใส่ร่างตนในฤดูที่มีอากาศอบอุ่นเช่นนี้ ลมหนาวทำให้พวกเขาหนาวจนสั่นสะท้าน จากนั้นก็ได้สติขึ้นมาและรีบกลับไปประจำตำแหน่งของตน

 

 

หวงฝู่ซวิ่นเก็บสายตาของเขาลง พับพัดเก็บลง เดินย่างกรายตามทั้งสองไปยังห้องอาหาร

 

 

เค้าเป็นผู้มียศถาบรรดาศักดิ์ อย่างไรเสียก็ต้องมีพิธีรีตองบ้าง เมิ่งเชี่ยนโยวสั่งให้คนเตรียมน้ำสะอาดแยกมาให้เขา หลังจากหวงฝู่ซวิ่นล้างมือเรียบร้อยแล้ว ไม่รอให้เจ้าบ้านเชื้อเชิญ ก็ประทับลงที่ตำแหน่งหัวโต๊ะทันที

 

 

หวงฝู่อี้เซวียนและเมิ่งเชี่ยนโยวหมดคำจะพูด จึงนั่งลงฝั่งทางซ้ายของเขา

 

 

ในวังนั้นต้อวชิมอาหารก่อน และยังมีผู้คอยรับใช้อยู่ด้านข้าง แต่เมื่ออยู่ที่บ้านเมิ่งเชี่ยนโยวไม่มีทางให้เขาทำนิสัยเสียเช่นนั้น เมื่อหวงฝู่อี้เซวียนคีบอาหารให้นางแล้ว ทั้งสองก็เริ่มกินอาหารทันที

 

 

หวงฝู่ซวิ่นมองซ้ายมองขวา นอกจากพวกเขาทั้งสามคนแล้ว ก็ไม่มีใครอื่นอีก เมื่อเห็นทั้งสองเริ่มกินอย่างเอร็ดอร่อย จึงไม่รอให้คนมาคอยป้อน เขาหยิบตะเกียบขึ้นมาตามอย่างสองคนนั้น มองดูอาหารหกอย่างตรงหน้า คีบมาหนึ่งอย่างและใส่เข้าปากของตน

 

 

ในวังเต็มไปด้วยอาหารรสโอชา การที่เขาดึงดันจะต้องอยู่รับประทานอาหารที่นี่ก็เพราะว่าเขากำลังเกิดความสงสัยอยู่ ตั้งแต่เมิ่งเชี่ยนโยวมาถึงเมืองหลวงเมื่อปีก่อนเป็นต้นมา ข่าวคราวเกี่ยวกับนางก็ได้ลอยเข้าหูเขามาโดยตลอด ครานั้นเขาอยากจะหาโอกาสเพื่อถกถามพูดคุยกับนาง แต่เรื่องการหมั้นหมายของนางกับหวงฝู่อี้เซวียนยังไม่ได้กำหนดลงตัว หากตนไปพบนางตามลำพัง จะทำให้หวงฝู่อี้เซวียนเกิดอาการหึงหวงเอาได้ จึงได้เก็บความคิดนี้เอาไว้ จนกระทั่งพวกเขาได้รับพระราชทานงานสมรส กำหนดวันเข้าพิธีแล้ว เขาจึงกล้ามาพบ และแน่นอนว่าต้องเลือกวันที่มีหวงฝู่อี้เซวียนอยู่ด้วย

 

 

เขาคีบอาหารเข้าปากอย่างไม่รีบร้อน พอกินไปหนึ่งคำ เขาก็เบิกตาโพลงขึ้น แล้วก็กินซ้ำอีกเพื่อให้แน่ใจ กลืนลงอย่างรวดเร็ว ถามขึ้นว่า “อา อาหารนี่ใครเป็นคนทำหรือ”

 

 

หวงฝู่อี้เซวียนเองก็ได้ชิมรสชาติของอาหารแล้ว กล่าวโทษเมิ่งเชี่ยนโยวว่า “ข้าบอกแล้วมิใช่หรือว่าห้ามทำอาหารเองจนกว่าแผลจะหายดีเสียก่อน”

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวตอบเขาด้วยรอยยิ้มออดอ้อน พูดว่า “ข้าเห็นว่าพี่ใหญ่ของเจ้ามาเยี่ยมเป็นครั้งแรก เข้าครัวทำอาหารเองก็เพื่อเป็นแสดงถึงการต้อนรับอย่างจริงใจ ต่อไปข้าจะไม่ทำอีกแล้ว”

 

 

ทั้งสองคนพูดคุยถามตอบกัน แต่หวงฝู่ซวิ่นเข้าใจความหมายที่ทั้งสองจะสื่อแล้ว จึงถามอย่างไม่เชื่อใจ “อาหารพวกนี้แม่นางเมิ่งเป็นคนทำเองเลยหรือ”

 

 

น้ำเสียงของเมิ่งเชี่ยนโยวเต็มไปด้วยความภาคภูมิใจ และความโอ้อวด “แน่นอนเจ้าค่ะ ฝีมือการทำอาหารของเชี่ยนโยวดีเสียยิ่งกว่าอะไร ไม่ใช่ว่าใครจะได้ชิมฝีมือข้าง่ายๆ นะเจ้าคะ”

 

 

หวงฝู่ซวิ่นมองเมิ่งเชี่ยนโยวอย่างไม่อยากเชื่อสายตา และหันไปมองอาหารบนโต๊ะ จากนั้นก็ยกชามขึ้น คีบอาหารเพิ่มวางลงบนชาม ปากก็พูดว่า “ไม่ได้ละ อย่างนี้ข้าจะต้องกินให้มาก”

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวเกือบจะหลุดหัวเราะเอาอาหารในปากกระเด็นออกมา นางพยายามอย่างมากที่จะบังคับตัวเองให้กลั้นขำเอาไว้