ภาคที่ 5 ตอนที่ 22 ท่านหัวหน้าสอนให้เปิดเรือเหาะ

กาลหนึ่งเคยมีเขากระบี่วิญญาณ

ตอนที่ 22 ท่านหัวหน้าสอนให้เปิดเรือเหาะ โดย Ink Stone_Fantasy

 

          นี่มันฝันร้ายชัดๆ

          สำหรับอาเซี่ยที่บำเพ็ญเซียนมาสองร้อยกับอีกสิบสามปี ครั้งสุดท้ายที่เขาฝันร้ายก็เนิ่นนานมากแล้ว

ตอนแรกที่เขาก้าวเข้ามาบนเส้นทางแห่งการบำเพ็ญเซียน เขาพบกับความทุกข์ยากอยู่เสมอ เขาไม่ได้มีพรสวรรค์สูงส่ง ดังนั้นจึงเป็นไปไม่ได้ที่จะถูกสำนักชั้นสูงหรือแม้แต่เหล่าห้าวิเศษของพันธมิตรหมื่นเซียนเลือก เขาได้เข้าร่วมสำนักระดับล่างสำนักหนึ่งด้วยเหตุบังเอิญ และเพราะเกิดมามีผิวสีแทน รูปร่างปานกลาง อีกทั้งหน้าตาไม่ได้โดดเด่น ศิษย์น้องหลายคนจึงล้อเลียนว่าเขามีเชื้อสายทาสแห่งคุนหลุน และไม่ยอมรับเขาอยู่พักใหญ่ หนำซ้ำผู้เป็นอาจารย์ยังไม่เอาใจใส่แม้แต่น้อย ไม่เพียงละเลยความเป็นอยู่ของเขา แม้แต่ความรู้ต่างๆ บนเส้นทางบำเพ็ญเซียนยังถูกส่งต่อมาให้อย่างไม่ใส่ใจอีกด้วย

          จนกระทั่งเขาบังเอิญเผยพรสวรรค์ของตัวเอง สำแดงความฉลาดและปรีชาญาณที่เหนือกว่าคนอื่นอยู่เล็กน้อยจนทำให้เจ้าสำนักเริ่มหันมารักใคร่และสั่งสอนวิชาบำเพ็ญเซียนให้อย่างกระตือรือร้น ทว่ากว่าเขาจะสนองความคาดหวังและบรรลุถึงขั้นพิสุทธิ์ได้ก็ตอนที่อายุแปดสิบปี หากเทียบกับศิษย์ที่มีพรสวรรค์ทั้งหลาย ความเร็วของเขานั้นไม่อาจเรียกได้ว่าดีงาม แต่ในหมู่สำนักระดับล่างนั้น สิ่งนี้ถือว่าเป็นปาฏิหาริย์ระดับย่อมๆ และหากไม่นับช่วงเวลาที่เสียเปล่าไป ระยะเวลาที่เขาบำเพ็ญเซียนจริงๆ ก็เพียงหกสิบปีเท่านั้น

          ทว่าโลกของอาเซี่ยไม่ได้กว้างใหญ่นัก ขั้นสร้างแกน ขั้นกำเนิดใหม่ และขั้นอื่นๆ ที่เหนือกว่านั้นเป็นสิ่งที่เขาไม่กล้าฝันถึง เพียงแค่บรรลุถึงขั้นพิสุทธิ์ได้เขาก็ยินดีมากแล้ว ทว่าไม่กี่ทศวรรษต่อมา เมื่อเขาสำเร็จตบะขั้นพิสุทธิ์เต็มขั้น เจ้าสำนักก็สิ้นชีวิต เขาจึงได้รับตำแหน่งเจ้าสำนักทำให้ชีวิตมีอิสระไม่ขึ้นกับใครไปอีกร้อยปี

ทว่าการมาถึงของฝันร้ายได้ทำลายชีวิตที่ผาสุกของเขาไปหมดสิ้น เมื่อผู้บำเพ็ญเซียนชั่วช้าบังเอิญมายังสำนักของเขา คนผู้นั้นทะเลาะกับคนอื่นๆ ในสำนัก และทำเกินเหตุถึงขั้นเข่นฆ่าคนในสำนักทั้งหมดอย่างไม่คาดคิด ไม่ต่างอะไรกับการถอนรากถอนโคนสำนักสักนิด!

ผู้บำเพ็ญเซียนชั่วช้าผู้นี้เป็นผู้เชี่ยวชาญตบะขั้นกำเนิดใหม่ สำหรับสำนักของอาเซี่ย คนผู้นี้ไม่ต่างจากหายนะทางธรรมชาติ เขาได้ส่งผู้บำเพ็ญเซียนนับร้อยไปจัดการอีกฝ่าย แต่ภายในคืนเดียว ทุกคนกลับถูกสังหาร ทัศนียภาพรอบตัวที่เขาบรรจงจัดวางอย่างงดงามมากว่าสองร้อยปีพลันแปรเปลี่ยนไปเป็นนรกที่เต็มไปด้วยเลือดและเปลวเพลิง… หากผู้บำเพ็ญเซียนที่เที่ยงธรรมของพันธมิตรหมื่นเซียนไม่มาปรากฏตัว อาเซี่ยเองก็อาจย่อยยับในการต่อสู้ครั้งนั้นก็เป็นได้

          ผู้ที่ช่วยชีวิตเขาไว้คือผู้อาวุโสคนหนึ่งของสำนักเชี่ยวชาญสรรพสัตว์ หลังจากที่อาเซี่ยฟื้นเขาก็ไม่มีที่จะไป ดังนั้นจึงคุกเข่าขอเข้าร่วมสำนักเชี่ยวชาญสรรพสัตว์ และเพราะขั้นตบะของเขานั้นไม่ถือว่าอ่อนด้อย หนำซ้ำยังมีจิตคิดแก้แค้นจึงทุ่มเทให้กับการฝึกฝนบำเพ็ญเซียนอย่างหนัก อีกทั้งเขายังเป็นที่โปรดปรานของผู้อาวุโสแห่งสำนักเชี่ยวชาญสรรพสัตว์ คนพวกนั้นจึงได้สอนวิชาที่เหนือชั้นให้

          ทว่าเพราะอาเซี่ยมีชีวิตอยู่ด้วยแรงแค้น ทุกครั้งที่เขาหลับหรือทำสมาธิ ภาพที่สำนักของตนถูกทำลายจึงมักปรากฏขึ้นในจิตใจอยู่บ่อยๆ จนเมื่อเขาสำเร็จตบะขั้นสร้างแกนภายในเวลาสามสิบปี พลังวิญญาณขั้นปฐมถูกขัดเกลาอย่างดีและบรรลุจิตแห่งเต๋าแล้วเขาจึงสามารถขจัดฝันร้ายที่คอยตามหลอกหลอนให้พ้นตัวไปได้ ขณะเดียวกันความสำเร็จของเขาแม้ไม่ถือว่ารวดเร็วแต่ก็ยังควรค่าแก่การยกย่อง

          ทว่าลึกลงไปในจิตใจแล้วนั้น ความกลัวไม่เคยละทิ้งเขาไป

          แม้สำนักแรกที่เขาเข้าร่วมจะเป็นเพียงเศษสวะของพันธมิตรหมื่นเซียน แต่ก็เป็นสำนักเซียนที่คนท้องถิ่นให้ความเคารพนับถือ อำนาจในฐานะเจ้าสำนักนั้นเทียบเท่ากับกษัตริย์ของประเทศ… ทว่าหายนะในครั้งนั้นก็กวาดล้างสิ่งเหล่านี้ไปจนสิ้นในชั่วข้ามคืน เหตุการณ์ครั้งนั้นกระทบจิตใจของเขาใหญ่หลวง

          เมื่ออยู่ในสำนักเชี่ยวชาญสรรพสัตว์ เขาไม่กล้าฝันถึงความสำเร็จที่เคยได้รับในอดีต แต่จิตใจของเขาก็ไม่เคยสงบ เขาทำได้เพียงบำเพ็ญเซียนและบำเพ็ญเซียน โดยหวังว่าวันหนึ่งอาจจะโชคดีพอได้เดินไปถึงปลายทางของถนนแห่งการบำเพ็ญเซียนสายนี้ และได้พบกับความรู้สึกมั่นคงปลอดภัย

ทว่าจู่ๆ เส้นทางแห่งการบำเพ็ญเซียนของเขาก็ถูกสะบั้นลงต่อหน้า อย่างไรเสียความสามารถของเขาก็ไม่ถือว่าดีงามอยู่แล้ว ตบะขั้นสร้างแกนระดับต้นถือว่าเป็นที่สุดบนเส้นทางบำเพ็ญเซียนของเขา ไม่ว่าเขาจะพยายามอย่างหนักเพียงไร ก็ไม่อาจก้าวหน้าไปได้มากกว่านี้

          ตบะขั้นสร้างแกนระดับต้นเป็นอะไรที่ค่อนข้างอิหลักอิเหลื่อ ในสำนักเชี่ยวชาญสรรพสัตว์มันเป็นระดับที่กลางๆ ค่อนไปทางต่ำ ระยะเวลาที่เขาเข้ามาอยู่ในสำนักก็ใกล้จะครบศตวรรษอยู่ร่อมรอ ดังนั้นหลังจากที่พัฒนาขึ้นมาได้อีกหนึ่งระดับและติดอยู่ตรงนี้ เขาย่อมถูกดูถูกเหยียดหยามอย่างเลี่ยงไม่ได้ เมื่อบวกกับรูปลักษณ์ที่แตกต่างและประสบการณ์ดำมืดที่ส่งผลต่อนิสัยใจคอ สถานการณ์ของเขาจึงยิ่งย่ำแย่เข้าไปใหญ่ มันราวกับว่าเขาได้ย้อนกลับไปในยุคแรกๆ ที่เพิ่งเริ่มบำเพ็ญเซียนไม่มีผิด ทว่าคราวนี้ไม่มีเจ้าสำนักที่เห็นอกเห็นใจและจิตใจดีพอที่จะช่วยเหลือเขาอีกแล้ว

          ช่วงเวลาที่เส้นทางแห่งการบำเพ็ญเซียนของเขามาถึงทางตันนี้เอง ที่เขาค่อยๆ เริ่มต้นบทบาทใหม่ในฐานะผู้ฝึกสัตว์ของสำนัก ในสำนักเชี่ยวชาญสรรพสัตว์ ผู้ฝึกสัตว์นั้นไม่มีการแบ่งแยกวงศ์ตระกูล เพียงชั่วระยะเวลาไม่กี่ปี สัตว์ภูตที่อาเซี่ยดูแลก็พัฒนาขึ้นหลายระดับอีกทั้งวานรยักษ์ก็สามารถเปลี่ยนร่างเป็นคนได้สำเร็จ

          ตอนที่เขาเห็นว่าเส้นทางการบำเพ็ญเซียนของสัตว์เดรัจฉานราบรื่นยิ่งกว่าตนเอง เขามีความรู้สึกที่หลากหลายเกินจะบรรยาย ดังนั้นจึงอดทำเรื่องบางอย่างไม่ได้ เมื่อวานรภูตเปลี่ยนร่างเป็นคน แน่นอนว่าความแข็งแกร่งของมันย่อมมากกว่าอาเซี่ย แต่ความกลัวที่มีต่อครูฝึกนั้นยังสลักลึกอยู่ในกระดูกทำให้มันยังทำตามคำสั่งของอาเซี่ยอยู่

          อาเซี่ยไม่ได้เป็นคนอ่อนโยน เขาเคยพยายามเก็บหญ้าวิเศษรูปร่างคล้ายไข่มุกโดยมีวานรภูตเป็นผู้ช่วย เขาปล่อยให้วานรภูตเสี่ยงชีวิตเข้าไปต่อสู้กับสัตว์ประหลาดที่คอยเฝ้าหญ้าวิเศษในขณะที่ตัวเองฉวยจังหวะนั้นเก็บหญ้าวิเศษลงย่าม วานรภูตได้รับบาดเจ็บสาหัสและตายส่วนเขาหลอมหญ้าวิเศษให้กลายเป็นยาครอบจักรวาล และเมื่อกินมันเข้าไป ตบะขั้นของเขาก็พัฒนาขึ้นมาอีกหนึ่งระดับ จนกลายเป็นขั้นสร้างแกนระดับกลาง

          ในตอนนั้นเอง อาเซี่ยก็เข้าใจสัจธรรมหนึ่งขึ้นมา ความแข็งแกร่งของคนคนหนึ่งอาจไม่ได้อยู่ที่ขั้นตบะของคนผู้นั้น แต่อยู่ที่ความสามารถในการควบคุมผู้อื่นต่างหาก เหมือนอย่างราชาของเหล่ามนุษย์ปุถุชนซึ่งมีอำนาจเหลือล้น บางทีราชาผู้นั้นอาจจะอ่อนแอกว่าทหารนายใดๆ แต่ในเมื่อเขามีอำนาจพลิกชะตาประเทศได้ ใครจะกล้าพูดว่าเขาไม่แข็งแกร่งกัน

          โลกบำเพ็ญเซียนเองก็เช่นกัน หากเขาสามารถควบคุมผู้ที่แข็งแกร่งได้ แน่นอนมันย่อมพิสูจน์ให้เห็นว่าเขาแข็งแกร่งยิ่งกว่าผู้ที่แข็งแกร่งเหล่านั้นเสียอีก สิ่งที่เรียกว่าความแข็งแกร่งคือความสามารถที่จะบรรลุเป้าหมายมิใช่หรือ หากความแข็งแกร่งคืออำนาจ เช่นนั้นอำนาจในการควบคุมคนอื่นก็คือความแข็งแกร่งเช่นกัน! และสถานะของผู้ฝึกสัตว์ก็ได้มอบสิทธิ์ที่สมบูรณ์แบบให้เขาสำแดงให้เห็น เขาไม่คิดว่าสิ่งนี้เป็นสิ่งผิด สำหรับพวกที่มีพรสวรรค์จำกัด หากต้องการจะไปต่อ พวกเขาจำเป็นต้องใช้ทุกวิถีทางที่หาได้ ในขณะเดียวกันเขาก็ไม่ได้ใช้สัตว์ภูตของสำนักไปอย่างสิ้นเปลือง ทุกครั้งที่เขาสังเวยสัตว์ภูต เขาย่อมแลกเปลี่ยนกับผลประโยชน์ที่มากกว่า อย่างไรเสียนี่ก็คือความชำนาญที่เขาใช้ดำรงชีพ เขาย่อมทำแบบสุกเอาเผากินไม่ได้ ดังนั้นพอเป็นเรื่องวิธีฝึกฝนของเขา เหล่าผู้อาวุโสของสำนักก็จะทำเป็นผิดตาข้างหนึ่งไปเสีย

          อย่างไรเสียสิ่งที่เขาสังเวยลงไปก็เป็นเพียงสัตว์ภูตไม่ใช่ผู้คน ดังนั้นจึงไม่ใช่สิ่งที่รับไม่ได้

          แน่นอนว่าคนในสำนักที่ต่อต้านการกระทำของเขาก็มีไม่น้อย ดังนั้นอาเซี่ยจึงย้ายจากแคว้นทักษิณสวรรค์มาอยู่ที่แคว้นสายหมอก ด้วยหวังว่าหากเขาสามารถช่วยจับสัตว์เซียนได้ แรงต่อต้านภายในสำนักก็จะบรรเทาลง และเส้นทางที่เขาเลือกจะได้รับการพิสูจน์ว่าประสบผลสำเร็จ

          โชคร้ายที่เขาต้องมาเจอคู่ต่อสู้ที่ไม่ได้คาดหมาย

          ตอนที่หวังลู่ดูหมิ่นคุณค่าทั้งชีวิตของเขาและตีค่าว่ามันไร้ค่า เขารู้สึกโกรธมาก ทว่ามันก็เท่านั้น ความเชื่อมั่นบนเส้นทางอาชีพที่ประสบความสำเร็จมาหลายทศวรรษจะถูกทำลายลงด้วยคำพูดเพียงไม่กี่คำได้อย่างไร

          อยากพิสูจน์ว่าเขาผิดหรือ เช่นนั้นก็ชนะเขาให้ได้แล้วพูดคำพวกนั้นออกมาอีกครั้งสิ ในโลกบำเพ็ญเซียนนี้ มีเพียงความแข็งแกร่งเท่านั้นที่เป็นความจริงที่เที่ยงแท้ และภายใต้ค่ายกลหมื่นสัตว์ร้ายนี้ ฝ่ายตรงข้ามจะพิสูจน์อะไรได้ ฝันกลางวันแท้ๆ เชียว!

          แต่จากนั้นฝันร้ายก็มาเยือน

          ฝันร้ายที่แท้จริงไม่ใช่สิ่งที่จะผลักเราไปสู่ความสิ้นหวังไร้ที่สิ้นสุด หรือการไร้กำลังที่จะต่อสู้ดิ้นรน กลับกันมันคือสิ่งที่ทำให้เรามีความหวังอยู่เป็นนิจ จากนั้นก็บดขยี้ความหวังนั้นลง และเมื่อเรามองกลับไป เราก็จะพบว่าทุกสิ่งที่ทำมาคือความสูญเปล่า

          นั่นคือฝันร้ายที่อาเซี่ยกำลังเผชิญอยู่ในตอนนี้

          ยามที่เรือเหาะสีเงินปรากฏขึ้น เขาเพียงรู้สึกประหลาดใจกับไพ่ไม้ตายของอีกฝ่าย แต่ไม่ได้ใส่ใจในสิ่งที่เห็นมากนัก

          เรือเหาะเพียงลำเดียวย่อมถูกค่ายกลห้าเขากำราบเส้นโลหิตและค่ายกลหมื่นสัตว์ร้ายทำลายลงอย่างง่ายดาย โครงสร้างที่บอบบางของมันโดยพื้นฐานแล้วไม่อาจต้านทานการปะทะรุนแรงของสัตว์ภูตได้ และความเร็วของมันก็ไม่ได้เร็วจนสลัดสัตว์ร้ายบินได้ที่บินล้อมไว้แน่ พูดได้ว่าเรือเหาะนี้ไม่ใช่ตัวเลือกที่ชาญฉลาดนัก

          แต่แล้วเขาก็เห็นเรือเหาะสีเงินเหาะและบดขยี้สัตว์ภูตของเขา จนพวกมันกลายเป็นเพียงเศษเลือดเศษเนื้อ

          แม้มันจะมีรูปร่างเหมือนเรือคลื่นเมฆา แต่ไม่ว่าจะเป็นผิวนอกที่เคลือบสีเงินเมฆาหรือระบบการขับเคลื่อน มันกลับล้ำหน้ากว่าเรือคลื่นเมฆาทั่วไปมากนัก ดังนั้นอาเซี่ยจึงต้องปรับเปลี่ยนรูปแบบของค่ายกลและทำทุกอย่างเพื่อรับมือกับสิ่งนี้

          ตอนแรกเขาเรียกสัตว์ภูตจำนวนมหาศาลออกมา แต่ก็พบว่าสัตว์ภูตระดับต่ำไม่อาจปกป้องเป้าหมายได้อย่างมีประสิทธิภาพ เรือคลื่นเมฆากำจัดสัตว์ภูตตัวสำคัญไปทีละตัวได้อย่างแม่นยำ

          แล้วพอสุนัขป่าขนแดงออกปากเตือนเขา เขาจึงจัดการใช้กลิ่นของสัตว์ร้ายขนยาวเพื่อทำลายประสาทการรับกลิ่นของอีกฝ่าย ความจริงแล้วมันก็เพื่อทำให้เรือคลื่นเมฆาหยุดมือลงชั่วขณะหนึ่ง

          ตอนที่เขาคิดว่าสิ่งที่ทำลงไปนั้นสำเร็จผล เรือคลื่นเมฆาก็เคลื่อนที่อีกครั้ง วิถีของเรือสีเงินลำนั้นเกือบทำให้เขาขยำแผ่นค่ายกลจนแหลกคามือแล้ว

          และในช่วงสำคัญนั้นเอง สุนัขป่าขนแดงก็ขยับตัว แม้จะรู้ดีว่าอาจต้องสังเวยชีวิตให้เรือเหาะลำดังกล่าว แต่มันก็ยังพุ่งตัวไปอย่างเด็ดเดี่ยว ก่อนที่จะออกไปสู้ สุนัขป่าขนแดงได้รับคำมั่นจากอาเซี่ยว่าหากทำได้ดี เขาจะปลดโซ่ตรวนและปล่อยอีกฝ่ายให้เป็นอิสระ

          และเพื่อให้ได้มาซึ่งอิสระ สุนัขป่าขนแดงถึงกับเดิมพันชีวิตอย่างอาจหาญ

          และมันก็ได้เห็นแสงแห่งชัยชนะ เมื่อมันปะทะเข้ากับเรือเหาะ มันก็พิสูจน์ให้เห็นว่าเรือลำนี้ไม่ได้มีอำนาจเสกได้ทุกอย่าง อย่างน้อยต่อหน้าผู้บำเพ็ญเซียนตบะขั้นสร้างแกน เรือก็เผยจุดอ่อนออกมาให้เห็น เจ้าสุนัขป่าขนแดงคือผู้เชี่ยวชาญตบะขั้นสร้างแกนชั้นหนึ่ง มันแข็งแกร่งกว่าเด็กสาวหูแมวหลิงเยียนอยู่เล็กน้อย และเมื่อยิ่งอยู่ใต้ค่ายกลหมื่นสัตว์ร้ายด้วยแล้ว ไม่แน่ว่า…

          แต่แล้วทันทีที่อาเซี่ยรู้สึกมีความหวัง เขาก็พลันได้พบกับความสิ้นหวังที่รุนแรงกว่า

          เรือเหาะสีเงินเปลี่ยนรูปร่าง มันยกป้อมปืนออกมาด้านหน้า ยิงสายฟ้าและลูกไฟรุนแรงจากป้อมปืนออกมาเผาใบหน้าของสุนัขป่าขนแดงจนทำให้มันอยู่ในสภาพย่ำแย่ แถมความเร็วและความคล่องตัวของเรือเหาะก็ไม่ได้ลดลงแม้แต่น้อย ขณะที่เรือเหาะสีเงินเหาะไปมาอยู่ภายในหุบเขา มันราวกับมีการหักเหของสายฟ้าเกิดขึ้นไปทั่ว เรือเหาะมองหาจุดอ่อนของค่ายกลหมื่นสัตว์ร้ายอย่างต่อเนื่อง รอยฉีกขาดเล็กน้อยไม่อาจหยุดยั้งมันไม่ให้ทำลายเหล่าสัตว์ที่ขวางทางได้

          ส่วนที่ชนกับสุนัขป่าขนแดงเสียหายไม่น้อย ทว่าไม่มีสัตว์ร้ายระดับต่ำตัวใดต้านทานการบุกทำลายของมันได้ และสำหรับพวกสัตว์ร้ายชั้นสูงหรือพวกที่มีร่างกายกำยำใหญ่โต ลูกไฟจากป้อมปืนก็จัดการได้เรียบ

          ป้อมปืนที่ถูกยกขึ้นมาตรงด้านหน้าของเรือเหาะไม่ต่างอะไรกับกระบี่ไร้ปรานี มันถอนค่ายกลหมื่นสัตว์ร้ายออกเป็นชิ้นๆ แม้พลังการยิงจะไม่รุนแรง แต่ก็ถือว่าเป็นหายนะของสัตว์ภูตระดับต่ำที่มีตบะขั้นพิสุทธิ์หรือต่ำกว่าอยู่ดี หนำซ้ำสายฟ้าและลูกไฟที่ยิงออกมาก็ไม่หมดสิ้นราวกับไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย หลายครั้งที่เจ้าสุนัขป่าขนแดงพยายามจะพุ่งเข้าใส่เรือเหาะเพื่อหยุดยั้งอีกฝ่าย แต่ทุกครั้งมันก็ถูกป้อมปืนยิงออกมาอย่างไม่ปรานี

          เห็นดังนั้นอาเซี่ยจึงรวบรวมสัตว์ภูตประเภทตั้งรับที่เหลืออยู่ผ่านแผ่นค่ายกลเพื่อขวางเส้นทางของเรือเหาะ และพยายามหยุดยั้งลำแสงสีเงินที่ว่องไวนั้น

          เบเฮโมทผิวหนามากกว่าสิบตัว รวมทั้งสุนัขป่าปีศาจที่ว่องไวราวสายลมยืนเรียงกันเป็นแนวปราการเพื่อปกป้องสัตว์สำคัญด้านหลังที่เหลือไม่กี่ตัว ไม่ว่าจะด้วยการปะทะ สายฟ้าหรือลูกไฟ เรือเหาะย่อมทำลายแนวปราการนี้ไม่ได้ง่ายนัก

          เมื่อตั้งแนวเส้นปราการได้แล้ว อาเซี่ยก็รู้สึกสบายใจขึ้นเล็กน้อย เขาคิดว่าเรือเหาะจะต้องพุ่งชนแนวปราการนี้ด้วยความเร็วอย่างสุดขั้ว ด้วยเหตุนี้เขาจึงไม่ลังเลที่จะจุดส่วนหนึ่งของพลังวิญญาณขั้นปฐมเพื่อใช้ซ่อมแซมแผ่นค่ายกล เพื่อที่ว่าสัตว์ภูตเหล่านี้จะสามารถเร่งความเร็วได้อีกเล็กน้อยจนกลายเป็นแนวปราการที่สมบูรณ์

          แต่ตอนนั้นเองปลายสายตาของเขาก็เห็นเรือเหาะยิงกระบี่บินอออกมา

          มันคืออาวุธวิเศษกระบี่วารีกระจ่างใจ กระบี่บินพุ่งออกจากป้อมปืนเป็นเส้นตรงจนเกิดเป็นคลื่นอากาศอยู่เบื้องหลังก่อนที่จะปะทะเข้ากับเบเฮโมทหนังหนา กระบี่บินหักเป็นสองท่อน แต่สัตว์ยักษ์ใหญ่ราวภูเขาย่อมๆ ก็พลันละลายหายไปราวกับหิมะกลางแสงอาทิตย์… เผยให้เห็นช่องโหว่ขนาดใหญ่บนแนวปราการ!

          ในตอนนั้นเอง เสียงเย้ยก็ดังมาจากเรือเหาะสีเงิน

          “เราฆ่าศัตรูได้แล้ว กำลังมองหาเป้าหมายต่อไป!”

          หวังลู่พูดออกมาต่อหน้าเหล่าสัตว์ภูตที่กำลังตื่นกลัวและเสียขวัญ

          “จุ๊ๆ วิญญาณชั้นต่ำอย่างพวกเจ้าเคยเจอกระสุนทองบ้างไหม”

          จากนั้นอาวุธวิเศษก็พรั่งพรูลงมาใส่ตัวเหล่าสัตว์ภูต ครั้งนี้มันไม่ได้เล็งเป้าไปที่สัตว์ร้ายตัวใหญ่ยักษ์หนังหนาเพียงอย่างเดียว เพราะแม้แต่สุนัขป่าปีศาจก็อยู่ในระยะโจมตีด้วย แม้หนังของมันจะหนา แต่เมื่อถูกอาวุธวิเศษโจมตีไม่หยุดหย่อนเช่นนี้ มันก็ถึงคราวเข้าตาจนเหมือนกัน

มันไม่กลัวตายแต่ก็ไม่อยากตายอย่างสูญเปล่า ดังนั้นมันจึงเลิกตั้งรับ ทิ้งให้พวกสัตว์ร้ายหนังหนาเป็นปราการด่านหน้า และเลือกที่จะปกป้องสัตว์ภูตตัวสำคัญที่เหลืออยู่เพียงไม่กี่ตัวในค่ายกลหมื่นสัตว์ร้ายแทน อย่างไรเสียมันก็เป็นสุนัขป่าปีศาจ ทั้งเป็นนักรบและเป็นนักล่าตามธรรมชาติ และหากมันคิดจะวิ่ง น้อยมากที่จะตามมันได้ทัน หากมันต้องการซ่อนตัว น้อยมากที่จะหามันเจอ

          ทว่าเรือเหาะสีเงินไม่คิดจะปล่อยให้มันไป

          “กล้าดูหมิ่นเจ้าอาวาสแล้วยังคิดหนีอีกหรือ มันจะง่ายขนาดนั้นได้ยังไง!”

          แม้ไม่มีฉวนโจ่วฮวาตามกลิ่นให้ แม้พลังอิทธิฤทธิ์ของสุนัขป่าขนแดงจะถูกซ่อนไว้ลึกจนกระทั่งรากวิญญาณนภาของหวังลู่ไม่อาจจับเป้าหมายได้ แต่หวังลู่ก็ยังมีวิธีสุดท้าย

          “หลิวหลี ทำตามญาณหยั่งรู้ของเจ้า จะยิงเมื่อไหร่ก็จัดเลย”

          “รับทราบ!”

          ทันใดนั้นกระบี่บิน อาวุธวิเศษระดับสูงก็พุ่งตรงออกไปในท้องฟ้าราวกับเป็นเปลวเพลิง

          หลิวหลีจำรูปลักษณ์ของสุนัขป่าปีศาจได้ด้วยญาณหยั่งรู้ของจิตกระบี่กระจ่างใจ ดังนั้นมันจึงไม่อาจซ่อนตัวจากนางได้ มันเลี้ยวหักมุมเพื่อหลบหนี และกำลังจะเหาะออกจากหุบเขานี้ไป อาเซี่ยที่อยู่ไม่ไกลนักไม่คิดว่าตำแหน่งของมันจะถูกเล็งเอาไว้แล้ว ขณะกำลังตื่นตระหนก กระบี่บินก็แทงทะลุปากและเกือบปลิดชีพของมันลง

          ภาพสุดท้ายที่สุนัขป่าขนแดงเห็นคือใบหน้าที่เกือบจะบิดเบี้ยวของอาเซี่ย

          กองทัพสัตว์ร้ายภายในหุบเขาสลายไป ภูเขาทั้งห้าลูกกลับสู่ตำแหน่งเดิม

          เสียงของหวังลู่ดังออกมาจากด้านในของเรือเหาะสีเงินที่เต็มไปด้วยความร้อน

          “เจ๋งเนอะ ว่าไหม”