ภาคที่ 5 ตอนที่ 23 แมวนั้นดีต่อทั้งสุขภาพกายและสุขภาพใจ

กาลหนึ่งเคยมีเขากระบี่วิญญาณ

ตอนที่ 23 แมวนั้นดีต่อทั้งสุขภาพกายและสุขภาพใจ โดย Ink Stone_Fantasy

          คำถามของหวังลู่ไม่ได้รับคำตอบ

          เพราะตอนที่หวังลู่สั่งให้หลิวหลีหยุดเรือเหาะและดื่มด่ำกับชัยชนะอยู่นั้นเอง อาเซี่ยที่เป็นฝ่ายพ่ายแพ้ก็หลบหนีไปอย่างไร้ร่อยรอย

          ตอนที่กระบี่บินแทงทะลุร่างของสุนัขป่าปีศาจต่อหน้าต่อตาของอาเซี่ย ใจที่เต็มไปด้วยแผนการของเขากลับมีความหวาดกลัวเข้ามาแทนที่ และเพื่อที่จะหลบหนี เขาจึงไม่อาจยอมให้ความคิดอื่นมาทำให้ตัวเองไขว้เขวได้ เขารีบจุดใช้งานยันต์หลบหนี และเหาะหนีความยุ่งเหยิงในหุบเขานี้ไป

          “เป็นคนที่ฉลาดจริงๆ”

          ภายในเรือเหาะ หวังลู่ป้อนยาลูกกลอนให้หลิวหลีที่หมดเรี่ยวแรงพลางถอนหายใจ

          “หากเจ้าหลานปู่นั่นไม่หนีไปละก็ เราเองก็คงเสี่ยงไม่เบา”

          ในฐานะผู้ที่ควบคุมการทำงานของเรือเหาะลำนี้ หลิวหลีจึงเข้าใจความหมายส่วนใหญ่ของถ้อยคำดังกล่าว ตอนนี้เรือเหาะอยู่ในสภาพย่ำแย่ หลังจากจัดการกับสุนัขป่าปีศาจนั่นได้ ก็มีควันขโมงลอยอยู่ทั่วเรือเหาะทั้งลำ หนำซ้ำสีเงินที่เคลือบไว้อย่างดีก็ระเหยออกไปเกือบหมดแล้ว

          เรือเหาะสีเงินนี้เป็นของสั่งทำและค่อนข้างจะพิเศษ นอกจากความหรูหราแล้ว มันยังมีระบบการทำงานคล้ายรถถังอีกด้วย หนำซ้ำระบบการทำงานที่คล้ายรถถังนี้ก็ยังมีความซับซ้อน ทว่าระดับของมันไม่ได้สูงมากนัก อย่างมากสุดก็อยู่ในระดับสร้างแกนเท่านั้น เพราะตอนที่หวังลู่สั่งให้จัดทำระบบของเรือเหาะ เขาคิดถึงเรื่องที่ว่าตนเองจะขับได้หรือไม่ได้เป็นหลัก เพราะแม้ระบบที่เป็นขั้นสร้างแกนระดับสูงหรือสูงกว่านั้นจะทรงพลังเกินธรรมชาติ แต่ราคาของมันก็ย่อมสูงตามไปด้วย แม้ว่าสำนักภูมิปัญญาจะร่ำรวย แต่การใช้จ่ายเงินขนาดนั้นจะทำให้สำนักอยู่ในความเสี่ยงไม่น้อย และต่อให้ซื้อมา คนในสำนักก็ไม่อาจขับได้อยู่ดี

ครั้งนี้ต้องขอบคุณเสี่ยวชีที่คอยช่วยพยุงเรือเหาะอยู่ในห้องพลังงาน ไม่ใช่นั้นหากอาศัยเพียงหลิวหลีและหวังลู่แค่สองคน แม้พวกเขาจะสามารถควบคุมระบบที่คล้ายรถถังในเรือเหาะนี้ได้ แต่คงไม่สามารถรักษารูปแบบการต่อสู้ไว้ได้แน่นอน

          และเพื่อรับมือกับสถานการณ์ฉุกเฉิน แกนภายในระดับสูงจำนวนมากจึงถูกสำรองไว้ในห้องพลังงาน ซึ่งสามารถดึงมาใช้เป็นแหล่งพลังงานให้เรือเหาะได้ ทว่าของที่ตายแล้วย่อมไม่อาจเทียบกับของที่ยังมีชีวิตอยู่ได้ และหวังลู่เองก็มีสิ่งอื่นที่ต้องให้ความสนใจ จึงยากที่จะคอยปรับเปลี่ยนระดับพลังงานเข้าออกจากในห้องควบคุม ทำให้ไม่อาจจัดการระบบทั้งหมดภายในเรือเหาะได้

          ตอนที่เขากำลังซาบซึ้งกับคุณความดีของเสี่ยวชี หญิงสาวก็เดินลงมาจากชั้นสอง นางดูไม่ค่อยสบายตัวนัก เสื้อผ้าเปียกโชกไปหมด แถมยังมีกลิ่นหอมเป็นพิเศษกระจายออกมาจากร่างอีกด้วย

          สำหรับผู้บำเพ็ญเซียนตบะขั้นสร้างแกน พวกเขามีระดับในการทำความสะอาดร่างกายสูงมาก มากเสียจนแม้แต่เหงื่อก็ยังมีกลิ่นหอมเป็นพิเศษ อีกทั้งเสี่ยวชียังมีตบะถึงขั้นสร้างแกนระดับกลาง ดังนั้นแม้สำหรับนางเหงื่อจะถือว่าเป็นของเสีย แต่สำหรับมนุษย์ปุถุชน เหงื่อนี้ถือเป็นยาบำรุงชั้นดี…

          “ข้าไม่เหลือเรี่ยวแรงแล้ว…”

          เมื่อเห็นเสี่ยวชี หวังลู่ก็รีบดึงร่างของหลิวหลีขึ้นจากนั้นคนทั้งคู่ก็ปรบมือให้อีกฝ่ายยกใหญ่ ก่อนหน้านี้ตอนอยู่ในห้องพลังงาน พลังอิทธิฤทธิ์ที่เสี่ยวชีส่งออกมานั้นเกินกว่าระดับที่ผู้บำเพ็ญเซียนตบะขั้นสร้างแกนระดับกลางจะผลิตขึ้นมาได้ หากจะพูดว่าชัยชนะครั้งนี้ส่วนใหญ่เป็นเพราะเสี่ยวชีก็ไม่ผิด

          “พอแล้ว เลิกปรบมือให้ข้าสักที วีรบุรุษตัวจริงไม่ใช่ข้าหรอก” เสี่ยวชีกล่าวจากนั้นก็ถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่ “คนที่เปิดโลกให้ข้าจริงๆ ก็คือเจ้า ท่านหัวหน้า”

          “เหตุใดท่านจึงพูดแบบนั้น คุณหนูเจ็ด”

          เสี่ยวชีไม่ใส่ใจกับมารยาทของอีกฝ่ายแต่กลับยิงตรงสู่คำถามหลักทันที “นี่เจ้าหมดเงินไปเท่าไหร่”

          หวังลู่กล่าวพร้อมรอยยิ้ม “ถ้าข้าบอกไปท่านต้องรู้สึกไม่ดีแน่”

          “…ตอนนี้ข้าก็เริ่มรู้สึกไม่ดีแล้ว ทำไมเจ้าไม่รีบๆ พูดมาให้จบๆ เล่า”

          หวังลู่กล่าว “การต่อสู้เมื่อครู่ทั้งหมดกินแรงไปหนึ่งพันกับสามร้อยลมหายใจ นอกจากพลังอิทธิฤทธิ์ที่ได้จากท่าน มันยังต้องใช้การสกัดศิลาวิญญาณอย่างต่อเนื่องเพื่อเปลี่ยนกลับเป็นพลังงาน โดยค่าเฉลี่ยแล้วต้องใช้สิบศิลาวิญญาณต่อหนึ่งลมหายใจ ข้ารู้สึกขอบคุณท่านจริงๆ ไม่อย่างนั้นเราอาจต้องใช้เงินหลายหมื่นศิลาวิญญาณเพื่อแกนภายในของสัตว์ประหลาดหนึ่งตัว แน่นอนว่าแค่หนึ่งย่อมไม่พอ ต้องมีสามหรือสี่ชิ้นเป็นอย่างน้อย หนำซ้ำระหว่างการต่อสู้ มันยังผลาญสีเงินเมฆาที่เคลือบไว้เพื่อรักษาชั้นที่ต้องการการปกป้อง สีเงินที่ถูกผลาญไปทั้งหมดคิดเป็นหนึ่งหมื่นห้าพันศิลาวิญญาณ ส่วนลูกไฟและสายฟ้าที่ยิงออกไปจากป้อมปืน การยิงหนึ่งครั้งใช้ลูกไฟสายฟ้าหนึ่งลูก ราคาต่อลูกเท่ากับสามสิบศิลาวิญญาณ ในการต่อสู้ครั้งนี้ ใช้กระสุนไปทั้งหมดหกร้อยนัด ซึ่งเท่ากับหนึ่งหมื่นแปดพันศิลาวิญญาณ อย่างสุดท้ายก็คือกระบี่บิน ซึ่งมีราคาหลากหลาย แต่เฉลี่ยแล้วแต่ละเล่มราคาห้าพันศิลาวิญญาณ จำนวนกระบี่บินทั้งหมดคือสิบเล่ม ซึ่งก็เท่ากับห้าหมื่นศิลาวิญญาณ หากดีดลูกคิดรวมค่าเสียหายทั้งหมดแล้วก็จะได้…”

          ใบหน้าของเสี่ยวชีที่พูดขัดความอวยรวยของหวังลู่มีแต่ความริษยา “ข้าผ่านร้อนผ่านหนาวในโลกบำเพ็ญเซียนมาก็ไม่น้อย แต่ก็ไม่ได้พบเจอคนที่ร่ำรวยขนาดเจ้าบ่อยนัก โยนเงินเป็นแสนๆ ศิลาวิญญาณทิ้งเล่นๆ แบบนี้ ข้าเกรงว่าแม้แต่ผู้อาวุโสของสำนักเชี่ยวชาญสรรพสัตว์ก็ยังไม่รวยเท่าเจ้าละมั้ง”

          หวังลู่ขำ “ทำไมท่านถึงเปรียบเทียบข้ากับคนพวกนั้น พวกเขาเป็นแค่ผู้จัดการตัวเล็กๆ ในบริษัทขนาดใหญ่ ส่วนข้านั้นเป็นเถ้าแก่ใหญ่ที่มีเหมืองถ่านหินเล็กๆ ใครรวยกว่าใครก็เห็นได้ชัดอยู่แล้ว!”

          แม้นางจะไม่เข้าใจคำว่าบริษัท ผู้จัดการและคำอื่นๆ แต่นางรับรู้ได้ถึงน้ำเสียงมั่นใจในความร่ำรวยของตนที่หวังลู่กล่าวออกมาอย่างกระจ่าง

          คุณหนูเจ็ดถอนหายใจออกมาจากนั้นก็ถามขึ้น “หากเป็นแบบนั้นจริง เจ้าไม่คิดที่จะจ่ายหนี้คืนให้อาจารย์ของเจ้าสักหน่อยหรือ”

          หวังลู่ไม่ตอบอะไร แต่หยิบผลึกแก้วของหอนภาเร้นลับออกมาจากย่ามสีเหลืองตุ่น

          “เพื่อมิตรภาพที่เราร่วมสู้รบเคียงบ่าเคียงไหล่กันมา อย่าว่าแต่หนี้ที่ท่านอาจารย์ติดท่านไว้เลย… คุณหนูเจ็ด ท่านสมควรได้รับสิ่งนี้ด้วยซ้ำ!”

          แต่แทนที่หญิงสาวจะรับผลึกแก้วไป นางกลับลังเลอยู่พักใหญ่จากนั้นก็พยายามเปลี่ยนเรื่อง

          “แล้วจะทำยังไงต่อ เรือเหาะนี่ก็ใช้การไม่ได้แล้ว”

          “ไม่เป็นปัญหา เพราะหลังจากนี้เราก็จะไม่ได้ใช้มันแล้ว”

          “ทำไม”

          หวังลู่กล่าว “เพราะเราไม่น่าจะมีโอกาสได้ใช้มัน อย่างแรกเลยเป้าหมายของเราไม่ใช่การสู้กับคนของสำนักเชี่ยวชาญสรรพสัตว์ แต่เป็นการตามหาตัวสัตว์เซียนภูตจันทรา และในเรื่องนี้ก็ถือว่าเราก้าวหน้าไม่น้อย สถานที่ที่เราอยู่ในตอนนี้เป็นที่ที่สัตว์เซียนแวะเวียนมาบ่อยครั้ง แม้อาเซี่ยจะซุ่มโจมตีเราที่นี่ แต่ตัวสถานที่เองก็ไม่ใช่ปัญหา ตราบใดที่เจ้าสุนัขหน้าโง่ตั้งใจดมกลิ่นค้นหา เราย่อมหาตัวสัตว์เซียนนั่นเจอก่อนสำนักเชี่ยวชาญสรรพสัตว์แน่ พูดง่ายๆ ก็คือเราไม่มีความจำเป็นต้องสู้กับพวกเขาแม้แต่น้อย”

          และเพื่อยืนยันเหตุผลของหวังลู่ ฉวนโจ่วฮวาก็ก้าวออกและเห่าสองครั้งแสดงความสนับสนุน

          ทว่าเสี่ยวชีกลับยกปัญหาขึ้นมาอีก “เมื่อครู่เราเพิ่งสร้างความปั่นป่วนขนานใหญ่ขึ้น แล้วคนของสำนักเชี่ยวชาญสรรพสัตว์จะยอมให้เราอยู่ที่นี่ต่อได้ยังไง”

          “เพราะงั้นข้าถึงได้ปล่อยอาเซี่ยไปและทำให้สุนัขป่าปีศาจบาดเจ็บสาหัส ความจริงข้าจะฆ่ามันก็ได้ แต่สุนัขเร่ร่อนก็ยังมีประโยชน์กว่าสุนัขที่ตายแล้ว อาเซี่ยลงทุนไปไม่น้อยเพื่อวางกับดักในครั้งนี้ แต่หากเขากลับไปในสภาพพ่ายแพ้เขาย่อมโดนลงโทษ และมันก็จะเป็นจุดจบของเขา เขาเป็นผู้บำเพ็ญเซียนประเภทที่ชั่วช้า ดังนั้นจึงต้องมีศัตรูในสำนักเชี่ยวชาญสรรพสัตว์ไม่น้อยแน่ และคนพวกนั้นย่อมฉวยจังหวะที่เขาอยู่ในสภาพเสียเปรียบเล่นงานเขาแน่นอน ความหวังเดียวของเขาก็คือไถ่ถอนโทษด้วยการสร้างคุณงามความดีเพื่อให้ทุกอย่างกลับมาเสมอตัว ก่อนที่คนอื่นๆ จะให้เขารับผิดชอบในสิ่งที่ทำลงไป ดังนั้นครั้งนี้เขาจะช่วยเราขัดขวางพวกผู้อาวุโสที่คิดจะยื่นมือเข้ามาแทรก จากนั้นก็พยายามหาลู่ทางกลับมาจัดการกับเราด้วยตัวเอง”

          เสี่ยวชีขมวดคิ้ว “เขาไม่โง่ขนาดนั้นหรอก หลังจากใช้ทรัพยากรไปมากมาย เขาก็ยังเอาชนะเจ้าไม่ได้ ตอนนี้ทรัพยากรในมือก็ร่อยหลอเต็มที สัตว์ภูตซื่อสัตย์ที่เขามีหากไม่ตายก็บาดเจ็บสาหัส โอกาสที่เขาจะชนะนั้นน้อยเหลือเกิน”

          “แต่หมอนั่นไม่มีทางเลือกอื่นแล้ว หรือท่านคิดว่าเขาจะยอมให้สำนักลงโทษจนตัวตาย อีกอย่างหนึ่งก่อนหน้านี้ข้าตั้งใจให้สีเงินเมฆาที่อยู่บนผิวนอกของเรือคลื่นเมฆาเป็นรอยเล็กน้อยเพื่อเผยจุดอ่อนของเรา ทำให้เขาซึ่งกำลังสิ้นหวังมีความหวังขึ้นมานิดหน่อย สิ่งนี้จะทำให้เขาอยากลองเสี่ยงกับโชคชะตาของตัวเองสักตั้ง”

          “เจ้า…เจ้าคิดไปถึงเรื่องนั้นทั้งๆ ที่กำลังสู้อย่างบ้าระห่ำเนี่ยนะ”

          “หากข้าไม่อาจทำสองอย่างพร้อมกัน แล้วข้าจะกล้าเรียกตัวเองว่านักผจญภัยมืออาชีพได้ยังไง อืม ถ้าข้าเดาไม่ผิด ตอนนี้เจ้านั่นคงกำลังสติแตกอยู่… ข้าหวังว่าเขาจะเข็มแข็งและตั้งสติให้ได้ไวที่สุด”

          “แม่งเอ๊ย แม่งเอ๊ย แม่ง แม่งเอ๊ย แม่ง”

          ในหุบเขาแคบๆ สักแห่งบนเขาอวิ๋นไท่ ร่างของอาเซี่ยซึ่งมีเลือดไหลซึมออกจากทวารทั้งเจ็ดกำลังเดินดุ่มๆ คล้ายคนบ้าและตะโกนด่าทุกสิ่งทุกอย่าง ระหว่างที่เขากำลังคำรามอย่างบ้าคลั่ง พลังอิทธิฤทธิ์ตบะขั้นสร้างแกนก็ระเบิดออกจนกลายเป็นพายุรุนแรงราวคมกระบี่และกวาดทุกสิ่งรอบตัวเขาจนเหี้ยน

          ทั้งหุบเขาถูกพายุพลังอิทธิฤทธิ์สะบั้นจนก้อนหินร่วงกราวลงมาอย่างต่อเนื่อง ฝุ่นที่อยู่รอบเท้าของเขาตลบขึ้นจนกลายเป็นพายุทรายรุนแรง

          เมื่อพายุดังกล่าวสงบลง หุบเขาแห่งนี้ก็กว้างขึ้นกว่าเดิมหลายวา และทั้งหุบเขาก็เต็มไปด้วยก้อนหินและทราย

ผู้บำเพ็ญเซียนตบะขั้นสร้างแกนสามารถถล่มภูเขา ทะลวงก้อนหิน ทลายเมืองและทำลายประเทศจนสิ้นซากได้อย่างง่ายดาย หากชาวบ้านปุถุชนได้มาเห็นเหตุการณ์นี้เข้า พวกเขาจะต้องหมอบราบกราบกรานต่อหน้าอาเซี่ยอย่างแน่นอน… ทว่าเมื่อเขากวาดตาไปรอบๆ เขากลับรู้สึกหดหู่ มันไม่เพียงไม่อาจช่วยบรรเทาความรู้สึกที่หนักอึ้งในใจลงได้ แต่กลับยิ่งทำให้เขารู้สึกมืดมนเข้าไปใหญ่

          หลังจากระเบิดพลังทั้งหมดที่มีออกไปจนสิ้น เขากลับทำได้เพียงแค่ตัดก้อนหินและก้อนดินเท่านั้น ตบะขั้นสร้างแกนของเขาไม่คู่ควรกับชื่อของมันเลยสักนิด… แม้เขาจะมีตบะขั้นสร้างแกนระดับกลาง แต่ในสำนักเชี่ยวชาญสรรพสัตว์นั้น ผู้ที่มีตบะขั้นสร้างแกนระดับล่างบางคนยังแข็งแกร่งกว่าเขาเลย

          อย่างน้อยสิ่งที่เด็กหนุ่มเยวี่ยลู่กล่าวก็ถูกต้อง ในโลกบำเพ็ญเซียนนั้น เขาคือเศษสวะอย่างแท้จริง

          ทว่าที่เขาต้องกลายเป็นเศษสวะเช่นนี้เพราะถูกตัดขาดจากเส้นทางบำเพ็ญเซียน ไม่ใช่เพราะไม่มีสติปัญญาหรือความมุ่งมั่น หลังจากที่พบเจอกับความผิดพลาดมานับครั้งไม่ถ้วน สุดท้ายเขาก็เลือกเส้นทางที่เป็นอยู่… แม้ในสายตาของใครหลายคน เส้นทางนี้จะเป็นเส้นทางที่เลวทราม แต่ชัยชนะครั้งแล้วครั้งเล่าที่เขาได้รับก็ทำให้เขามั่นใจในสิ่งที่เลือก

          เขาไม่ได้เดินทางผิด สำหรับเขาที่ความสามารถไม่ถึง นี่เป็นวิธีที่ทรงประสิทธิภาพที่สุดที่จะทำให้ตัวเองแข็งแกร่ง ในฐานะผู้ฝึกสัตว์ ตราบใดที่เขาเค้นพลังจากสัตว์ภูตและใช้มันเพื่อบรรลุจุดประสงค์ได้มันก็เพียงพอแล้ว และสิ่งนี้ก็เป็นสิ่งที่เขาทำได้ดีเสียด้วย!

          การพ่ายแพ้เพียงครั้งเดียวจะสะท้อนอะไรได้ บนเส้นทางบำเพ็ญเซียนใครๆ ก็พบเจอกับโชคร้ายได้ทั้งนั้น เหล่าผู้เชี่ยวชาญที่มีตบะขั้นสูงส่ง ใครบ้างที่ไม่เคยพบเจอความพ่ายแพ้ในระหว่างการเดินทาง แค่พ่ายแพ้ศึกเพียงครั้งเดียวให้กับเด็กบ้านรวยที่มีรถถังซึ่งปล่อยกระบี่บินได้ไม่ใช่สิ่งที่น่าอับอายสักหน่อย!

          ผ่านไปพักใหญ่ อาเซี่ยก็สามารถหาเหตุผลมารอบรับความพ่ายแพ้และยอมรับกับเหตุผลดังกล่าว

          ถือว่าฉิวเฉียดมาก ก่อนที่เขาจะจุดใช้ยันต์หลบหนีและมาซ่อนตัวอยู่ในที่โดดเดี่ยวเช่นนี้ ใจของเขามีแต่ความหวาดกลัว ภายใต้ความกลัวระลอกมโหฬาร จิตแห่งเต๋าที่เคยสงบนิ่งอยู่ภายในวิหารหยกนั้นแทบจะแตกสลาย ความพ่ายแพ่ของเขาในครั้งนี้นักหนาเกินไป

          ตอนนี้จิตใจของเขากลับมาเป็นปกติแล้ว เขาไม่ได้คิดหมกมุ่นเรื่องความพ่ายแพ้อีก ทว่าเรื่องมันยังไม่คลี่คลาย หลังจากที่เขาสงบจิตสงบใจได้แล้ว เขาก็ยังต้องเผชิญกับสถานการณ์ที่เลวร้ายอีก

          ก่อนหน้านี้ เขารับปากกับผู้อาวุโสหลักและผู้อาวุโสคนอื่นๆ ว่าจะจัดการแขกไม่ได้รับเชิญทั้งสามด้วยทรัพยากรจำนวนมหาศาลของสำนัก ตอนนี้หากเขากลับไปด้วยผลลัพธ์เช่นนี้… ราชาพยัคฆ์ย่อมต้องสังหารเขาทิ้งแน่ เมื่อคิดถึงตรงนี้ ใจที่เพิ่งจะสงบลงของเขาก็เกิดปั่นป่วนขึ้นมาอีกครั้ง ดังนั้นอาเซี่ยจึงคิดจะระบายความหงุดหงิดออกมา…

          “หลิงเยียน ออกมาเดี๋ยวนี้”

          ร่างของเด็กสาวหูแมวค่อยๆ ปรากฏขึ้นข้างกายเขา เด็กสาวดูซีดเซียวและหวาดวิตกสุดขีด

          “เจ้าคนไม่เอาไหน! เจ้ามัวไปมุดหัวอยู่ที่ไหนมา!”

          อาเซี่ยตบหน้าของเด็กสาวอย่างแรง ปลดปล่อยพลังของตบะขั้นสร้างแกนออกมา เด็กสาวหูแมวกรีดร้องอย่างน่าเวทนาเมื่อร่างของนางลอยไปกระทบกับกำแพงหิน ใบหน้าครึ่งหนึ่งอาบไปด้วยเลือด!