ภาคที่ 5 ตอนที่ 24 พวกคลั่งทำร้ายแมว

กาลหนึ่งเคยมีเขากระบี่วิญญาณ

ตอนที่ 24 พวกคลั่งทำร้ายแมว โดย Ink Stone_Fantasy

          เด็กสาวไม่แน่ใจว่านางถูกทำร้ายร่างกายเช่นนี้มากี่หนแล้ว

          เมื่อร่างถูกกระแทกใส่กำแพงหิน เด็กสาวหูแมวจึงรู้สึกมึนงง และความทรงจำเก่าก่อนก็ปรากฏขึ้นในห้วงความคิดอย่างพร่ามัว

          ตอนนั้นนางยังไม่สำเร็จวิชาเปลี่ยนร่าง และเป็นเพียงแมวภูตที่เพิ่งย่างเท้าเข้าสู่โลกมนุษย์ แม้ว่านางจะบำเพ็ญเซียนบนภูเขามามากกว่าสองร้อยปี และขั้นตบะของนางก็ไม่ถือว่าต่ำต้อย แถมแกนภายในก็กลั่นตัวเป็นรูปร่างแล้ว ทว่าในฐานะสัตว์ภูต นางถือว่าเพิ่งจะเริ่มต้นเท่านั้น

          ด้วยคำแนะนำของสัตว์ภูตผู้เฒ่าผู้แก่หลายคน รวมทั้งโชคช่วย หลิงเยียนจึงเข้าร่วมสำนักเชี่ยวชาญสรรพสัตว์ได้สำเร็จ ตอนแรกเด็กสาวรู้สึกดีใจและตื่นเต้นไม่น้อย เพราะบรรดาผู้เฒ่าผู้แก่ต่างบอกนางว่าอมนุษย์อย่างนางสมควรที่จะบำเพ็ญเซียนในสำนักเชี่ยวชาญสรรพสัตว์ที่ก่อตั้งโดยผู้บำเพ็ญเซียนซึ่งเป็นมนุษย์มากกว่า เหล่าสัตว์ภูตมากมายต่างต้องการเรียนรู้วิชาอาคมมาโดยตลอด และในสำนักนี้วิชาเหล่านั้นไม่ใช่สิ่งหายาก ตราบที่นางมุ่งมั่นบำเพ็ญตนอย่างขันแข็ง ก็จะมีมนุษย์มาคอยช่วยชี้ทาง และตบะขั้นของนางก็จะพัฒนาได้อย่างก้าวกระโดดไม่ต่างจากผู้บำเพ็ญเซียนมนุษย์

          นางเป็นนักล่าที่เฉลียวฉลาดที่สุดบนภูเขา มีทั้งเชาว์ปัญญาและทักษะความสามารถ แต่นางกลับต้องใช้เวลากว่าสองร้อยปีในการจะมีตบะเทียบเท่าตบะขั้นพิสุทธิ์ของมนุษย์ ซึ่งในตบะขั้นเดียวกันนี้ ผู้บำเพ็ญเซียนมนุษย์กลับใช้เวลาฝึกเพียงร้อยปีเท่านั้น… เช่นนี้จะไม่ให้นางรู้สึกริษยาได้อย่างไร

          แล้วนางก็ได้รับความช่วยเหลือจากสำนักอย่างที่คาดหวังไว้ และได้ผู้บำเพ็ญเซียนมนุษย์ท่าทางใจดียิ้มแย้มแจ่มใสมาเป็นที่ปรึกษา

          แน่นอนว่าตำแหน่งทางการของเขาคือผู้ฝึกสัตว์ แม้ชื่อนี้จะฟังดูไม่เข้าท่านิดหน่อย แต่เด็กสาวหูแมวที่ไร้เดียงสาก็ไม่ได้ใส่ใจนัก

          นางเป็นสัตว์ภูต ส่วนอีกฝ่ายเป็นที่ปรึกษา ดังนั้นชื่อตำแหน่งผู้ฝึกสัตว์ก็ดูไม่น่าจะมีปัญหาอะไร ตอนที่นางเพิ่งเข้าร่วมสำนัก ก่อนที่จะได้เจออาเซี่ยก็มีผู้บำเพ็ญเซียนมนุษย์หลายคนที่อธิบายเรื่องราวทั่วๆ ไปในโลกมนุษย์รวมถึงกฎของสำนักให้นางฟัง ลักษณะท่าทางของพวกเขาดูเป็นมิตรทำให้เด็กสาวถอนหายใจอย่างโล่งใจ กลายเป็นว่าในโลกมนุษย์นี้ไม่ได้มีพวกคนชั่วร้ายมากมายตามที่ใครๆ เคยพูดกัน

          จนกระทั่งหลิงเยียนได้มาอยู่ในการดูแลของอาเซี่ยและเริ่มการฝึกฝนอย่างจริงจัง

          นรกก็ปรากฏขึ้นตรงหน้าของนาง

          ในวันแรกของการฝึก ไม่รู้ว่าอาเซี่ยไปหาสัตว์ประหลาดใกล้สูญพันธุ์จำนวนหนึ่งมาจากไหน พวกมันทุกตัวมีพลังพอๆ กับหลิงเยียน หากอยู่บนภูเขาสัตว์ประหลาดพวกนี้ถือเป็นศัตรูที่หลิงเยียนไม่คิดจะไปข้องแวะหากไม่หิวโหยจริงๆ และตามคำสั่งของอาเซี่ย เด็กสาวจะต้องเอาชนะสัตว์ประหลาดพวกนี้ให้ได้ไม่ว่าจะด้วยวิธีใด

          ต่อให้นางต่อสู้กับพวกมันทีละตัวก็ไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะเอาชนะ ยิ่งไม่ต้องพูดถึงให้ต่อสู้กับทุกตัวพร้อมกันเลย หลิงเยียนเอ่ยท้วงคำสั่งดังกล่าวทันทีแต่อาเซี่ยกลับไม่ใส่ใจ

          “นี่คือกฎของสำนักเชี่ยวชาญสรรพสัตว์ หากไม่คิดเชื่อฟังก็จงออกจากสำนักไป”

          หลิงเยียนต้องใช้ความพยายามไม่น้อยกว่าจะเข้าสำนักมาได้ แล้วจะให้นางออกไปง่ายๆ เช่นนี้หรือ แม้คำสั่งของอาเซี่ยจะฟังดูไม่ค่อยมีเหตุผล แต่นางก็ต้องจำใจยอมทำตาม

          ผลก็คือนางถูกอัดจนน่วมต้องคลานกลับออกมาอย่างพ่ายแพ้

          นางเคยได้ยินผู้เฒ่าผู้แก่เล่ากันว่ามีผู้บำเพ็ญเซียนจำนวนไม่น้อยที่ไม่เป็นมิตรกับสัตว์ภูต และเหตุผลในเรื่องนี้อาจเป็นเพราะพวกเขาต้องการเน้นย้ำเกียรติศักดิ์ศรีของตัวเอง หรือแสดงอำนาจเพื่อควบคุมอีกฝ่าย หากนางต้องพบเจอคนพวกนี้ ก็ควรอดทนเอาไว้ก่อน

          ทว่าเมื่อคิดขึ้นมาได้ว่าในการต่อสู้เมื่อครู่ ทั้งที่นางบาดเจ็บจนเลือดสาดกระจายไปทั่วพื้น แต่อาเซี่ยในฐานะผู้ฝึกสัตว์กลับมีท่าทีตื่นเต้น หลิงเยียนก็รู้สึกไม่สบายใจนัก

          หลังจากบาดแผลของนางสมานดีแล้ว อาเซี่ยก็กลับมาอีกครั้ง ครั้งนี้เขาสอนสิ่งที่เป็นประโยชน์ให้นางมากมาย หลิงเยียนซึมซับความรู้เหล่านี้ทั้งหมด และเมื่อได้ต่อสู้กับสัตว์ประหลาดพวกนั้นอีกครั้ง นางจึงสามารถเสมอกับพวกมันได้

          หลังจากนั้น นางจึงคลายความระแวงที่มีต่ออาเซี่ยลงเล็กน้อย พลางคิดไปว่าเขาคงเป็นผู้ฝึกสัตว์ที่มีนิสัยพิลึกๆ เท่านั้น อย่างไรเสียอีกฝ่ายก็เป็นคนมีพรสวรรค์อย่างแท้จริง

          ภายหลังหลายสิ่งก็เริ่มเป็นไปตามอย่างที่นางคิด แม้การฝึกของอาเซี่ยจะโหดเหี้ยม ผลที่ได้กลับไม่ผิดพลาด นางพัฒนาขึ้นอย่างก้าวกระโดด ตอนแรกที่เพิ่งเริ่มต้นพลังของนางเทียบเท่ากับตบะขั้นพิสุทธิ์ระดับกลาง ทว่าภายใต้การฝึกฝนของอาเซี่ย เพียงไม่กี่ปีนางก็พัฒนาขึ้นมากจนบรรลุถึงขั้นพิสุทธิ์ระดับสูง การควบแน่นเพื่อไปสู่ขั้นสร้างแกนและการเปลี่ยนร่างนั้นอยู่อีกไม่ไกลแล้ว

          ในตอนนั้นหลิงเยียนมีความเชื่อใจให้อีกฝ่ายเต็มเปี่ยม ไม่แปลกหากนางจะยอมรับคำสั่งของอาเซี่ยโดยไม่เคยคิดแคลงใจ ต่อให้เขาบอกให้นางไปกระโดดลงปล่องภูเขาไฟ นางก็คงจะทำเพราะคิดว่าเป็นการฝึกพิเศษรูปแบบหนึ่ง

          ดังนั้นเมื่ออาเซี่ยให้ยาพิเศษแก่หลิงเยียน นางจึงกลืนมันลงคอโดยไม่คิดตรวจดู

          อาเซี่ยบอกว่ามันเป็นยาเอนกประสงค์ที่จะช่วยให้ผ่านความทรมานในการเปลี่ยนร่างไปได้

          หลิงเยียนพยักหน้า ยอมรับคำอธิบายนั้น ในมุมมองของนาง อย่างไรเสียยานี้ก็ไม่น่าจะมีปัญหา อาเซี่ยเป็นคนพิลึกก็จริงแต่ไม่ใช่พวกชั่วช้า หนำซ้ำเขาย่อมไม่กล้าทำสิ่งที่น่าเคลือบแคลงในสำนักใหญ่โตอย่างสำนักเชี่ยวชาญสรรพสัตว์ เพราะแน่นอนว่าหลายคนจับตาดูเขาอยู่

          หลังจากที่กินยาเม็ดนั้นเข้าไป หลิงเยียนก็หลับไปสามวัน และพอนางตื่นขึ้นมา ทุกอย่างก็เปลี่ยนไป

          รอยบากที่ไม่อาจลบออกได้สลักแน่นอยู่บนพลังวิญญาณขั้นปฐมของนาง กลายเป็นว่ามันไม่ใช่ยาเอนกประสงค์ที่จะช่วยให้ทนต่อความเจ็บปวด แต่เป็นสัญญาทาสในรูปแบบของยาเม็ด ทันทีที่กลืนลงไป อิสรภาพของนางก็ถูกพรากไปชั่วชีวิต

          มันเป็นสัญญาที่เลวทรามที่สุดในประวัติศาสตร์ ผู้บำเพ็ญมนุษย์ใช้สิ่งนี้หลอกล่อให้สัตว์ภูตกลายเป็นทาสตั้งแต่เมื่อนานมาแล้ว จนทำให้สัตว์ภูตเกิดความขุ่นเคืองโกรธแค้นและกลายเป็นการจลาจลมานับครั้งไม่ถ้วน ในเวลาเดียวกันสำนักเชี่ยวชาญสรรพสัตว์และสำนักอื่นๆ ก็ค่อยๆ พัฒนารูปแบบของการอยู่ร่วมกันระหว่างมนุษย์และสัตว์ภูตขึ้น จนสุดท้ายยาเม็ดแห่งความคับข้องใจนี้ก็ค่อยๆ สูญหายไป

          ไม่คิดเลยว่า สุดท้ายแล้วนางก็ตกหลุมพลางนี้จนได้

          หลังจากนั้นสิ่งต่างๆ ก็เกินทานทน เมื่ออยู่ข้างๆ อาเซี่ย หลิงเยียนมักได้รับประสบการณ์นรกชั้นหนึ่งเสมอ ไม่กี่ปีมานี้นางมีแรงกระตุ้นให้คิดจะฆ่าตัวตายทุกวัน จนกระทั่งครั้งหนึ่งอาเซี่ยก็กล่าวกับนาง

          “หากเจ้าอยากเป็นอิสระ งั้นก็ฝึกให้หนักขึ้น แม้ยาที่ข้าให้เจ้ากินจะมีประสิทธิภาพที่สุดแสนวิเศษ แต่ใช่ว่าจะปลดเปลืองพันธะไม่ได้ ทันทีที่เจ้าบรรลุตบะขั้นเปลี่ยนวิญญาณ ถึงตอนนั้นพลังวิญญาณขั้นปฐมของเจ้าก็จะเกิดใหม่ไปด้วย และเจ้าจะสามารถปลดเปลื้องพันธนาการนี้ได้อย่างง่ายดาย ตอนเจ้าบรรลุถึงขั้นกำเนิดใหม่ ก็มีหลายวิธีที่จะยับยั้งผลของยาได้ ดังนั้นก็จงฝึกฝนอย่างอุตสาหะ เมื่อเจ้าบรรลุหนทางในโลกบำเพ็ญเซียน เจ้าก็จะได้รับอิสรภาพของเจ้าคืนมา ถึงตอนนั้นหากเจ้าคิดแก้แค้นและฉีกข้าเป็นชิ้นๆ ข้าก็ไม่มีพลังพอที่จะต้านทานได้”

          มุมมองที่แปลกพิสดารนี้สร้างความสับสนให้หลิงเยียนเป็นที่สุด ผู้ฝึกสัตว์ที่ชั่วร้ายเลวทรามนี้แค่ต้องการสนองความปรารถนาที่เห็นแก่ตัวของตัวเอง หรือเขาพยายามจะใช้วิธีแปลกประหลาดในการกระตุ้นการบำเพ็ญเซียนของนางกันแน่

          หลิงเยียนเลือกที่จะเชื่ออย่างหลังเพราะไม่ต้องการหยุดชะงักเพราะความคิดนี้ หลังจากนั้นนางก็พัฒนาขึ้นอย่างรวดเร็ว ภายในเวลาสั้นๆ เพียงแค่สิบปี นางก็สามารถเปลี่ยนร่างตัวเอง และบรรลุถึงตบะขั้นสร้างแกนอย่างก้าวกระโดด หลังจากนั้นด้วยความต้องการของสำนัก นางจึงถูกดึงตัวจากอาเซี่ยและได้รับตัวตนอย่างเป็นทางการ ซึ่งทำให้นางมีสิทธิ์เกือบๆ จะเทียบเท่าผู้บำเพ็ญเซียนมนุษย์ มันเหมือนคลื่นลมที่สงบหลังพายุรุนแรง และบรรยากาศแห่งความสุขนี้ก็ปรากฏอยู่ชั่วระยะเวลาหนึ่ง

          จนกระทั่งวันนี้…

การที่อาเซี่ยตบหน้านางทำให้ความทรงจำของนางย้อนกลับไปยังช่วงเวลาแห่งหายนะเมื่อหลายสิบปีก่อน นางคลานออกจากรูที่เกิดขึ้นบนกำแพงหิน ร่างกายชาดิกไปทั้งตัว และกลับมาคุกเขาลงอย่างนอบน้อมต่อหน้าอาเซี่ยเหมือนเช่นเคย

          มันเป็นท่าที่เหมาะที่สุดที่นางเรียนรู้เมื่อหลายสิบปีก่อนหลังจากผ่านความเจ็บปวดมาเนิ่นนาน เป็นท่าของหุ่นกระบอกที่พ่ายแพ้ ซึ่งดูเหมือนจะช่วยลดการถูกทำร้ายได้มากที่สุดแล้ว

          “เจ้าคนไม่เอาไหน เจ้าทำลายแผนการใหญ่ของข้า!”

          ทว่าครั้งนี้ อาเซี่ยกลับรู้สึกว่าการตบหน้าเพียงแค่ครั้งเดียวไม่อาจขจัดความขุ่นข้องที่อยู่ในใจของเขาในตอนนี้ออกไปได้ เขาจึงยกเท้าขึ้นมาเตะเข้าที่หน้าอกของเด็กสาวหูแมวเต็มแรง หลิงเยียนร้องด้วยความเจ็บปวดพร้อมทั้งกระอักเลือดออกมา

          “ก่อนหน้านี้ ข้าสั่งให้เจ้าจัดการนักบวชเซนเนื้อสุนัขเสีย แต่เจ้ามัวทำอะไรอยู่ ตอนที่เรือเหาะของพวกมันโผล่ออกมา ทำไมเจ้าจึงไม่ออกไปสกัดไว้ หลังจากที่ข้าเทหมดหน้าตักเพื่อต่อสู้กับเรือเหาะนั่น ทำไมเจ้าถึงไม่ร่วมมือกับสุนัขป่าขนแดงแต่กลับซ่อนตัวอยู่ในหุบเขา!?”

          ข้อกล่าวหาของอาเซี่ยทำเอาหลิงเยียนพูดไม่ออก ในการต่อสู้ก่อนหน้านี้ นางไม่ได้ทุ่มสุดตัวจริงๆ ทว่านั่นเป็นเพราะนางไม่ต้องการที่จะตาย

          ความพยายามสองครั้งซ้อนก่อนหน้านี้ทำให้นางเกิดการสูญเสียใหญ่หลวง ตบะขั้นสร้างแกนช่วงปลายของนางลดลงไปอย่างมาก ทั้งร่างของนางก็สั่นสะท้าน ตอนที่นางประมือกับนักบวชเซนเนื้อสุนัขอยู่หลายกระบวนท่า สัญญาณของการพังทลายของวิหารหยกก็ปรากฏให้เห็น หากนางใส่เต็มแรงละก็ มีหวังได้ตายอยู่ในหุบเขานั่นแน่ๆ

          และนางไม่ต้องการจะตาย ดังนั้นนางจึงทำเป็นหูหนวกใส่อาเซี่ยโดยไม่สนใจว่าเขาพูดอะไรกับนาง

          มีหรืออาเซี่ยจะไม่รู้เรื่องนี้ ในการต่อสู้ก่อนหน้านี้ ขณะต่อสู้เขาได้ออกคำสั่งกับหลิงเยียนหลายครั้ง แต่นางกลับใช้สัญชาตญาณในการเอาตัวรอดของสัตว์ป่าต่อต้านคำสั่งทั้งหมด ทว่าเหตุผลของนางนั้นไม่ทำให้เขาใจอ่อนสักนิด

          “เจ้าควรจะรู้สถานะของตัวเอง! เจ้าเป็นแค่ทาส ความเป็นความตายของเจ้าไม่ได้อยู่ในมือของเจ้า! นายของเจ้าคือข้า ร่างของเจ้า พลังวิญญาณขั้นปฐมของเจ้า พลังอิทธิฤทธิ์ของเจ้า และชีวิตของเจ้า ทุกอย่างของเจ้าเป็นของข้า! หากข้าต้องการให้เจ้าอยู่ เจ้าก็อยู่ หากข้าต้องการให้เจ้าตาย เจ้าก็ต้องตาย!”

          ใบหน้าของหลิงเยียนกระตุก กับอาจารย์โรคจิตเช่นนี้ นางไม่รู้ว่าควรจะหัวเราะหรือร้องไห้ใส่ดี

          “ทำหน้าอย่างนั้นหมายความว่ายังำง นี่เจ้าหัวเราะข้างั้นหรือ” ดวงตาของอาเซี่ยแดงก่ำ “ดูเหมือนว่าเจ้ายังได้รับบทเรียนไม่พอ เราห่างกันแค่ไม่กี่ทศวรรษ แต่ไม่คิดเลยว่าเจ้าจะทำตัวอวดดีได้ถึงขนาดนี้”

          เขายกมือขึ้นและอาคมขั้นสร้างแกนก็แผ่ออกมาจากนิ้วมือ อาเซี่ยพร้อมที่จะให้บทเรียนที่ยิ่งใหญ่กับนาง ทว่าเขากลับหยุดการกระทำดังกล่าวลงกะทันหัน

          หากเขาทำร้ายนางอีกครั้ง เด็กแมวนี่อาจถึงตาย และหากนางมาตายเช่นนี้ เขาก็ไม่ได้ประโยชน์อะไรเลย หนำซ้ำเมื่อได้เห็นใบหน้ายอมจำนนและสงบนิ่งของอีกฝ่าย เขาก็รู้สึกว่ามันไม่สาสมเลยสักนิดหากปล่อยให้นางตายเช่นนี้

          “ว่าแต่ก่อนหน้านี้เจ้าก็ข้องแวะกับคนพวกนั้นมาพักหนึ่ง ไหนลองบอกสถานการณ์ของพวกมันให้รู้หน่อยซิ”

          เด็กสาวหูแมวรู้สึกหวั่นไหว นางพลันนึกถึงหญิงสาวที่ชื่อหยูเซียนคนนั้น นางนึกถึงความไร้เดียงสา ความใจดีและรอยยิ้มที่บริสุทธิ์ของอีกฝ่าย แม้จะไม่ได้อยู่กับกลุ่มของหวังลู่เนิ่นนานนัก แต่นางก็รู้สึกประทับใจในตัวของหญิงสาวไม่น้อยทีเดียว

          ในฐานะเชลย หวังลู่กับนักบวชเซนเนื้อสุนัขไม่ได้ทารุณนางก็จริง แต่พวกเขาก็ไม่ได้ใจดีกับนาง มีเพียงหลิวหลีที่หัวเราะและเล่นกับนางไปตลอดทาง อีกฝ่ายหยอกล้อกับนางไม่หยุด ทั้งยังแบ่งเนื้อปลาแห้งชิ้นเล็กๆ ให้กินและให้นางได้ลิ้มรสสุราชั้นดีด้วย แม้ท่าทางของหญิงสาวจะดูไม่น่ายำเกรงนัก แต่ความเป็นมิตรของอีกฝ่ายกลับทำให้นางอบอุ่นหัวใจ

          หลังจากที่บำเพ็ญเซียนมาหลายปี คนที่ดีกับนางก็มีไม่น้อย ทว่าไม่คาดคิดว่าคนพวกนั้นล้วนปรารถนาในความงามของนางทั้งสิ้น บางคนก็หลงใหลในขั้นตบะของนาง บางคนก็เป็นพวกคลั่งไคล้แมว…

          คนที่ชอบหลิงเยียนจริงๆ ดีต่อหลิงเยียนจริงๆ แทบจะไม่มีอยู่เลย

          หากเป็นไปได้นางก็ไม่ต้องการเป็นศัตรูกับหลิวหลี ก่อนหน้านี้ตอนที่เรือเหาะปรากฏขึ้นในหุบเขา นางรีบซ่อนตัวทันที เหตุผลข้อหนึ่งเป็นเพราะตอนนั้นหลิวหลีหันมามองนาง หากนางไม่คิดหนีไป คนทั้งคู่ย่อมไม่อาจเลี่ยงที่จะแลกคมกระบี่กัน

          หลิงเยียนไม่เคยใส่ใจถ้าจะต้องเป็นศัตรูกับใคร แต่นางก็ไม่อยากให้หญิงสาวที่รู้จักกันเพียงช่วงเวลาสั้นๆ ก็ทำให้อบอุ่นหัวใจได้คนนั้นต้องบาดเจ็บ

          อาเซี่ยยิ้มขื่น “ฮ่ะๆ ดูเหมือนว่าเจ้าจะมีช่วงเวลาดีๆ กับคนพวกนั้นสินะ งั้นก็ยิ่งดีใหญ่ ตอนนี้ข้าอยากให้เจ้ากลับไป”

          “กลับไป?”

          “ถูกแล้ว บอกคนพวกนั้นว่าเจ้าถูกหมิ่นเกียรติจนต้องแปรพักตร์ จากนั้นก็พยายามทำให้พวกมันเชื่อใจและกินสิ่งนี้เสีย”

          อาเซี่ยหยิบเอาขวดกระเบื้องเล็กๆ ออกมาและส่งให้หลิงเยียน

          “ข้าเชื่อในตัวเจ้า เจ้าต้องทำได้แน่”

          เด็กสาวถือขวดกระเบื้องเคลือบด้วยมือที่สั่นเทาขณะก้มหัวคำนับ นางไม่อาจให้อาเซี่ยเห็นอาการของตัวเองได้แม้แต่น้อย

          เพราะนี่เป็นครั้งแรก ที่หลิงเยียนสามารถยิ้มออกมาได้จริงๆ เมื่อต้องอยู่ข้างกายอาเซี่ย