ตอนที่ 60 จวนโหวหลบลี้

จารใจรัก

จงหย่งโหว ชุยอวิ่น และเซี่ยหลินซีทราบข่าวว่าเซี่ยฟางหวาฟื้นแล้วก็รีบพากันมายังสวนไห่ถัง 

 

 

           เมื่อได้ยินเสียงเคลื่อนไหวจากภายนอกเซี่ยฟางหวาก็ยืดตัวขึ้น ยื่นมือไปดึงฉินเจิงแล้วเบ้ปากอย่างไม่พอใจ “พวกเขามากันเร็วนัก” 

 

 

           “เจ้าหมดสติไปกะทันหันทำเอาทุกคนตกใจแทบแย่ ใครบ้างจะไม่เป็นห่วง” ฉินเจิงลุกขึ้น ยกมือดีดหน้าผากนาง 

 

 

           เซี่ยฟางหวามองเขา สลัดความไม่พอใจทิ้งแล้วไม่ส่งเสียงใดขึ้นอีก 

 

 

           พอทั้งสองเดินออกมาหน้าประตู จงหย่งโหวกับชุยอวิ่นก็เข้ามาแล้ว 

 

 

           เมื่อพบหน้ากัน เซี่ยฟางหวากะพริบตามองทุกคน ก่อนส่งเสียงทักทายทีละคนตามลำดับ “ท่านปู่ ท่านลุง พี่หลินซี ป้าฝู” 

 

 

           “ไอ้หยา คุณหนูของข้า ท่านฟื้นมาก็ดีแล้ว” ป้าฝูเบ้าตาแดงช้ำ แย่งเอ่ยขึ้นก่อนใครอื่น “เดิมก็หาได้มีเนื้อหนังมังสาเยอะแยะ ตอนนี้ผอมยิ่งกว่าเดิมอีก เห็นแล้วก็ปวดใจนัก จากนี้ต้องบำรุงร่างกายให้ดี” 

 

 

           “อืม ต่อไปข้าจะระวังให้มากขึ้น” เซี่ยฟางหวาส่งยิ้มให้นางแล้วพยักหน้า 

 

 

           “ไฉนตาถึงแดงช้ำถึงเพียงนี้” จงหย่งโหวย่นหัวคิ้ว 

 

 

           “คล้ายกับร้องไห้มา” ชุยอวิ่นมองนาง 

 

 

           “ข้าฝันร้าย ตกใจจนร้องไห้ออกมา ถึงฟื้นขึ้นมาได้” เซี่ยฟางหวาลูบหน้าตอบ 

 

 

           “หวาเอ๋อร์ ไม่ใช่เจ้าเด็กนี่พาลโมโหใส่เจ้าถึงร้องไห้ใช่ไหม” ชุยอวิ่นชี้ฉินเจิงด้วยท่าทีไม่พอใจ 

 

 

           ฉินเจิงได้ยินเช่นนั้นก็มองเซี่ยฟางหวาอย่างจนปัญญา สื่อความหมายทางแววตาว่า ‘เห็นไหม ข้าพูดไว้มิผิด ท่านลุงเห็นข้าก็ชักสีหน้าไม่ดีใส่’ 

 

 

           “ท่านลุง คราวหลังท่านยังใส่ความคนอื่นตามใจชอบอีก ข้าหมดสติไปมิใช่เพราะเขา ห้ามท่านใส่ร้ายเขา” เซี่ยฟางหวาส่ายหน้า ยกมือคล้องแขนฉินเจิงแล้วแย้งตอบ  

 

 

           “โหวเหยผู้เฒ่า โบราณกล่าวไว้มิผิดเลยเชียว สตรีมักเข้าข้างคนนอกจริง นางเหนื่อยล้าจนหมดสติไป นึกไม่ถึงว่าจะยังเข้าข้างเจ้าเด็กบ้านี่อีก” ชุยอวิ่นค้อนตามอง หันกลับมาหาจงหย่งโหวทันควัน  

 

 

           “ฟื้นก็ดีแล้ว กินข้าวเสร็จแล้วก็รีบเก็บของกลับไปเสีย” จงหย่งโหวเหลือบมองทั้งสองแล้วแค่นเสียง 

 

 

           “กลับไปไหน” เซี่ยฟางหวารีบถาม 

 

 

           “แน่นอนว่ากลับจวนอิงชินอ๋อง หรือว่าเจ้าจะอยู่ที่นี่ต่อรึ” จงหย่งโหวมองค้อนนาง “เจ้าจะทำให้คนอื่นตกใจ ก็ต้องกลับไปทำให้คนในจวนอิงชินอ๋องตกใจด้วยเช่นกัน ข้าแก่แล้ว ทนไม่ไหวหรอก” 

 

 

           เซี่ยฟางหวาทำปากจู๋ “ข้าเพิ่งฟื้นมาท่านก็ตะโกนใส่ข้าแล้ว มีท่านปู่แบบท่านอีกหรือไม่” พูดจบก็ไม่พอใจ “ข้าข้องใจเหลือเกินว่าข้าเป็นหลานสาวแท้ๆ ของท่านหรือไม่” 

 

 

           “ถ้าไม่ใช่หลานสาวแท้ๆ ข้าไล่เจ้าออกไปตั้งนานแล้ว มีหลานสาวเช่นเจ้า ต้องคอยกังวลไม่จบไม่สิ้น” จงหย่งโหวพูดพลางก็เดินเข้าไปในห้อง 

 

 

           ชุยอวิ่นตามหลังเข้าไปเช่นกัน 

 

 

           “น้องฟางหวา เจ้าฟื้นมาก็ดีแล้ว สองวันนี้พวกเราสบายดี เพียงแต่ลำบากน้องฉินเจิงแล้วที่ต้องอยู่เฝ้าเจ้าข้างเตียงตลอดเวลา ไม่แตะต้องข้าวปลาอาหาร กินไม่ได้นอนไม่หลับ” เซี่ยหลินซียิ้ม  

 

 

           “พี่หลินซี” เซี่ยฟางหวามองฉินเจิงแวบหนึ่งแล้วเชิญเขาเข้าไปข้างในเช่นกัน 

 

 

           ทุกคนพากันเข้ามาในห้องรับรองแล้วนั่งลง ซื่อฮว่าตามไล่หลังเข้ามาเอ่ยถาม “โหวเหยผู้เฒ่า นายท่าน ตอนนี้กำลังเตรียมอาหารให้คุณหนูอยู่ พวกท่านจะทานร่วมกันด้วยหรือไม่เจ้าคะ” 

 

 

           “มื้อกลางวันแม้เร็วไปหน่อย แต่ก็อยู่กินด้วยกันที่นี่เถอะ” จงหย่งโหวมองชุยอวิ่นแวบหนึ่ง “สองวันนี้เราไม่อยากอาหารเพราะหวาเอ๋อร์ ตอนนี้นางฟื้นแล้ว เราคงเจริญอาหารขึ้นบ้าง” 

 

 

           ชุยอวิ่นพยักหน้า 

 

 

           ซื่อฮว่ายิ้มแล้วขานรับ ก่อนรีบกลับออกไป 

 

 

           “หลังเจ้าหมดสติไป เจ้าเด็กบ้านี่ก็อยู่เฝ้าเจ้าด้วยใบหน้านิ่งขรึม เราจึงได้แต่ต้องฟังเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อหลายวันก่อนจากปากพวกซื่อฮว่ากับซื่อม่อแทน” จงหย่งโหวดื่มน้ำชาอึกหนึ่งแล้วกล่าวกับเซี่ยฟางหวา “ในเมื่อเจ้าฟื้นแล้วก็เล่าให้เราฟังสิว่าเกิดอะไรขึ้นกันแน่ ไฉนจนถึงตอนนี้แล้วยังไม่มีข่าวของเจ้าอวิ๋นหลานเลย” 

 

 

           เอ่ยถึงเซี่ยอวิ๋นหลาน เซี่ยฟางหวาเดิมทีกำลังจะดื่มน้ำชาก็ชะงักมือ ไม่ส่งเสียงใด 

 

 

           “เกิดอะไรขึ้นกับเขาหรือไม่” ชุยอวิ่นกังวล 

 

 

           เซี่ยฟางหวาดื่มน้ำชาอึกเล็กๆ ก่อนส่ายหน้าตอบ แล้วเอ่ยเสียงทุ้มต่ำ “ข้าเองก็ไม่รู้ว่าพี่อวิ๋นหลานอยู่ที่ใดกันแน่” พูดจบ นางลังเลครู่หนึ่ง ก่อนจะเล่าเหตุการณ์เซี่ยอวิ๋นหลานเอาตัวรับหินยักษ์แทนนาง ภายใต้ความไร้หนทางจึงได้แต่ต้องลากเขากระโดดลงจากหน้าผาให้ฟังรอบหนึ่ง 

 

 

           “เจ้าบอกว่าเจ้าอวิ๋นหลานอยากฆ่าตัวตาย?” ชุยอวิ่นตกใจทันที 

 

 

           “ตอนนั้นเดิมข้าหลบได้ ด้วยพลังของเขาก็สามารถหลบได้พ้นเช่นกัน ทว่าเขากลับเอาตัวเข้ารับแทนข้า” เซี่ยฟางหวากุมถ้วยชา ฝ่ามือสั่นระริกแผ่วเบา “ถ้าไม่ใช่ข้าลากเขากระโดดจากหน้าผา ตอนนั้นเขาอาจจะถูกฝังอยู่ใต้โคลน ตายไปแล้วอย่างไม่มีข้อสงสัย” 

 

 

           “เจ้าเด็กคนนี้ เพราะหาทางถอนคำสาปเผาใจไม่ได้หรือ” ชุยอวิ่นทอดถอนใจ มองไปยังจงหย่งโหว 

 

 

           “อวิ๋นหลานดูไม่ใช่คนที่คิดจะฆ่าตัวตาย ไม่น่าทำเรื่องเช่นนี้ได้” จงหย่งโหวมีสีหน้านิ่งขรึม  

 

 

           “เหตุใดท่านปู่ถึงคิดว่าเขาไม่ใช่คนที่คิดจะฆ่าตัวตาย แม้พี่อวิ๋นหลานฉลาดหลักแหลม แต่มีความคิดหนักแน่น ทั้งต้องแบกรับคำสาปเผาใจ ต้องทนทุกข์ทรมานจากมัน หรือไม่ก็ยังมีเรื่องที่เขาแบกรับไม่ไหวที่เรายังไม่รู้อีก…” เซี่ยฟางหวาขอบตาร้อนชื้นขึ้นมาทันที ก้อนสะอื้นจุกอยู่ในลำคอ  

 

 

           “ตั้งแต่เขามาอยู่ที่จวนจงหย่งโหวแล้วรับช่วงต่องานธุรการในมือเจ้าก็จัดการได้เป็นขั้นเป็นตอนตลอดมา ข้าไม่สังเกตเห็นถึงความผิดปกติใดเลย แม้แต่เจ้าเข้าพิธีสมรส เขาก็…” ชุยอวิ่นพูดพลางก็มองฉินเจิงแวบหนึ่ง พบว่าเขามีสีหน้าปกติดีก็พูดต่อ “เขาก็สงบนิ่งมาก ไม่คล้ายกับทนทุกข์หรือแบกรับไม่ไหว” 

 

 

           “ส่งคนค้นหาตัวเขาต่อไปเถอะ” จงหย่งโหวบอก “แน่นอนว่าเด็กคนนี้แบกรับไว้มากเกินไป เท่าที่เจ้าเล่ามา ในเมื่อเขากระโดดหน้าผาลงไปพร้อมเจ้า ตัวเจ้าไม่เป็นไร เขาก็ต้องไม่เป็นอะไรด้วยเช่นกัน น่าจะถูกใครช่วยเอาไว้แล้ว” 

 

 

           เซี่ยฟางหวาพยักหน้า 

 

 

           “ฝ่าบาทเสด็จมายังจวนจงหย่งโหวครั้งนี้ เมื่อผ่านประตูเข้ามาก็ตรัสว่าเสียดายความสามารถของหลินซี อยากให้เขาไปติดตามข้างพระวรกายพระองค์ หลินซีอ้างเหตุผลว่ารัชทายาททรงมอบเขาให้เจ้าแล้ว ชีวิตของเขาต้องมีเจ้าเป็นผู้ตัดสินใจแทน เจ้าคิดว่าอย่างไร” จงหย่งโหวถามอีก 

 

 

           เซี่ยฟางหวามองเซี่ยหลินซี พบว่าเขาเม้มปากเล็กน้อย นางจึงยกยิ้มมุมปากแล้วเอ่ยขึ้น “ตอนนี้มีเรื่องน่ากังวลมากมาย พี่หลินซีอย่าไปไหนทั้งนั้นเลยดีกว่า ยิ่งข้างพระวรกายฝ่าบาทก็ยิ่งห้ามไป บางทีวันหนึ่งหากเข้าไปมีส่วนร่วมในงานราชสำนัก ถูกม้วนเข้าไปแล้วจะถอนตัวออกมาลำบาก ข้าว่ารอให้สถานการณ์มั่นคงก่อน หากพี่หลินซีมีความคิดอยากเข้าราชสำนัก ค่อยคิดตอนนั้นก็ยังไม่สาย” 

 

 

           “ตอนนี้ข้ายังไม่คิดเข้าราชสำนัก น้องฟางหวาพูดถูกแล้ว ค่อยว่ากันทีหลังเถอะ” เซี่ยหลินซีพยักหน้า 

 

 

           “วันนี้ฝ่าบาทเสด็จมาที่จวนจงหย่งโหวก็เพราะเจ้าใช่ไหม ทรงเรียกเจ้าเข้าวัง แต่เจ้าปฏิเสธ ดังนั้นจึงเสด็จมาหาเจ้าที่นี่แทน” จงหย่งโหวมองไปยังฉินเจิง “ฝ่าบาททรงอยากพบเจ้าด้วยเรื่องใด พูดได้หรือไม่” 

 

 

           ฉินเจิงตอบอย่างเฉยเมย “ไม่ใช่เพราะเรื่องคดีพวกนั้นหรือ อยากให้ข้าเร่งปิดคดีให้ได้โดยเร็ว อย่าล่าช้าไปนานกว่านี้” พูดจบก็แค่นเสียงแผ่วเบา “เห็นข้าเป็นตี๋เหรินเจี๋ย*[1]รึ” 

 

 

           จงหย่งโหวได้ยินเช่นนั้นก็กล่าวต่อ “เพื่อบ้านเมืองหนานฉิน เจ้าจำเป็นต้องปิดคดีโดยเร็วที่สุดอยู่แล้ว เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นต่อเนื่องทั้งในและนอกเมืองหลวงจำต้องมีคำอธิบายโดยเร็วที่สุด เพื่อสร้างความมั่นคงให้ราชสำนัก ราษฎรจะได้ไม่ต้องอยู่อย่างหวาดระแวง ตั้งแต่เกิดคดีหมอหลวงซุนกับใต้เท้าหานถูกสังหารต่อเนื่องกัน ขุนนางใหญ่ในราชสำนักต่างอกสั่นขวัญหายตลอดหลายวันนี้” 

 

 

           ฉินเจิงไม่พูดจา 

 

 

           “ในเมื่อหวาเอ๋อร์ฟื้นแล้วก็ต้องบำรุงร่างกายให้ดี ส่วนเจ้า หลังกินข้าวเสร็จแล้วก็รีบไปสะสางงานได้แล้ว รัชทายาทไม่อยู่ในราชสำนัก องค์ชายแปดก็ยังอายุน้อยมาก เรื่องบางอย่างหากเจ้าไม่ทำตอนนี้ใครจะทำแทน ใต้เท้าหานเป็นขุนนางที่ดี ควรเร่งหาตัวฆาตกรเพื่อปลอบขวัญวิญญาณเขาบนสวรรค์” จงหย่งโหวมองไปยังเซี่ยฟางหวาแล้วกล่าวต่อ  

 

 

           ฉินเจิงผงกศีรษะ 

 

 

           เวลานี้ซื่อฮว่ากับซื่อม่อก็ยกอาหารเข้ามา จงหย่งโหวจึงหยุดพูด 

 

 

           เซี่ยฟางหวาแม้เพิ่งฟื้นขึ้นมาทว่าก็ไม่ได้รู้สึกหิว กินข้าวต้มไปถ้วยหนึ่ง พร้อมผักอีกสองคำก็วางตะเกียบลงแล้ว 

 

 

           “กินน้อยถึงเพียงนี้?” ฉินเจิงย่นหัวคิ้ว 

 

 

           “นางเพิ่งฟื้น ไม่ควรกินมาก ไม่อยากกินก็ไม่ต้องกิน” จงหย่งโหวบอก 

 

 

           ฉินเจิงไม่ว่าอะไรอีก 

 

 

           เมื่อกินอาหารเสร็จ เวลายังไม่ถึงยามอู่**[2] 

 

 

           จงหย่งโหวยกมือไล่ฉินเจิงกับเซี่ยฟางหวาให้รีบกลับจวนอิงชินอ๋อง 

 

 

           “ท่านปู่ ข้าจะอยู่อีกหนึ่งวัน” เซี่ยฟางหวาไม่อยากกลับ นั่งนิ่งแล้วเอ่ยเสียงเบา  

 

 

           “มีอะไรน่าอยู่รึ” จงหย่งโหวยกมือไล่ 

 

 

           “ข้าอยากคุยกับท่าน” เซี่ยฟางหวามองเขา 

 

 

           “ข้าไม่อยากฟังเจ้าพูด” จงหย่งโหวตอบ 

 

 

           เซี่ยฟางหวาถลึงตามอง พบว่าเขามีท่าทียืนกรานว่าจะไล่นางกลับ นางจึงเอ่ยขึ้นอย่างกลุ้มใจ “ข้ามีเรื่องต้องคุยกับท่าน” 

 

 

           “เช่นนั้นเจ้าก็พูดมาเสียตอนนี้” จงหย่งโหวมองนาง 

 

 

           เซี่ยฟางหวาเงียบไปพักหนึ่ง ก่อนคลึงหว่างคิ้วแล้วเอ่ยขึ้น “ข้าทำให้ท่านไม่พอใจถึงเพียงนั้นเชียวหรือ ข้าเพิ่งฟื้นมา ท่านก็เอาแต่ไล่ข้า” 

 

 

           “เจ้าอยู่ที่นี่ เจ้าเด็กบ้านี่ก็ไม่ยอมกลับ นานเท่าไรแล้วที่ฝ่าบาทไม่เสด็จออกจากวังหลวง เพื่อพวกเจ้าถึงกับเสด็จมาที่จวนโหวเอง” จงหย่งโหวกระดกเครา “พี่ชายเจ้าไม่อยู่ เจ้าออกเรือนไปแล้ว กว่าจวนจงหย่งโหวจะได้อยู่อย่างสงบนั้นไม่ใช่เรื่องง่าย พอเจ้ามาถึงก็นำมาซึ่งคนมากมาย” 

 

 

           เซี่ยฟางหวาได้ยินเช่นนั้นก็เงียบลงครู่หนึ่ง “ก็ได้ เช่นนั้นข้าจะคุยกับท่านตอนนี้” 

 

 

           จงหย่งโหวพยักหน้า 

 

 

           “ข้าคิดว่าในเมื่อท่านถอนตัวออกมาตั้งแต่สามปีก่อน ตอนนี้อายุมากแล้ว ทั้งยังไม่สนใจการบริหารราชสำนัก ตอนนี้ท่านลุงเองก็ถอดเกราะกลับมาแล้วเช่นกัน พี่หลินซีก็ยังไม่คิดจะเข้าราชสำนักตอนนี้ เพื่อท่านพี่กับข้า ท่านถึงไม่ได้ออกจากจวนมาหลายปีแล้ว ตอนนี้ข้าออกเรือนแล้ว ท่านพี่ก็ไปม่อเป่ยระยะหนึ่ง ไม่มีทางได้หมั้นหมายในเวลาอันใกล้นี้ เช่นนั้นท่านถือโอกาสนี้ออกไปท่องเที่ยวไม่ดีกว่าหรือ” เซี่ยฟางหวาเอ่ยขึ้น 

 

 

           จงหย่งโหวชะงักไป 

 

 

           “หวาเอ๋อร์ เจ้าจะให้โหวเหยผู้เฒ่าออกจากเมือง” ชุยอวิ่นแปลกใจเช่นกัน 

 

 

           “ไม่ใช่แค่ท่านปู่ แต่ท่านลุงกับพี่หลินซีก็ด้วย พวกท่านสามคนไปด้วยกัน” เซี่ยฟางหวาบอก 

 

 

           ชุยอวิ่นแปลกใจยิ่งกว่าเดิม มองไปยังเซี่ยหลินซี พบว่าเขาเองก็ชะงักไปเล็กน้อยเช่นกัน เขาจึงเอ่ยถามขึ้น “เพราะเหตุใด อยู่ในจวนก็ดีอยู่แล้ว” 

 

 

           “ตอนนี้ในเมืองเกิดเรื่องขึ้นมากมาย ทั้งจวนจงหย่งโหวอยู่ในตำแหน่งอันเป็นที่จับตามอง ข้าคิดว่าหากท่านปู่ออกไปท่องเที่ยว หลีกหนีจากความวุ่นวายน่าจะดีกว่า ถึงอย่างไรตระกูลเซี่ยก็แยกตระกูลและบรรพบุรุษแล้ว ท่านพี่ก็ได้เป็นขุนนางรับใช้ราชสำนักแล้วเช่นกัน มีคนรับช่วงต่อแล้ว ท่านปู่อายุมากขึ้นทุกวัน ต้องอุดอู้อยู่แต่ในจวนก็น่าเบื่อแย่ ท่านลุงอยู่พรมแดนมาหลายปี รู้จักเพียงแค่ม่อเป่ย ไม่รู้ว่าใต้หล้ามีทิวทัศน์มากน้อยเพียงใด พี่หลินซีแทบจะไม่เคยห่างจากเมืองหลวงร้อยลี้เลยกระมัง ออกไปเปิดหูเปิดตามีสิ่งใดไม่ดีหรือ” เซี่ยฟางหวาตอบ 

 

 

           “เจ้าพูดมาก็มีเหตุผล แต่พวกเราไปแล้ว ใครจะอยู่ดูแลบ้าน” จงหย่งโหวขมวดคิ้ว 

 

 

           “ข้ายังอยู่ในเมืองไม่ใช่หรือ จวนอิงชินอ๋องกับจวนจงหย่งโหวห่างกันแค่ถนนสองสายกั้นเท่านั้น ไม่ได้ไกลอะไร” เซี่ยฟางหวามองเขา “ท่านอยู่แต่ในจวนไม่ได้ออกไปไหนนานเท่าไรแล้ว ไม่อยากออกไปเปิดหูเปิดตาหรือ อีกอย่างถึงพวกท่านไม่อยู่ ใครจะกล้าขโมยจวนจงหย่งโหวไป” 

 

 

           “เป็นความคิดของเจ้าหรือ” จงหย่งโหวหันไปมองฉินเจิง พบว่าเขาเอาแต่เงียบก็เอ่ยถาม “เจ้าเจิง เป็นความคิดของเจ้าด้วยใช่หรือไม่” 

 

 

           ฉินเจิงยิ้ม “นางเพิ่งฟื้นมา ไม่ได้เอ่ยถึงเรื่องนี้กับข้าเลยแม้แต่น้อย แต่ว่าข้าก็คิดว่ามีเหตุผล” พูดจบก็มองเซี่ยฟางหวาแวบหนึ่ง “เพียงแต่เพราะท่านปู่อายุมากแล้ว ออกไปท่องเที่ยวคงลำบากไม่น้อย ใครจะคอยดูแล ยิ่งไปกว่านั้นจะไปท่องเที่ยวที่ใด จะต้องมีจุดหมายปลายทาง” 

 

 

           “ได้ยินว่าทางทิศตะวันออกของหนานฉิน หลังข้ามทะเลไป อีกฟากฝั่งมีดินแดนอยู่ผืนหนึ่ง เป็นสถานที่เลื่องชื่อที่อัจฉริยะบุรุษเคยไป ท่านปู่เคยไปเป่ยฉีแล้ว สถานที่ต่างๆ ในหนานฉินก็เคยไปมาแล้วเช่นกัน คงไม่รู้สึกแปลกใหม่อะไร มิสู้ไปทะเลบูรพา ข้ามทะเลไปเยือนโลกภายนอกดู ถึงอย่างไรอายุยิ่งมาก บั้นปลายชีวิตหากได้เปิดหูเปิดตาให้มากจะได้ไม่ต้องเสียดายชีวิตนี้” เซี่ยฟางหวาตอบ  

 

 

           “มีแค่คำเล่าลือกันว่าข้ามทะเลบูรพาไปแล้วมีดินแดนอีกผืนหนึ่ง หรือว่าเป็นความจริง” จงหย่งโหวได้ยินเช่นนั้นก็ดูสนใจ  

 

 

           “ท่านปู่ลองไปดูก็รู้แล้วไม่ใช่หรือ ถ้าไม่พิสูจน์ดู ไหนเลยจะรู้ว่าเป็นความจริงหรือไม่” เซี่ยฟางหวาตอบ 

 

 

           จงหย่งโหวหันไปมองชุยอวิ่น 

 

 

           “ฟังว่าทะเลบูรพาใหญ่มาก น้อยคนนักจะไปเยือน เราจะไปได้จริงหรือ แล้วจะไปอย่างไร” ชุยอวิ่นก็ดูสนใจบ้างเช่นกัน  

 

 

           “นั่งเรือสิ” เซี่ยฟางหวาตอบ “เรือที่หุ้มด้วยเหล็กชั้นดีจะล่องในทะเลได้ ฟังว่าหนึ่งเดือนก็ถึงแล้ว ไม่เห็นว่าจะยากลำบากนัก” 

 

 

           “หากไปทะเลบูรพาได้จริง ข้าก็อยากลองไปดูเช่นกัน” เซี่ยหลินซีเองก็กระตือรือร้นขึ้นมา 

 

 

           “เหตุใดจู่ๆ เจ้าถึงมีความคิดเช่นนี้” จงหย่งโหวลูบเครา ครุ่นคิดแล้วเอ่ยถามเซี่ยฟางหวา  

 

 

           เซี่ยฟางหวามองฉินเจิงแวบหนึ่งแล้วเอ่ยตอบ “เขาไม่ยอมให้ข้าคิดมาก แต่ข้าจะทนไหวได้อย่างไรกัน การปกป้องจวนจงหย่งโหวเป็นความหนักใจของข้าตลอดมา ตอนนี้ท่านพี่ไปม่อเป่ยแล้ว ข้าจึงอยากดูแลท่านให้ดีกว่านี้” หยุดชั่วครู่ก่อนพูดตามความจริง “ยิ่งไปกว่านั้น สามปรมาจารย์เขาไร้นามยังไม่ตาย ครั้งนี้ถูกข้าวางเพลิงทำร้ายไปหนึ่งท่าน ย่อมต้องโกรธแค้นมากเป็นแน่ หากท่านปู่ออกไปท่องเที่ยวข้างนอก ดีกว่าอยู่ในจวนจงหย่งโหวตลอดเวลา” 

 

 

           จงหย่งโหวพยักหน้า 

 

 

           “หากจวนจงหย่งโหวกับตระกูลเซี่ยไม่ได้คุกคามอำนาจราชสำนัก เช่นนั้นฝ่าบาทจะยังทรงคิดกำจัดจวนจงหย่งโหวอีกหรือไม่ ไม่แน่นอนกระมัง ดังนั้นมิสู้ปล่อยจวนจงหย่งโหวทิ้งร้าง ท่านปู่ปลีกวิเวกไปเสีย” เซี่ยฟางหวากล่าวอีก 

 

 

           จงหย่งโหวไตร่ตรองพักหนึ่ง ก่อนเงยหน้ามองฉินเจิง “เจ้าคิดเช่นไร” 

 

 

           “โลกภายนอกกว้างใหญ่ ข้าเองก็อยากไปเปิดหูเปิดตาบ้าง เพียงแต่ไม่รู้ว่าเราจะได้ไปตอนไหน ท่านปู่ไปเสาะหาเส้นทางแทนเราก่อนก็ดี” ฉินเจิงยิ้มตอบ 

 

 

           จงหย่งโหวหันไปมองชุยอวิ่นกับเซี่ยหลินซี 

 

 

           ทั้งสองพยักหน้าพร้อมกัน 

 

 

           “ก็ได้ แล้วแต่เจ้า แต่จะเดินทางเมื่อไร” จงหย่งโหวบอกเซี่ยฟางหวา 

 

 

           “ท่านปู่แอบจัดสรรจวนก่อน อย่ากระโตกกระตาก รอข้ามาจัดการเถอะ” เซี่ยฟางหวาตอบ 

 

 

           “เจ้าจะใช้สมองอีกแล้ว?” จงหย่งโหวกระดกเครา 

 

 

           “ข้าจัดการเองดีกว่า” ฉินเจิงบอก 

 

 

           “ใช้สมองอะไรกัน ขอเพียงปกป้องจวนจงหย่งโหวไว้ได้ ท่านปู่ ท่านลุง ท่านพี่ พี่หลินซีและคนอื่นๆ ปลอดภัย ต่อไปข้าก็คงไม่ต้องวิตกกังวลเกินเหตุแล้ว” เซี่ยฟางหวาหันมามองฉินเจิง “เจ้าจัดการเรื่องคดีให้เต็มที่เถอะ วางใจได้ เพื่อให้เราอยู่ด้วยกันในชาตินี้ ข้าจะต้องดูแลตัวเองให้ดีแน่นอน ไม่ประมาทอีกแล้ว” 

 

 

           ฉินเจิงได้ยินเช่นนั้นก็ปล่อยนาง “ก็ได้ เจ้าจัดการเถอะ” 

 

 

 

 

 

*ตี๋เหรินเจี๋ย เป็นอัครมหาเสนาบดีแห่งราชวงศ์ถัง เป็นขุนนางที่ปฏิบัติหน้าที่ด้วยความยุติธรรม สามารถพิพากษาคดีความได้โดยที่ไม่มีผู้ใดคัดค้าน 

 

 

**ยามอู่ คือ ช่วงเวลา 11:00 น. – 13:00 น.