ตอนที่ 61 สองร้อยปีก่อน

จารใจรัก

ความคิดจะให้จงหย่งโหว ชุยอวิ่น และเซี่ยหลินซีออกไปท่องโลกภายนอกได้ข้อสรุปอย่างรวดเร็ว 

 

 

           เซี่ยฟางหวากับฉินเจิงนั่งคุยสัพเพเหระกับทั้งสามต่อพักหนึ่ง ก่อนจะถูกจงหย่งโหวไล่ออกจากจวน 

 

 

           เมื่อออกมาหน้าประตูใหญ่จวนจงหย่งโหว เซี่ยฟางหวาหันกลับมามองป้ายเดินทองด้วยสายตาซึ่งแฝงไปด้วยความเจ็บปวด 

 

 

           ฉินเจิงกุมมือนางไว้แน่น 

 

 

           เซี่ยฟางหวาสลัดความเสียใจทิ้งไป หันกลับมาพึมพำใส่ฉินเจิงด้วยความไม่พอใจ “ข้าทำผิดต่อท่านปู่ ทำผิดต่อจวนจงหย่งโหว เมื่อท่านปู่ออกเดินทางแล้ว หลังจากนี้หากไม่มีเรื่องใด ข้าก็จะไม่กลับมาอีก” 

 

 

           “ภรรยาที่ไม่อยากกลับบ้านเดิมถึงจะเป็นภรรยาที่ดี หลังจากนี้เจ้าอาศัยที่เรือนลั่วเหมยให้สบายใจเถอะ ที่นั่นต่างหากที่เป็นบ้านของเจ้า” ฉินเจิงลูบศีรษะนางด้วยรอยยิ้มขำ  

 

 

           “ไม่ใช่บ้านของเราหรือ” เซี่ยฟางหวามองเขา 

 

 

           “อืม เป็นบ้านของเรา” ฉินเจิงยิ้มพลางพยักหน้ารับ 

 

 

           เซี่ยฟางหวาวาดมือกอดเอวเขา แนบลำตัวเข้าหาแผ่นอก เอ่ยเรียกเสียงทุ้ม “ฉินเจิง” 

 

 

           “หืม” ฉินเจิงขานรับแล้วมองนาง “มากอดกันกลางวันแสกๆ เช่นนี้มีคนมองอยู่นะ ไม่กลัวว่าจะถูกหัวเราะเยาะเอาหรือ” 

 

 

           “ไม่กลัว” เซี่ยฟางหวาส่ายหน้า 

 

 

           “ตั้งแต่เมื่อไรกันที่หนังหน้าข้าไม่ได้หนาเท่าเจ้าแล้ว นี่จะทำเช่นไรดี” ฉินเจิงหัวเราะ 

 

 

           เซี่ยฟางหวาตวัดตามองด้วยสายตาไม่พอใจ เมื่อรู้สึกได้ถึงสายตารอบด้านมองมาก็ผละตัวออกจากแผ่นอกเขาอย่างเหนียมอาย ก่อนจับมือเขาลากขึ้นรถม้า 

 

 

           ม่านปิดลง บังพวกซื่อฮว่ากับซื่อม่อที่กำลังป้องปากลอบยิ้ม 

 

 

           รถม้าเคลื่อนตัวออกจากหน้าประตูจวนจงหย่งโหว มุ่งหน้าไปยังจวนอิงชินอ๋อง 

 

 

           ฉินเจิงเอนหลังนั่งพิงผนังรถอย่างสบายอารมณ์ เซี่ยฟางหวาพิงตัวเขาอย่างเคยชินเฉกเช่นเมื่อก่อน วางศีรษะหนุนตักเขา เอนตัวนอนราบอย่างเกียจคร้านเช่นเดียวกัน พลางเงยหน้ามองเขา 

 

 

           ฉินเจิงลูบใบหน้าเซี่ยฟางหวาแผ่วเบา ไล้ตั้งแต่ใบหน้าไปจนถึงเรือนร่าง ปลายนิ้วนุ่มนวลทิ้งกระแสไออุ่น แววตาทอประกายอ่อนโยนดั่งผืนน้ำ 

 

 

           เซี่ยฟางหวาจ้องมองเขาตาไม่กะพริบราวกับมองอย่างไรก็ไม่พอ ใบหน้าหล่อเหลาหมดจด แววตาอบอุ่นอ่อนโยน ภายในนั้นมีแค่นางเพียงผู้เดียว 

 

 

           ผ่านไปครู่หนึ่งฉินเจิงก็โน้มศีรษะลงมา ประทับจุมพิตลงบนมุมปากนางแผ่วเบา 

 

 

           เซี่ยฟางหวายกสองมือโอบรอบลำคอเขา กลีบปากบางเปิดออกเนิบนาบ น้อมรับจุมพิตจากเขา 

 

 

           หลากอารมณ์เกาะกุมกัน อ่อนโยนอาลัยด้วยรัก 

 

 

           จุมพิตจบลง ทั้งคู่สบตามองกันด้วยอารมณ์แปรปรวน ลมหายใจของเซี่ยฟางหวายุ่งเหยิง ยกมือสอดเข้าไปใต้อาภรณ์ของฉินเจิง ลากมือผ่านคล้ายไม่รู้ตัว 

 

 

           ลมหายใจของฉินเจิงประเดี๋ยวบางเบาประเดี๋ยวหนักแน่น แววตาค่อยๆ มืดครึ้ม ทันใดนั้นก็ตะครุบมือของเซี่ยฟางหวาเอาไว้แล้วดึงออกมา เอ่ยขึ้นด้วยลำคอแห้งผาก “ถ้าเจ้ายังซนต่อไปเช่นนี้ ข้าคงทนไม่ไหวแล้ว” 

 

 

           “ไม่ได้อยากให้เจ้าอดทน” เซี่ยฟางหวาช้อนตามองด้วยความหลงใหล เอ่ยเสียงกระซิบ 

 

 

           ฉินเจิงหายใจติดขัด จับมือนางไว้แน่น กัดฟันเอ่ยขึ้น “ตรงนี้คือรถม้า” 

 

 

           เซี่ยฟางหวาหน้าเห่อร้อนเล็กน้อย ไม่เอ่ยคำใด หากแต่มองเขาด้วยความนุ่มนวล 

 

 

           ฉินเจิงพลันโน้มศีรษะลงมาอีกครั้ง มอบจุมพิตอันร้อนแรงให้นางครู่หนึ่ง จากนั้นก็เลื่อนมือไปปิดดวงตานางไว้ ฝ่ามือบดบังใบหน้านางไว้มากกว่าครึ่ง ลมหายใจของเขายุ่งเหยิงอย่างยิ่ง “ถ้าไม่ใช่ว่าร่างกายเจ้าไม่แข็งแรง เพิ่งฟื้นมาเมื่อครู่ ต่อให้ต้องรีบกลับจวน ข้าก็ไม่ปล่อยเจ้าไว้เป็นแน่” 

 

 

           “ร่างกายข้าไม่ได้ร้ายแรงถึงขั้นนั้น…” เซี่ยฟางหวากัดปาก เอ่ยเสียงเบา  

 

 

           “เจ้าจงบำรุงร่างกายให้กลับมาแข็งแรงเสีย อย่าคิดจะทำให้ข้าตกใจอีก” ฉินเจิงควบคุมเปลวเพลิงที่ใกล้จะปะทุในทรวงอก เอ่ยเตือนด้วยลำคอแห้งผาก  

 

 

           เซี่ยฟางหวาถอนหายใจ กลับมานอนนิ่งอย่างเชื่อฟัง 

 

 

           ผ่านไปพักหนึ่ง ลมหายใจของฉินเจิงก็กลับมานิ่งสงบได้ดังเดิม มองนางแล้วเอ่ยขึ้น “เจ้ารู้ดีที่สุดว่าจะทรมานข้าอย่างไร” 

 

 

           “ข้าแค่คิดถึงเจ้าแล้ว” เซี่ยฟางหวาแย้งกลับ 

 

 

           จิตใจของฉินเจิงพลันปั่นป่วน ลมหายใจกลับยุ่งเหยิงขึ้นอีกพักหนึ่งกว่าจะสะกดกลั้นได้ ออกคำสั่งอย่างเด็ดขาด “ข้าไม่อนุญาตให้เจ้าพูดแล้ว” 

 

 

           เซี่ยฟางหวาหยุดพูด 

 

 

           ฉินเจิงก็ไม่เอ่ยคำใดอีก 

 

 

           ความเงียบสงัดอันน่าประหลาดโรยตัวขึ้นในรถม้า 

 

 

           ผ่านไปพักหนึ่งรถม้าก็หยุดลง ซื่อฮว่าเอ่ยขึ้นจากข้างนอก “ท่านอ๋องน้อย คุณหนู ถึงจวนแล้วเจ้าค่ะ” 

 

 

           นางเพิ่งพูดจบ เสียงของพระชายาอิงชินอ๋องก็ดังขึ้นมา “หวาเอ๋อร์เพิ่งฟื้น ไฉนถึงรีบกลับจวน ข้าได้ยินคนส่งข่าวบอกยังไม่เชื่อ รีบออกมาดู ที่แท้เป็นเรื่องจริง” 

 

 

           เซี่ยฟางหวาได้ยินเสียงพระชายาอิงชินอ๋องก็รีบดีดตัวลุกขึ้นนั่งแล้วยกมือจัดทรงผมทันที 

 

 

           ฉินเจิงหัวเราะแผ่วเบา 

 

 

           เซี่ยฟางหวาได้ยินเสียงหัวเราะก็ตวัดตามองเขา พบว่าเขากำลังพิงผนังรถมองนาง แววตาเต็มไปด้วยความขำขันอย่างยิ่ง 

 

 

           “เจ้าหัวเราะอะไร” เซี่ยฟางหวาถาม 

 

 

           ฉินเจิงยิ้มพลางส่ายหน้า กวักมือเรียกนาง “ขยับมานี่ ข้าจะช่วยเอง” 

 

 

           เซี่ยฟางหวาขยับเข้าหาทันที 

 

 

           ฉินเจิงขยับมือด้วยความคล่องแคล่ว ขยับปักมวยผมที่เบี้ยวตอนนางนอนให้เป็นระเบียบแผ่วเบา จากนั้นก็เลิกม่านขึ้น กระโดดลงจากรถม้าก่อน แล้วส่งมือมาดึงนางลงจากรถม้าอย่างนุ่มนวล 

 

 

           หน้าจวนอิงชินอ๋องมีคนกลุ่มหนึ่งยืนอยู่ พระชายาอิงชินอ๋องอยู่ข้างหน้าสุด ตามมาด้วยสี่ซุ่น และพวกชุนหลัน 

 

 

           “ท่านแม่” ฉินเจิงเอ่ยเรียกอย่างเกียจคร้าน 

 

 

           “ท่านแม่” เซี่ยฟางหวาเหม่อลอยไปพักหนึ่งก่อนเรียกตาม 

 

 

           “ไฉนถึงไม่อยู่จวนโหวต่ออีกสักหน่อย” พระชายาอิงชินอ๋องจับมือเซี่ยฟางหวาพลางสำรวจมอง 

 

 

           เซี่ยฟางหวาสัมผัสได้ว่ามือนางอบอุ่นยิ่ง นางส่ายหน้าตอบ “ท่านปู่ไม่ชอบที่ข้าสร้างปัญหาเพิ่มให้เขา พอฟื้นก็รีบไล่ข้ากลับมา” 

 

 

           “โหวเหยผู้เฒ่านี่จริงๆ เลย” พระชายาอิงชินอ๋องได้ยินเช่นนั้นก็ยิ้มออกมา “กลับมาก็ดีแล้ว ข้ายังเป็นห่วงไม่หาย เดิมตั้งใจว่าพอกินมื้อกลางวันเสร็จแล้วค่อยหาเจ้าที่จวนโหวว่าเป็นเช่นไรบ้าง ตอนนี้เจ้าฟื้นมาก็ดีแล้ว” พูดพลางก็จูงมือนางเดินเข้าไปข้างใน 

 

 

           เซี่ยฟางหวาถอนมือฉินเจิงออก ปล่อยให้พระชายาอิงชินอ๋องจูงมือเดินเข้าไปข้างใน 

 

 

           นางเดินผ่านประตูใหญ่จวนอิงชินอ๋องมาแล้วหลายครั้ง มีเพียงครั้งนี้เท่านั้นที่ค่อนข้างแตกต่าง 

 

 

           “รู้สึกเช่นไรบ้าง ยังสบายดีใช่ไหม” พระชายาอิงชินอ๋องเป็นห่วง 

 

 

           “ท่านอย่ากังวลเลย หลายวันก่อนเหนื่อยล้าเกินไปบ้างเท่านั้น หมอหลวงวินิจฉัยเกินจริง ข้ารู้วิชาแพทย์ พักฟื้นสักสองสามวันก็หายดีแล้ว ไม่ได้ร้ายแรงขนาดนั้น” เซี่ยฟางหวาส่ายหน้า  

 

 

           “เช่นนั้นก็ดี สตรีอย่างเราต้องถนอมร่างกายตัวเอง” พระชายาอิงชินอ๋องลูบหลังมือนาง พูดด้วยความคลุมเครือ “ถ้าไม่ระวังตอนนี้ อนาคตจะเสียใจ” 

 

 

           “ท่านวางใจเถอะ ข้าทราบดี ต่อไปจะระวังให้มากกว่านี้” เซี่ยฟางหวาเข้าใจความหมายดี ยิ้มพลางพยักหน้า  

 

 

           “เช้านี้ฝ่าบาทเสด็จไปยังจวนจงหย่งโหว ทรงคุยเรื่องใดกับเจ้า” พระชายาอิงชินอ๋องหันกลับมามองฉินเจิงแวบหนึ่ง  

 

 

           “เรื่องคดี” ฉินเจิงตอบ  

 

 

           “เร่งเจ้ารีบปิดคดีหรืออย่างอื่น” พระชายาอิงชินอ๋องถาม 

 

 

           “ทั้งหมด” ฉินเจิงตอบเสียงเรียบ 

 

 

           พระชายาอิงชินอ๋องกำลังจะพูดอีก ทว่ามองซ้ายขวาแล้วก็เปลี่ยนคำพูด “ถึงเรือนหลักแล้วค่อยคุยกัน” 

 

 

           ฉินเจิงพยักหน้า 

 

 

           เมื่อมาถึงเรือนหลัก ข้ามธรณีประตูเข้ามา อิงชินอ๋องกำลังรออยู่ในห้องรับรองก่อนแล้ว เมื่อเห็นฉินเจิงกับเซี่ยฟางหวากลับมาก็พินิจมองทั้งคู่อย่างถี่ถ้วน ก่อนพูดกับเซี่ยฟางหวาด้วยความละมุนละม่อม “สตรีไม่ควรเป็นกังวลมากเกินเหตุ จากนี้พักรักษาตัวให้หายดี อย่าได้บุ่มบ่ามอีกเลย” 

 

 

           เซี่ยฟางหวาพยักหน้า 

 

 

           “พอได้ยินว่าเจ้าหมดสติไป ท่านอ๋องก็เป็นห่วงเจ้าอย่างยิ่งเช่นกัน เพียงแต่เขาประกาศต่อภายนอกว่าพักรักษาอาการป่วยในจวน ไม่สะดวกออกไปเยี่ยมเจ้าที่จวนโหว” พระชายาอิงชินอ๋องจูงเซี่ยฟางหวามานั่งแล้วยิ้มกล่าว  

 

 

           “ทำให้ท่านพ่อเป็นห่วงแล้ว ข้าไม่เป็นไร” เซี่ยฟางหวายิ้ม 

 

 

           “ไม่เป็นไรก็ดีแล้ว” อิงชินอ๋องพยักหน้า มองไปยังฉินเจิง “แม่เจ้าเล่าเรื่องสามปรมาจารย์เขาไร้นามให้ข้าฟังแล้ว” 

 

 

           ฉินเจิงเลิกคิ้ว 

 

 

           “เขาไร้นามแม้ถูกทำลายไปแล้ว ข่าวที่ได้รับกลับมาคือไม่เหลือผู้รอดชีวิต ทว่านึกไม่ถึงเลยว่าตอนนี้สามปรมาจารย์กลับยังมีชีวิตอยู่ อีกทั้งยังซ่อนตัวอยู่ในที่ลับตลอดเวลา ไม่เคยปรากฏตัวขึ้น เกรงว่าจะกำลังวางแผนในสิ่งที่พวกเราไม่รู้อยู่” อิงชินอ๋องมีสีหน้าเคร่งขรึม  

 

 

           ฉินเจิงไม่พูดจา 

 

 

           เซี่ยฟางหวามองฉินเจิงแวบหนึ่ง ไม่เอ่ยคำใดเช่นกัน 

 

 

           “ข้าได้ยินแม่เจ้าบอกว่า ฉือเฟิ่งมาเพื่อชิงตำราเคล็ดวิชาเผ่าภูตผีในมือเจ้า” อิงชินอ๋องมองเซี่ย 

 

 

ฟางหวาแล้วถามขึ้น 

 

 

           “เขาต้องการให้ข้ามอบตำราเคล็ดวิชาให้” เซี่ยฟางหวาพยักหน้า 

 

 

           “นึกไม่ถึงว่าปรมาจารย์เขาไร้นามก็ต้องการเคล็ดวิชาล้ำค่าของเผ่าภูตผี เพื่อสิ่งใดกันแน่ ข้าไตร่ตรองดูแล้ว คิดว่าอาจจะเกี่ยวข้องกับเหตุการณ์ในอดีตเมื่อสองร้อยปีก่อน” อิงชินอ๋องกล่าว 

 

 

           “ท่านพ่อหมายถึงเหตุการณ์ใดในอดีต” เซี่ยฟางหวามองอิงชินอ๋อง 

 

 

           “เป็นเหตุการณ์ที่นานมาแล้ว ข้าแค่เคยได้ยินจากเสด็จพ่อกับเสด็จแม่มาเล็กน้อย” อิงชินอ๋องตอบ “และเกี่ยวข้องกับตระกูลเซี่ยด้วย” 

 

 

           เซี่ยฟางหวายืดหลังตรงฉับพลัน มีลางสังหรณ์ว่าเหตุการณ์ในอดีตที่อิงชินอ๋องเอ่ยถึงนั้น นางเองก็พอทราบมาบ้างเช่นกัน 

 

 

           “สองร้อยปีก่อน ตระกูลเซี่ยให้กำเนิดผู้เพียบพร้อมด้วยสติปัญญาดั่งสวรรค์ประทานให้ มีนามว่าเซี่ยหลิงหยวน เป็นลูกหลานทายาทสายตรงในตระกูลเซี่ย” อิงชินอ๋องมองนาง “เจ้าน่าจะรู้จักเขา หรือก็คือพระอาจารย์หุยเจวี๋ยที่ตอนนี้ยังถูกผู้คนเอ่ยถึงและได้รับคำชื่นชมอยู่เสมอ หลังเขามรณภาพไป ฮ่องเต้ทรงเปลี่ยนอาภรณ์ ทั้งแผ่นดินต่างพากันร่ำไห้” 

 

 

           “ข้ารู้จักเขา” เซี่ยฟางหวาพยักหน้า 

 

 

           “พระอาจารย์หุยเจวี๋ยคัดลอก ‘คัมภีร์หฤทัยสูตร’ ไว้เล่มหนึ่ง ฟังว่าข้างในคัมภีร์แอบซ่อน ‘ภาพความลับแห่งสวรรค์’ เอาไว้ ฟังว่าหากมองภาพนี้ได้ทะลุปรุโปร่งก็จะสอดแนมความลับแห่งสวรรค์ได้ สามารถคำนวณชะตาบ้านเมืองหนานฉิน และคำนวณสวรรค์ลิขิตของทุกคนได้ด้วย” อิงชินอ๋องกล่าว “แท้จริงแล้วภาพความลับแห่งสวรรค์ไม่ใช่แค่คำนวณชะตาบ้านเมืองหนานฉินได้อย่างเดียว แต่ยังคำนวณชะตาของใต้หล้า และจังหวะสวรรค์ลิขิตของผู้ใดก็ตามได้” 

 

 

            เซี่ยฟางหวาหรี่ตาลง 

 

 

           “เล่าลือกันว่าปฐมจักรพรรดิราชวงศ์ก่อนกับองค์หญิงเผ่าภูตผีมีเยื่อใยต่อกัน ทว่ามีกฎเผ่าภูตผีเป็นอุปสรรคขัดขวาง ดังนั้นจึงไม่เคยได้เชื่อมสัมพันธ์เป็นคู่รักกันเลย ทั้งคู่ได้มอบของแทนใจอันล้ำค่าที่สุดของแต่ละฝ่ายให้กัน สิ่งที่ปฐมจักรพรรดิราชวงศ์ก่อนทรงมอบให้คือนโยบายแผ่นดิน ส่วนองค์หญิงเผ่าภูตผีมอบนิทานสุภาษิตเหมืองทองคำให้ปฐมจักรพรรดิราชวงศ์ก่อน ราษฎรได้ยินว่าเป็นทองคำก็มีการเคลื่อนไหว ไหนเลยจะรู้ว่าเหมืองทองคำนั้นเป็นแค่เรื่องโกหกหลอกลวง คำทำนายต่างหากที่เป็นเรื่องจริง สิ่งที่คำทำนายบอกไว้ไม่ใช่เหมืองทองคำ แต่เป็น ‘ภาพความลับแห่งสวรรค์’ ต่างหาก” อิงชินอ๋องกล่าว 

 

 

           “เป็นภาพความลับแห่งสวรรค์ที่ซ่อนไว้ในคัมภีร์หฤทัยสูตรของพระอาจารย์หุยเจวี๋ยหรือ” เซี่ยฟางหวามึนงงไปเล็กน้อย 

 

 

           “ถูกต้อง” อิงชินอ๋องผงกศีรษะ “ต่อมาระหว่างองค์หญิงเผ่าภูตผีเดินทางกลับก็เสียชีวิตลงอย่างไม่ทราบสาเหตุ นโยบายแผ่นดินภาษาสันสกฤตผีกับเหมืองทองคำทำนายจึงไม่รู้ว่าหล่นหายไปที่ใด” 

 

 

           เซี่ยฟางหวาเม้มปาก 

 

 

           “กระทั่งหนานฉินก่อตั้งราชวงศ์ ตระกูลเซี่ยให้กำเนิดอัจฉริยะบุรุษ พระอาจารย์หุยเจวี๋ยเป็นที่จับตามองของทุกคน” อิงชินอ๋องเล่าต่อ “ต่อมาไม่รู้ว่าเกิดขึ้นได้อย่างไร แต่นโยบายแผ่นดินราชวงศ์ก่อนกับอักษรสันสกฤตผีตกอยู่ในมือเขา ของล้ำค่าเช่นนี้ย่อมเขย่าขวัญราชสำนักหนานฉินกับราชสำนักเป่ยฉี กระทั่งเกิดเหตุเพลิงไหม้ที่วัดฝ่าฝอซื่อ พระอาจารย์หุยเจวี๋ยมรณภาพลงฉับพลัน ของล้ำค่าสองสิ่งนี้ลือกันว่าหายเข้ากลีบเมฆไปพร้อมกับเขาด้วย” 

 

 

           “แต่ราชสำนักทั้งสองดินแดนไม่ได้ไร้เดียงสาเหมือนอย่างราษฎร ต่างคิดว่าทั้งสองสิ่งอยู่ที่ตระกูลเซี่ย ถึงอย่างไรพระอาจารย์หุยเจวี๋ยก็เป็นคนตระกูลเซี่ย” เซี่ยฟางหวาสมทบ 

 

 

           “มีการคาดการณ์เช่นนี้” อิงชินอ๋องพยักหน้า 

 

 

           “ดังนั้นราชสำนักหนานฉินจึงระแวดระวังตระกูลเซี่ยตลอดมา ทั้งๆ ที่ทราบดีว่าตระกูลเซี่ยจงรักภักดีต่อบ้านเมือง ทว่ายังคิดหาทางกำจัดทิ้ง นอกจากตระกูลเซี่ยเจริญรุ่งเรืองและมีลูกหลานมากพรสวรรค์มากมายแล้ว ยังมีสิ่งหนึ่งคือนโยบายแผ่นดินภาษาสันสกฤตผีกับภาพความลับแห่งสวรรค์” เซี่ยฟางหวากล่าว “นอกจากภาพความลับแห่งสวรรค์ที่ซ่อนไว้ในคัมภีร์หฤทัยสูตรของพระอาจารย์หุยเจวี๋ยแล้ว ความจริงนโยบายแผ่นดินก็ไม่เห็นว่าจะเป็นนโยบายแผ่นดินที่แท้จริงตรงไหน” 

 

 

           “เจ้ายังรู้อะไรมาอีก” อิงชินอ๋องมองเซี่ยฟางหวาด้วยความมึนงง 

 

 

           “ข้าไม่ทราบ เพียงคิดว่าก็แค่นโยบายแผ่นดินราชวงศ์ก่อนเท่านั้น ไม่ควรถึงกับต้องดึงดูดความขัดแย้งจากหลายฝ่าย ในนั้นต้องมีความลับเป็นแน่ โดยเฉพาะนโยบายราชวงศ์ก่อนที่เขียนด้วยอักษรสันสกฤตผี” เซี่ยฟางหวาส่ายหน้า  

 

 

           “อาจจะกระมัง” อิงชินอ๋องพยักหน้า “ตอนนั้นเพื่อนโยบายแผ่นดินราชวงศ์ก่อนกับภาพความลับแห่งสวรรค์ ปรมาจารย์จากภูเขาลับทั้งสามลูกก็มีการเคลื่อนไหว สุดท้ายเมื่อเกิดเพลิงไหม้ใหญ่ที่วัดฝ่าฝอซื่อ ปรมาจารย์จากภูเขาลับทั้งสามลูกก็ไม่รอดชีวิตกลับมาสักราย ตายไปพร้อมกับพระอาจารย์หุยเจวี๋ยทั้งหมด” 

 

 

           “มีเหตุการณ์เช่นนี้ด้วยหรือ” เซี่ยฟางหวาตกใจ 

 

 

           “นี่เป็นความลับทางราชสำนักของราชวงศ์ปัจจุบัน ข้าเคยได้ยินอดีตฮ่องเต้กับเสด็จแม่เอ่ยถึงเลือนราง” อิงชินอ๋องถอนหายใจออกมา  

 

 

           “หวาเอ๋อร์บอกว่าตำราเคล็ดวิชาในมือนางนั้น ส่วนหนึ่งมาจากเขาไร้นาม ส่วนหนึ่งมาจากหอเก็บตำราในราชสำนัก ส่วนหนึ่งมาจากจวนจงหย่งโหว หรือว่าทั้งสามส่วนนี้มีที่มาความลับบางอย่าง” เวลานี้พระชายาอิงชินอ๋องก็เอ่ยขึ้น  

 

 

           “น่าจะมีความเกี่ยวข้องกัน บางทีสิ่งที่บันทึกไว้ในนโยบายแผ่นดินคือเคล็ดวิชาต้นฉบับก็ไม่อาจล่วงรู้ได้” อิงชินอ๋องส่ายหน้า กล่าวอย่างคลุมเครือ  

 

 

           “หวาเอ๋อร์ เจ้าจำตำราเคล็ดวิชาได้ขึ้นใจแล้วจริงหรือ” พระชายาอิงชินอ๋องหันมาถามเซี่ยฟางหวา  

 

 

           “ไม่ใช่แค่ตำราเคล็ดวิชาเท่านั้นที่ข้าจำได้ขึ้นใจ แต่คัมภีร์หฤทัยสูตรที่พระอาจารย์หุยเจวี๋ยคัดลอกไว้ข้าก็ได้อ่านมาแล้วเช่นกัน หลังอ่านจบก็เผาทิ้งไปในเปลวเพลิงแล้ว” เซี่ยฟางหวาพยักหน้า  

 

 

           อิงชินอ๋องกับพระชายาได้ยินเช่นนั้นก็ตกใจ 

 

 

           “เป็นความจริง” เซี่ยฟางหวาย้ำ “คืนวันสิ้นปี ข้าเคยไปวัดฝ่าฝอซื่อมาก่อน ขณะที่ฝ่าบาททรงส่งคนไปนำคัมภีร์หฤทัยสูตรกลับมา ข้าก็แย่งมันมาได้เสียก่อน” หยุดชั่วครู่แล้วกล่าวต่อ “คนที่ไปกับข้าด้วยคือหลี่มู่ชิง เขาเห็นกับตาว่าข้าทำลายมันไปแล้ว เป็นพยานได้” 

 

 

           อิงชินอ๋องกับพระชายาทอดถอนใจขึ้นมา หันไปมองฉินเจิง 

 

 

           “ทำลายไปก็ดีแล้ว ของทำร้ายผู้อื่นแบบนั้น เก็บไว้ก็มีแต่จะสร้างหายนะเปล่าๆ” ฉินเจิงมีสีหน้าไม่เปลี่ยนแปลง เฉยเมยดังเดิม  

 

 

           อิงชินอ๋องกับพระชายามองหน้ากัน ไม่เอ่ยคำใด 

 

 

           “ท่านพ่อหมายความว่า ไม่ใช่แค่สามปรมาจารย์เขาไร้นามเท่านั้น ยังมีภูเขาลับอีกสองลูกที่ต้องการของสองสิ่งนี้ตลอดมา ยามนี้พอทราบว่าของสองสิ่งอยู่ในมือข้า ต้องทุ่มเทสุดความสามารถเพื่อให้ได้มันเป็นแน่ ทว่าถ้าพวกเขาได้มันไปแล้วจะทำสิ่งใด ต้องการราชสำนักหนานฉิน หรือมีแผนการของตัวเองอยู่แล้ว พวกเขาในตอนนี้ยังจงรักภักดีต่อราชสำนักหนานฉินหรือไม่” เซี่ยฟางหวาเงียบลงพักหนึ่งก่อนกล่าวกับอิงชินอ๋อง  

 

 

           “ช่วงนี้ข้าไม่ได้เข้าวังไปพบฝ่าบาท ไม่รู้ว่าฝ่าบาททรงทราบเรื่องนี้หรือยัง ยังควบคุมสายลับจากภูเขาลับได้หรือไม่…” อิงชินอ๋องส่ายหน้า มองไปยังฉินเจิง “วันนี้เจ้าได้พบฝ่าบาท มองออกหรือไม่ว่าฝ่าบาททรงมีความคิดเช่นไร” 

 

 

           “ตั้งแต่เขาไร้นามถูกทำลายลงก็ไม่มีข่าวคราวจากภูเขาลับสองลูกอีกเลย” ฉินเจิงตอบเสียงเรียบ “พอฉินอวี้กลับจากขุดลอกคูคลอง พระองค์ทรงเตรียมจะสละบัลลังก์”