บทที่ 709 สะเทือนเลือนลั่น

บัลลังก์พญาหงส์

ทุกคนคล้ายถูกถาวจวินหลันสะกดเอาไว้ แต่ก็ยังกังวลอยู่ดี “แม้พวกเราเข้าวังมาหลบภัย แต่ครอบครัวก็ยังอยู่ข้างนอก ถ้าพวกเขาเป็นอะไรไป…”

 

 

“ทำไมถึงกังวลเรื่องเช่นนี้เล่า?” ถาวจวินหลันมองไปยังฮูหยินคนนั้น “ข้าจำได้ว่าเจ้าเป็นฮูหยินของฉีซือฉง สามีของเจ้าดูแลคลังอุปโภคในกองทัพ เป็นขุนนางฝ่ายบุ๋น ไม่ได้เข้าสนามรบต่อสู้ด้วยตนเอง มิต้องออกหน้าด้วยซ้ำ ทำไมเจ้าถึงได้พูดเช่นนี้เล่า?”

 

 

ฮูหยินของฉีซือฉงตะลึงไป อาจเพราะคิดไม่ถึงว่าถาวจวินหลันจะจำนางได้ พอได้สติกลับมาก็รู้สึกประหม่าอีกครั้ง สิ่งที่ถาวจวินหลันพูดถือว่าเป็นความจริง

 

 

ถาวซินหลันยิ่งไม่กลัวว่าจะล่วงเกินใคร “ใช่แล้ว เช่นนั้นฉีฮูหยินยังต้องกังวลอะไร? หรือจะบอกว่าใต้เท้าฉีทำการใหญ่อะไรที่ฉีฮูหยินต้องกังวลอย่างนั้นหรือ?”

 

 

แม้จะไม่ได้พูดอย่างโจ่งแจ้ง แต่ก็ทำให้คนเข้าใจได้ทันทีว่าถาวซินหลันกำลังพูดกระทบอะไร นี่กำลังกล่าวกระทบว่าใต้เท้าฉีไม่ใช่คนฝ่ายเดียวกับหลี่เย่ หรือจะบอกว่าตัดสินใจหักหลังหลี่เย่ ดังนั้นถึงได้นั่งไม่ติดที่

 

 

ทุกคนพลันทอดสายตามองไปทางฉีฮูหยิน

 

 

ฉีฮูหยินรีบเอ่ยอธิบาย “ดูพูดเข้า นายท่านตระกูลข้าจะทำอะไรได้? ข้าก็เพียงกลัวทหารกบฏเท่านั้นเอง!”

 

 

“อย่ากังวลไปเลย” องค์หญิงเก้าพูดต่อ ปั้นหน้านิ่งพูดด้วยน้ำเสียงจริงจัง “องค์รัชทายาทเป็นว่าที่ผู้นำคนต่อไป เขาต้องปกป้องขุนนางและราษฎรได้เป็นแน่ ทหารกบฏอย่างไรก็เป็นได้แค่ทหารกบฏเท่านั้น จะทำเรื่องอะไรได้?”

 

 

คำพูดนี้พูดออกมาอย่างมีทักษะ ทั้งเป็นการแสดงสถานะที่แท้จริงของหลี่เย่ แล้วยังเป็นการเตือนทุกคนว่ามีเพียงการจงรักภักดีซื่อสัตย์ต่อหลี่เย่เท่านั้นถึงจะมีชีวิตที่ดี แต่หากติดตามคนกบฏก็เตรียมรับชะตากรรมเลวร้ายได้เลย

 

 

ถาวจวินหลันกวาดตามองรอบห้อง ถามด้วยความเคารพแต่ก็แฝงไว้ด้วยความหยิ่งทะนง “พวกเจ้ามีอะไรจะพูดอีกหรือไม่?”

 

 

หลังจากผ่านเหตุการณ์เมื่อครู่นี้มา ทุกคนก็ไม่มีความเห็นอะไรแล้ว จึงพากันส่ายหัวปฏิเสธ

 

 

ถาวจวินหลันพยักหน้าอย่างพอใจ “ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ฮูหยินทุกคนก็อดทนรอเถิด วางใจเถิด ในวังปลอดภัยดี”

 

 

ขณะที่ถาวจวินหลันกำลังเกลี้ยกล่อมให้สมาชิกสตรีทุกคนสงบนั้น ทางด้านหลี่เย่กลับกำลังโดนไล่เอาความ

 

 

ขุนนางใหญ่เหล่านั้นยกตัวอย่างฮ่องเต้พระองค์ก่อน รวมถึงเกาจงฮ่องเต้มาพูด หรือก็คือท่านปู่ของหลี่เย่ บอกว่าหลี่เย่ไม่เหมาะสมกับตำแหน่งกษัตริย์ ทั้งยังถูกสงสัยว่าไร้ความสามารถและเลือดเย็น

 

 

พอถูกสงสัยเช่นนี้ หลี่เย่เพียงแค่ตอกกลับไปด้วยคำพูดเดียว “ถ้าทุกท่านจงรักภักดีซื่อสัตย์จริง ก็ตามข้าไปปราบกลุ่มกบฏด้วยกันเป็นอย่างไร?”

 

 

สิ้นเสียง ก็มีคนไม่น้อยปิดปากแน่น แต่ก็มีคนไม่น้อยที่รับคำ แน่นอนว่าในเมื่ออีกฝ่ายเป็นเช่นนี้แล้ว หลี่เย่ก็ไม่เกรงใจ มอบคนให้องค์ชายเจ็ดไปโดยตรง

 

 

องค์ชายเจ็ดย่อมไม่เกรงใจ ไม่ว่าอีกฝ่ายจะเป็นใคร ขอแค่หลี่เย่มอบให้เขา เขาก็จะใช้ให้เกิดประโยชน์สูงสุด แม้ว่าจะไม่กล้าให้ขุนนางบุ๋นไปถือดาบถือหอก แต่ก็ให้ไปปลอบประโลมราษฎร ประเมินความเสียหาย หน้าที่เช่นนี้ใช่ว่าจะเป็นเรื่องดี ไม่เพียงยุ่งเหยิง แต่ยังต้องวิ่งเหนื่อยจนสายตัวแทบขาด ไม่ว่าใครก็ลำบากทั้งนั้น

 

 

แน่นอนว่าหลี่เย่ก็ไม่ได้ว่าง เขานำทหารไปหน้าทัพ สวมใส่เกราะของเขา ก่อนขี่ม้าขาวพุ่งออกจากประตูไป

 

 

ก่อนที่จะออกจากประตูวัง หลี่เย่จัดการเรื่องทุกอย่างไว้หมดแล้ว

 

 

ไม่มีคนหาจิ้งเฟยพบ ถาวจวินหลันส่งคนไปหาก็ไม่พบ คนที่หลี่เย่ส่งไปก็หาไม่เจอเช่นกัน จิ้งเฟยเหมือนกับหายตัวไปได้ก็มิปาน หายไปอย่างไร้ร่องรอยภายในวังหลวงอันยิ่งใหญ่แห่งนี้

 

 

แบบนี้หมายความว่าอย่างไร? ถาวจวินหลันขมวดคิ้ว ในใจอดกังวลไม่ได้ จิ้งเฟยหายไป นี่หมายความว่าเรื่องคืนนี้มีการวางแผนไว้ล่วงหน้านานแล้ว

 

 

ถาวจวินหลันรีบส่งคนไปเตือนหลี่เย่ จากนั้นถึงได้รู้ว่าหลี่เย่ไม่อยู่ในวังหลวงแล้ว แต่พาคนออกไปกำราบความวุ่นวายนอกวัง

 

 

พอได้รู้ข่าวนี้ถาวจวินหลันก็ตกใจมาก แม้หลี่เย่เคยไปสนามรบมาก่อน แต่ก็ไม่เคยได้เข้าสู่สนามรบอย่างจริงจัง ตอนนี้ต้องไปกำราบฆ่าฟันศัตรูจะเป็นไปได้อย่างไรกัน?

 

 

แต่หลี่เย่ออกจากวังไปแล้ว นางก็ไม่อาจให้คนไปเรียกเขากลับมา ทำได้เพียงเป็นห่วงและสวดภาวนาอยู่ในใจเท่านั้น ทั้งยังแสดงความกังวลเหล่านี้ออกมาไม่ได้ นางยังต้องนั่งนิ่งเป็นสง่าอยู่ตรงนั้น เพื่อให้สตรีเหล่านั้นวางใจ

 

 

เพ่ยหยางโหวฮูหยินก็ถูกส่งเข้ามาโดยเร็ว ทั้งยังพาเด็กๆ ในจวนมาด้วย แต่ลูกสะใภ้ของนางกลับไม่ได้มาด้วย ทว่าคอยนั่งสั่งการอยู่ที่เรือน

 

 

แต่เพียงแค่พาเด็กทั้งหมดมา ก็อธิบายการตัดสินใจของจวนเพ่ยหยางโหวได้แล้ว ว่าพวกเขาลงเรือลำเดียวกับหลี่เย่

 

 

ถาวจวินหลันพอใจยิ่ง อีกทั้งยังรู้สึกซาบซึ้ง ตอนนี้จวนเพ่ยหยางโหวทำเช่นนี้ ถือเป็นตัวอย่างที่น่าชื่นชมอย่างไม่ต้องสงสัย

 

 

ทุกคนรู้ดีว่าจวนเพ่ยหยางโหวทำเช่นนี้เป็นการเข้าฝ่ายกับหลี่เย่อย่างเต็มตัว หากหลี่เย่ผ่านพ้นอันตรายครั้งนี้ จนขึ้นครองราชย์ได้อย่างราบรื่น เช่นนั้นอนาคตของจวนเพ่ยหยางโหวก็คงมีแต่ดีขึ้นไม่สิ้นสุด อย่างน้อยก็ไม่ต้องกังวลเรื่องเป็นตายแล้ว เพียงลูกหลานมีใจซื่อสัตย์ ก็ยิ่งไม่ต้องกังวลว่าตระกูลจะล่มสลายไปเลย

 

 

จวนเพ่ยหยางโหวสร้างเสริมหน้าตาให้หลี่เย่ ถาวจวินหลันย่อมต้องตอบสนองน้ำใจ นางยิ้มพลางกวักมือเรียก ก่อนพูดว่า “ท่านแม่อายุมากแล้ว ให้มานั่งพิงตั่งนิ่มเถิด หลับตาพักผ่อนเสียหน่อยก็ดีเจ้าค่ะ”

 

 

เพ่ยหยางโหวฮูหยินรีบพูดอย่างเคารพยำเกรง “ฐานะต่างกัน ตัวหม่อมฉันไม่กล้าให้พระชายาเรียกว่าท่านแม่แล้ว อีกอย่างตอนแรกก็เพราะมีผลประโยชน์ ตัวหม่อมฉันไม่กล้าเอาเปรียบพระชายาหรอกเพคะ” เห็นชัดว่านี่เป็นการแสดงความซื่อสัตย์ พวกเราไม่กล้าอาศัยความสัมพันธ์เพียงน้อยนิดนั่นมาเลื่อนขั้นตีสนิท และยิ่งไม่กล้ามาเรียกร้องเอาผลงานเพราะเหตุนี้

 

 

แน่นอนว่านี่ก็เป็นการทอดสะพานให้กับถาวจวินหลัน อย่างไรตอนนี้ถาวจวินหลันก็เป็นชายารัชทายาทแล้ว และกำลังจะเป็นฮองเฮามารดาของแผ่นดินแล้ว บางทีถาวจวินหลันอาจจะไม่อยากพูดถึงเรื่องในวันวานอีก เช่นนั้นพวกเขาแสดงท่าทีให้เห็นก่อน ตอนที่ถาวจวินหลันทำจริงจะได้สมเหตุสมผล

 

 

แต่ถาวจวินหลันไม่ได้คิดเช่นนี้เลยแม้แต่น้อย อดีตจะเป็นอย่างไรไม่สำคัญ ไม่ว่านางเคยเป็นชายารองแล้วอย่างไร แต่ขึ้นเป็นฮองเฮาได้แล้วมิใช่หรือ? อดีตเคยเป็นนางกำนัลแล้วจะทำไม? ความต่ำต้อยในตอนแรกไม่ได้ส่งผลถึงเกียรติยศและความสูงส่งในตอนนี้!

 

 

ดังนั้นถาวจวินหลันถึงได้หัวเราะออกมา “ทำไมท่านแม่พูดเช่นนี้เล่า? ในเมื่อข้านับถือท่านเป็นแม่บุญธรรม เรื่องนี้ย่อมไม่เปลี่ยนแปลง ตอนนี้จะมาปฏิเสธเรื่องนี้เพียงเพราะฐานะของข้าเปลี่ยนไปได้อย่างไร?”

 

 

คำพูดของถาวจวินหลันทำให้เพ่ยหยางโหวฮูหยินทรุดเข่าลงไป ร่ำไห้พูดว่า “พระชายาปฏิบัติต่อหญิงแก่เช่นข้าอย่างนี้ นับว่าให้ความสำคัญกับความสัมพันธ์และศักดิ์ศรี พระองค์สามารถขึ้นครองบัลลังก์ได้ ก็ถือเป็นลิขิตสวรรค์เช่นกันเพคะ! พระองค์เป็นเช่นนี้หากไม่อาจเป็นพญาหงส์ได้จริง เช่นนั้นสวรรค์คงมีตาหามีแววไม่เพคะ!”

 

 

คำพูดเชยชมชัดเจนเกินไป กลับทำให้นางประหม่าเล็กน้อย ต่อให้นางเคยเจอสถานการณ์เช่นนี้มาไม่น้อย ได้ยินคำพูดเช่นนี้มามาก แต่ก็ยังอดหน้าแดงระเรื่อไม่ได้ นางถึงได้ไอปกปิดความประหม่า “ซินหลัน รีบประคองท่านแม่ขึ้นมา”

 

 

ถาวซินหลันรีบก้าวไปประคองเพ่ยหยางโหวฮูหยินขึ้นมา แล้วก็แย้มยิ้มพูดว่า “คำพูดของฮูหยินดีนักเจ้าค่ะ ท่านพี่ของข้าเป็นเช่นนี้หากยังไม่อาจเป็นพญาหงส์ได้ แล้วยังจะมีใครมีคุณสมบัติพร้อมอีกเจ้าคะ? ท่านพี่กับพี่เขยของข้าเป็นคนบุญหนักศักดิ์ใหญ่ ไฉนเลยบรรดาขุนนางกบฏเหล่านั้นจะเทียบได้เจ้าคะ?!”

 

 

คำพูดนี้ถือเป็นการชมเชยยกย่องถาวจวินหลันอีกครั้ง แต่ก็เป็นการดูถูกเหยียดหยามจวงอ๋องที่ก่อกบฏกดดันวังหลวงเช่นกัน

 

 

ครั้งนี้ทุกคนล้วนส่งเสียงเอ่ยเห็นด้วย ต่างกับความเงียบสงัดก่อนหน้านี้

 

 

ถาวจวินหลันเห็นเช่นนี้ก็สบายใจขึ้นมาก เท่านี้ก็ถือเป็นการอธิบายความคิดของทุกคนแล้ว บางทีตอนแรกคนเหล่านี้อาจจะมีเพทุบายอยู่บ้าง แต่ตอนนี้หรือคิดว่าคงเก็บความคิดเหล่านั้นไปแล้ว

 

 

จุดประสงค์ที่รับคนเข้าวังหลวงมาถือว่าบรรลุแล้ว คิดว่าทางหลี่เย่ก็คงได้รับความช่วยเหลือไม่น้อยเช่นกัน

 

 

ความกังวลในใจนางจึงหายไปบางส่วน

 

 

ตกดึกวันนี้ถาวจวินหลันกับคนอื่นๆ แทบจะนั่งอยู่เฉยๆ กันทั้งคืน บางทีอาจเพราะบรรยากาศอึมครึมเกินไป ดังนั้นแม้แต่บรรดาเด็กๆ ก็เรียบร้อยเชื่อฟังไม่กล้าเสียงดัง เด็กที่อายุเยอะหน่อยนอนไม่ค่อยหลับ สีหน้าหวาดกลัวซุกตัวอยู่กับแม่ของตนเอง ส่วนเด็กตัวน้อยก็หลับไปในอ้อมอก หลังจากถาวจวินหลันกวาดสายตามองเด็กๆ เหล่านี้แล้ว ในหัวก็พาลคิดไปเรื่อย นางอาจจะหาเพื่อนร่วมเรียนของซวนเอ๋อร์กับเซิ่นเอ๋อร์ได้จากเด็กพวกนี้ ปีหน้าซวนเอ๋อร์ก็จะเริ่มเรียนหนังสือแล้ว ถึงเวลานั้นจะต้องเลือกดีๆ มีชาติตระกูลสูงมาสักคน

 

 

สำหรับเซิ่นเอ๋อร์แม้จะบอกว่าไม่ต้องเลือกตระกูลมากเกินไป แต่ก็ต้องดูอุปนิสัยให้ดี

 

 

แต่เซิ่นเอ๋อร์ยังต้องใช้เวลาอีกนานถึงจะได้เลือกคน ดังนั้นคนที่ถาวจวินหลันคำนึงก่อนก็ยังเป็นซวนเอ๋อร์

 

 

พอมีเรื่องให้นั่งคิด การนั่งรอเวลาให้ผ่านไปก็ไม่ทรมานเกินไปนัก แต่ถาวจวินหลันเองก็ยังนึกแปลกใจ จนถึงตอนนี้แล้ว นางยังมีกะใจมาคิดมากเรื่องนี้อีก บางทีนี่คงเป็นเพราะนางเชื่อใจหลี่เย่ แม้เรื่องวันนี้เสี่ยงอันตรายมาก แต่นางก็รู้สึกลึกๆ ในใจ ว่าหลี่เย่จะต้องผ่านพ้นไปได้ วันเวลาที่โบกลาความมืดต้อนรับแสงสว่างใกล้มาถึงแล้ว

 

 

ถาวจวินหลันไม่รีบร้อนแม้แต่น้อย

 

 

สุดท้ายนางก็ไปถูกใจเด็กคนหนึ่งของจวนเพ่ยหยางโหวเข้า นางยิ้มพลางพูดออกมาเป็นนัย “เด็กคนนี้ไม่เลว หลังจากนี้ให้เขามาเรียนหนังสือกับซวนเอ๋อร์ได้”

 

 

เพ่ยหยางโหวฮูหยินได้ยินก็แย้มยิ้มราวดอกไม้บาน

 

 

ทุกคนคิดไปต่างๆ ตระกูลที่มีเด็กวัยไล่เลี่ยกันก็เริ่มคิดขึ้นมาบ้างแล้ว เรื่องในอนาคตมีใครคาดเดาได้บ้าง? หากแสดงท่าทีให้ดีก็คง…อีกอย่างยังมีหมิงจู แล้วยังมีในท้องของถาวจวินหลันอีกคน

 

 

ทั้งนี้ทุกคนกลับละเลยเซิ่นเอ๋อร์ไปอย่างเป็นที่รู้กัน แม้เด็กคนนั้นเป็นลูกชายของหลี่เย่ แต่ไม่ได้เป็นลูกแท้ๆ ของถาววินหลัน ในอนาคตก็เป็นได้แค่ตำแหน่งท่านอ๋องเท่านั้น ไม่ได้ขึ้นตำแหน่งสูงมากแน่นอน