บทที่ 708 หวาดกลัว

บัลลังก์พญาหงส์

ถาวจวินหลันเคร่งเครียดเล็กน้อย จากนั้นนางก็อดถามไม่ได้ว่า “พวกเรามีสิทธิ์ชนะสูงหรือไม่เพคะ?”

 

 

“ก็ต้องดูว่าพวกเราจะต้านไว้ได้หรือไม่” หลี่เย่มีท่าทีเคร่งขรึม “อย่างช้าที่สุดพรุ่งนี้ตอนฟ้าสว่าง ทหารป้องกันเมืองที่อยู่นอกเมืองหลวงจะจับสังเกตความผิดปกติได้ ถึงเวลานั้นจะต้องนำทัพมาช่วยเป็นแน่ ขอแค่ถึงตอนนั้นด้านในด้านนอกร่วมมือกัน พวกเราก็จะปราบกลุ่มกบฏวุ่นวายนี้ไปได้”

 

 

ถาวจวินหลันคิดว่าไม่อาจพึ่งพารอกำลังเสริมจากทหารป้องกันเมืองได้อย่างเดียว คิดไปมาก็เสนอขึ้นว่า “จะเป็นตระกูลใหญ่ทั้งหลายก็ดี ตระกูลที่มีอำนาจสูงก็ดี มีตระกูลไหนบ้างที่จะไม่มีกำลังดูแลจวนเพคะ? ตัดคนเหล่านี้ออกไปไม่พูดถึง แม้แต่บรรดาโหวเย่ ขุนนางเหล่านั้น ดึงเอากำลังช่วยเหลือมาจากภายในจวนอ๋องที่เก่าแก่เหล่านั้น เกรงว่าคงเห็นผลลัพธ์ชัดมากนะเพคะ”

 

 

เฉินฟู่กลับส่ายหน้าค้านข้อเสนอแนะนี้ “หากพวกเรากล้าทำเช่นนี้จริง เกรงว่าจบเรื่องไปแล้วบรรดาตระกูลสูงส่งเหล่านั้นจะไม่ยอมจบง่ายๆ เช่นนี้พ่ะย่ะค่ะ” เหตุผลนั้นมาเป็นรูปธรรม นี่ยังไม่ทันได้เป็นฮ่องเต้ ก็เริ่มจะปลอกลอกขุนนาง ไฉนยังจะเป็นฮ่องเต้ได้อีก?

 

 

หลี่เย่กลับพูดว่า “ถ้าถูกกดดันหนัก ไฉนยังจะคำนึงถึงอนาคตได้อีก” ความผิดพลาดครั้งเดียวก็ก่อให้เกิดภาพเหตุการณ์น่าอนาถเช่นนี้ หลังจากนี้เขาจะกล้าทำผิดได้อย่างไร? เกรงว่าชีวิตนี้คงจะต้องระมัดระวัง ไม่กล้าทำผิดพลาดแม้แต่นิดเดียว

 

 

หลี่เย่ได้สัมผัสถึงความกดดันของตำแหน่งฮ่องเต้อย่างลึกซึ้งแล้ว

 

 

ตอนเป็นท่านอ๋องยังสามารถเลือกได้ ไม่อยากเข้าร่วมก็แสร้งทำเป็นบื้อใบ้เลอะเลือน แต่เป็นฮ่องเต้ไฉนเลยจะยังเลือกได้ด้วย? ไม่อยากเข้าไปยุ่ง ก็ต้องยุ่งด้วยอยู่ดี

 

 

“แล้วซินหลันกับองค์หญิงเก้าเล่า?” ถาวจวินหลันซึมไปครู่หนึ่ง จากนั้นก็คิดถึงน้องสาวและน้องสะใภ้ของตนเองขึ้นมา ก่อนเป็นกังวลขึ้นอีกครั้ง

 

 

แม้ภายในวังยังปลอดภัย แต่สนามรบได้ย้ายไปเป็นกลางเมืองแล้ว พอเป็นเช่นนี้ตระกูลเฉินกับตระกูลถาวล้วนมีอันตราย

 

 

อีกทั้งหากนางเป็นอู่อ๋อง นางก็เลือกจะลงมือกับสถานที่เหล่านี้ก่อน จับตัวคนในตระกูลเฉินและตระกูลถาวเอาไว้ เช่นนี้เฉินฟู่กับถาวจิ้งผิงก็ยอมจำนนแล้วไม่ใช่หรืออย่างไร?

 

 

เฉินฟู่พูดเสียงเบา “ในบ้านตระกูลเฉินมีทางลับ ตอนที่กระหม่อมออกมาได้ให้พวกสตรีเข้าไปในทางเดินลับแล้วพ่ะย่ะค่ะ” ส่วนบุรุษย่อมต้องแยกไปเฝ้าระวังตามหน้าที่ของแต่ละคนให้ดี

 

 

ถาวจิ้งผิงก็มีสีหน้าสงบ “กระหม่อมให้คนหาช่องโอกาสพาองค์หญิงเก้าเข้าวังหลวงมาพ่ะย่ะค่ะ”

 

 

ถาวจวินหลันใจเต้นเบาๆ แต่แล้วก็หัวเราะออกมา ทุกคนจึงหันไปสนใจนางทันที

 

 

สมแล้วที่หลี่เย่เป็นคนเข้าใจถาวจวินหลันมากที่สุด เขาเลิกคิ้วขึ้นถามว่า “ทำไม เจ้าคิดอะไรได้อย่างนั้นหรือ?”

 

 

“เพคะ” ถาวจวินหลันพยักหน้า พูดยิ้มๆ ว่า “พวกท่านว่า หากข้าพาสตรีจากตระกูลเรืองอำนาจทุกตระกูลนอกวังหลวงเข้ามา สถานการณ์ตอนนั้นจะเป็นเช่นไรเพคะ”

 

 

หลี่เย่เลิกคิ้วสูงขึ้นไปอีก

 

 

ส่วนเฉินฟู่กับถาวจิ้งผิงก็ดวงตาเป็นประกาย

 

 

ความคิดนี้ถือเป็นความคิดที่ดี การลูบหน้าปะจมูกย่อมเหมาะมาใช้กับบรรดาตระกูลสูงส่งเรืองอำนาจเหล่านี้ ในขณะเดียวกันก็สามารถป้องกันบรรดาไม้แก่เหล่านั้นเปลี่ยนฝั่งผลิกแพลงได้ตลอด แม้แต่กำลังขององครักษ์ก็คงเพิ่มขึ้นได้บ้าง

 

 

วิธีนี้ดูเหมือนจะดี แต่ทำจริงก็ไม่ง่าย ตอนนี้ด้านนอกวุ่นวายเพียงนั้น ไม่ต้องพูดถึงพาคนเข้ามาในวังอย่างปลอดภัย พูดแค่จะส่งคนไปยังยากเลย

 

 

หลี่เย่ตกอยู่ในภวังค์นิ่งไปครู่หนึ่ง จากนั้นก็สบตากับเฉินฟู่ “บางทีวิธีนี้อาจทำได้”

 

 

เฉินฟู่ครุ่นคิดครู่หนึ่ง จากนั้นก็พยักหน้า “บางทีอาจทำได้จริงพ่ะย่ะค่ะ”

 

 

แม้แต่ถาวจิ้งผิงก็รีบยืดตัวนั่งหลังตรง พูดเสียงทุ้ม “ออกไปรับคนในพื้นที่สงบก่อนได้พ่ะย่ะค่ะ”

 

 

“เหตุผลเล่า?” หลี่เย่ถามขึ้นอีก

 

 

ถาวจวินหลันพูดว่า “ฮองเฮาประชวรหนัก หญิงมียศเข้าเฝ้าคอยดูแล หม่อมฉันจะเขียนหนังสือฉบับหนึ่ง ประทับตราของหม่อมฉัน ถ้าพวกเขากล้าบิดพลิ้ว…” นั่นถือว่าไม่เคารพทำตามหนังสือคำสั่ง หลังจากนี้เวลาจะจัดการกับคนเหล่านี้ย่อมง่ายมาก คนหนึ่งคือปัจจุบัน อีกคนคืออนาคตก็ลองดูว่าคนเหล่านี้จะเลือกอะไร

 

 

“เขียนเสริมไปด้วยว่าตอนนี้ภายในวังหลวงปลอดภัยดี ถามพวกนางว่าจะพาสมาชิกผู้หญิงอื่นในบ้านมาอีกหรือไม่” สุดท้ายถาวจวินหลันก็พูดเสริมด้วย ท่าทางเย็นชาเล็กน้อย “เมื่อเป็นเช่นนี้ก็มองจิตใจความคิดของบรรดาขุนนางใหญ่เจ้าเล่ห์ได้แล้วเพคะ”

 

 

หลี่เย่พยักหน้าเห็นด้วย “เป็นเช่นนั้นจริง”

 

 

เฉินฟู่ยังกังวลเล็กน้อย “กลัวว่าหลังจากจบเรื่องบรรดาขุนนางเหล่านี้จะพูดกันอีกพ่ะย่ะค่ะ”

 

 

ถาวจวินหลันพูดเสียงเบา “เรื่องนี้จะเอาไปติฉินก็จะพูดถึงข้าเท่านั้น ถึงเวลาองค์รัชทายาทก็คอยจัดการกวาดกองให้เรียบร้อยเท่านั้นก็พอ” ไม่ว่าชื่อเสียงของนางจะเป็นอย่างไรก็ไม่สำคัญ คนอื่นอย่างมากก็ทำได้แค่ต่อว่าลับหลังประโยคสองประโยค แต่นักบันทึกไม่มีทางจดบันทึกเรื่องของนางเป็นแน่

 

 

หลี่เย่พูดเสียงนิ่ง “ข้าทำเพราะคำนึงถึงพวกเขา ตอนนี้ในวังถือเป็นสถานที่ที่ปลอดภัยที่สุด นี่เป็นความจริงอย่างไม่ต้องสงสัย อีกทั้งยังมีคนตระกูลเฉินและตระกูลถาวนำมา พวกเขาจะกล้าพูดอะไร ข้าเองก็ไม่ใช่ลูกพลับอ่อน ยังต้องกลัวว่าพวกเขาจะบีบจับตามใจชอบอย่างนั้นหรือ?”

 

 

คำพูดนี้ดูมีความโอหังอยู่บ้าง

 

 

ถาวจวินหลันสูดหายใจเข้าลึก “หม่อมฉันจะคัดลอกราชโองการเพคะ”

 

 

พอทำเรื่องที่สมควรทำและทำได้เสร็จแล้ว ถาวจวินหลันก็กลับเข้าวังหลังไป ในตอนนี้นางไม่เหมาะสมที่จะอยู่ที่นี่ ยิ่งไม่ต้องพูดว่าวังหลังตอนนี้ต้องการคนนั่งประจำการเช่นกัน

 

 

“ถึงพึ่งพาอี้กุ้ยเฟยได้บ้าง แต่ทางด้านจิ้งเฟยเจ้าจะต้องจับตาเอาไว้หน่อย” หลี่เย่ยังคงไม่วางใจจึงได้กำชับออกมา สุดท้ายก็กดเสียงพูดว่า “คนอื่นไม่ได้สำคัญอะไร ข้าขอเพียงเจ้าและลูกๆ ปลอดภัยก็พอแล้ว”

 

 

ถาวจวินหลันเอ่ยตอบรับ ลังเลอยู่พักหนึ่งก็อดพูดไม่ได้ว่า “หม่อมฉันก็ไม่ต้องการสิ่งอื่น ขอแค่พวกท่านปลอดภัยเพคะ” เพราะเฉินฟู่และถาวจิ้งผิงอยู่ด้วย นางจึงเปิดเผยมากเกินไปไม่ได้ ทำได้แค่พูดง่ายๆ เช่นนี้

 

 

หลังออกมาจากตำหนักไท่จี๋ถาวจวินหลันก็นิ่งเงียบไม่พูดอะไรอีก

 

 

เรื่องนี้ไม่เหมือนกับเรื่องอื่น นางไม่อาจช่วยอะไรได้เลยแม้แต่น้อย สิ่งที่ทำก็มีเพียงเฝ้ารอเท่านั้น จริงๆ แล้วนางก็รู้สึกไร้กำลังอยู่บ้าง

 

 

เรื่องที่เคยพบเจอในอดีต นางสามารถยืนหยัดสู้เคียงบ่าเคียงไหล่หลี่เย่ได้ แต่ตอนนี้…ความรู้สึกไร้กำลังทำให้นางจมดิ่งลงไป

 

 

ถ้าหากทำอะไรได้บ้างก็คงดี

 

 

ถาวจวินหลันได้แต่ถอนหายใจ

 

 

ชุนฮุ่ยเอ่ยปลอบเสียงเบา “พระชายาอย่าทอดถอนใจเลยเพคะ คนอื่นได้ยินเข้าจะไม่ดี อีกอย่างพระองค์ยังมีอีกหนึ่งชีวิต คิดมากไม่ดีนะเพคะ?”

 

 

“ชุนฮุ่ย ข้ากังวลนัก” ถาวจวินหลันหัวเราะขมขื่น พลางมองชุนฮุ่ย “เจ้าคิดว่าเรื่องนี้เรามีโอกาสชนะสูงหรือไม่?”

 

 

ชุนฮุ่ยพยักหน้าอย่างไม่ลังเล “องค์รัชทายาทไม่มีทางให้เหล่ากบฏได้ใจเป็นแน่เพคะ”

 

 

ถาวจวินหลันเริ่มสงบใจได้ ก่อนนั่งพินิจพิเคราะห์ความสามารถของหลี่เย่ซ้ำไปซ้ำมา สุดท้ายตนเองก็เริ่มมั่นใจขึ้น “ใช่แล้ว พวกเราไม่แพ้แน่นอน”

 

 

พอตามหาอี้กุ้ยเฟยพบแล้ว ถาวจวินหลันก็รีบปรึกษาเรื่องนี้กับอี้กุ้ยเฟย นางไม่มีเวลาไปคิดเรื่องอื่นอีก รอจนถาวซินหลันกับองค์หญิงเก้าเข้าวังหลวงมาแล้ว นางก็ยิ่งผ่อนคลายลงกว่าเดิม

 

 

ถาวซินหลันอุ้มฉังเซิงไว้ในอ้อมอก ข้างหลังยังมีพี่สะใภ้รองของนาง และเด็กๆ ในตระกูลเฉินอีกหลายคน แต่กลับไม่เห็นเฉินฮูหยิน

 

 

ถาวจวินหลันย่อมต้องถามถึง “ทำไมแม่สามีเจ้าไม่มาด้วยกันเล่า?”

 

 

ถาวซินหลันถอนหายใจ “ท่านแม่บอกว่ามาหมดจวนไม่ได้ พวกเราเข้าวังมานางก็วางใจแล้ว นางจะอยู่เพื่อประจำการในจวนเพคะ”

 

 

สะใภ้รองตระกูลเฉินก็รีบเอ่ยขอบพระทัยถาวจวินหลัน เพื่อสร้างอำนาจให้กับถาวจวินหลัน แล้วยังเป็นการอุดปากคนอื่น

 

 

ถาวจวินหลันมองสะใภ้รองตระกูลเฉินอย่างซึ้งใจ แล้วให้อี้กุ้ยเฟยช่วยจัดการพวกนาง

 

 

“สถานการณ์ด้านนอกอันตรายมากเลยหรือ?” ถาวจวินหลันมองฉังเซิงทีหนึ่ง เห็นนางนอนหลับลึกมีความสุข ก็ลดเสียงเบาลงอย่างไม่รู้เนื้อรู้ตัว

 

 

ถาวซินหลันพยักหน้าแล้วก็ส่ายหน้าอีกครั้ง ก่อนพูดว่า “ตอนนี้ไม่น่ากังวลแล้วเพคะ แต่ในครอบครัวเล็กๆ เหล่านั้น มีหลายคนที่ต้องตายด้วยน้ำมือของทหารกบฏ ทหารกบฏเหล่านั้นไร้คุณธรรม เห็นคนแล้วเป็นต้องฆ่าทิ้ง ผู้คนจึงพากันหวาดกลัวเพคะ”

 

 

องค์หญิงเก้ากล่อมมู่เอ๋อร์ไป พลางพูดแทรกขึ้นมาเสียงเบา “ที่จริงจวนถาวก็เกือบถูกบุกทำลายแล้วเพคะ ถ้าไม่ใช่เพราะน้องเจ็ดมาได้ทันเวลา ก็ไม่รู้ว่าข้ากับมู่เอ๋อร์จะเป็นเช่นไรเพคะ น่ากลัวยิ่งนัก”

 

 

ถาวจวินหลันใจกระตุก จากนั้นถึงเอ่ยอย่างยินดี “ยังดีที่ไม่เป็นอะไร” พูดไปแล้ว ตั้งแต่องค์หญิงเก้าแต่งงานกับถาวจิ้งผิงก็ไม่เคยได้ใช้ชีวิตอย่างสงบสุขนัก

 

 

นางอดถอนหายใจอย่างนึกสงสารไม่ได้ “ลำบากเจ้าแล้ว”

 

 

องค์หญิงเก้าหัวเราะ “ไม่มีอะไรลำบากเพคะ ได้ยินว่าสถานการณ์ของพี่สะใภ้รองน่ากลัวกว่านัก”

 

 

ถาวจวินหลันก็หัวเราะเช่นกัน “ผ่านไปหมดแล้ว ไม่มีอะไรต้องพูดถึงอีก” พูดอีกก็มีแต่ทำให้คนหวาดกลัวเท่านั้น พอคิดถึงรอยเลือดสดกระเซ็นไปทั่ว นางก็รู้สึกอกสั่นขวัญแขวนขึ้นมา

 

 

ถาวซินหลันกลับถอนหายใจ “หวังว่าครั้งนี้ผ่านไปแล้วจะไม่มีอุปสรรคอีกนะเพคะ”

 

 

ถาวจวินหลันกับองค์หญิงเก้านิ่งเงียบไป

 

 

ถาวซินหลันมองถาวนวินหลันวูบหนึ่ง พลางเบี่ยงประเด็นอย่างเร็ว “ท่านพี่ยังไม่นอนอีกหรือ? ท่านรีบไปนอนเสียเถิด ข้าจะช่วยดูให้เพคะ”

 

 

องค์หญิงเก้าก็ได้สติกลับมา รีบพยักหน้า “ใช่เพคะ ข้าต้องกล่อมลูกนอนแต่หัววัน ได้นอนไปครู่หนึ่งถึงสะดุ้งตื่น ยังไม่เหนื่อยเท่าไรเพคะ ซินหลัน ถ้าเจ้าเหนื่อยก็ไปนอนเสียเถิด ตอนนี้คนยังไม่เยอะ หากคนเยอะแล้วพี่สะใภ้รองก็ไม่ได้นอนพอดี”

 

 

ถาวจวินหลันยิ้มขมขื่น “จะหลับลงได้อย่างไร?”

 

 

แต่ไม่ว่าจะนอนหลับหรือไม่ นางก็ยังถูกอี้กุ้ยเฟยและองค์หญิงเก้ากดลงบนตั่งนุ่มอยู่ดี บอกว่าต่อให้หลับตารักษาสมาธิก็ยังดี

 

 

ถาวจวินหลันเองก็รู้สึกเหนื่อยเล็กน้อย หลับตาได้ไม่นาน ความง่วงก็เข้าจู่โจม แม้ไม่ได้หลับลึก แต่ก็ยังถือว่าได้พักผ่อนบ้าง

 

 

พอคนเริ่มเยอะขึ้น ถาวจวินหลันก็ตื่นขึ้นมาเอง

 

 

คนจำนวนมากเท่านี้มารวมตัวกันอยู่ที่เดียว ย่อมไม่มีทางเงียบได้ บวกกับตอนนี้ทุกคนรู้สึกหวาดกลัว ยากที่จะเลี่ยงไม่ได้ให้แต่ละคนกระซิบพูดคุยกัน คนสองคนยังไม่เป็นไร แต่คนเยอะเสียงก็ดังขึ้น จะตื่นขึ้นเพราะหนวกหูก็ไม่ใช่เรื่องแปลก

 

 

ถาวจวินหลันให้ชุนฮุ่ยช่วยจัดการนางให้เรียบร้อย จุดประสงค์ก็เพื่อให้นางดูมีเรี่ยวแรงมากขึ้น

 

 

พอจัดการอย่างเหมาะสมแล้ว ถาวจวินหลันก็ออกไปรับมือกับผู้หญิงที่อยู่ในภวังค์ความกลัวทั้งห้อง กวาดตามองรอบด้านแล้วพูดอย่างทรงอำนาจว่า “จะกลัวอะไร? ตอนนี้ในวังหลวงปลอดภัยที่สุด!”