บทที่ 707 สถานการณ์

บัลลังก์พญาหงส์

ฮองเฮาได้ยินก็พูดไม่ออกไปครู่ใหญ่ ผ่านไปนานถึงยอมเปิดปาก แต่ก็พูดด้วยอับอายและโมโห “เจ้าทำเช่นนี้ไม่กลัวเสียผลบุญหรืออย่างไร! กล้าใช้วิธีเช่นนี้กับคนตาย หรือเจ้าไม่กลัวกรรมตามสนองอย่างนั้นหรือ?”

 

 

“หม่อมฉันต้องกลัวอะไรเพคะ?” ถาวจวินหลันแค่นหัวเราะ “หม่อมฉันจะตายก็เป็นเรื่องอีกสิบปีให้หลัง เพื่อสามีของหม่อมฉัน เพื่อลูกชายของหม่อมฉัน แม้ว่าหม่อมฉันตายตกนรกไปแล้วจะเป็นอย่างไรเพคะ? บอกว่าเสียผลบุญ เกรงว่าฮองเฮาเหนียงเหนียงจะต้องกลัวมากที่สุดนะเพคะ พระองค์ทำ เรื่องอะไรที่ไม่ทำลายผลบุญเพคะ?” สุดท้ายถาวจวินหลันก็ตอบโต้ฮองเฮาอย่างหนักด้วยความเคียดแค้น “บางทีพระองค์คงทำผิดไว้มาก องค์รัชทายาทฮุ่ยเต๋อถึงได้จากไปเร็วนะเพคะ”

 

 

ฮองเฮาโกรธจนหน้าเขียว นางแค่นหัวเราะออกมา “ถาวซื่อ เจ้าคิดว่าเจ้าเป็นใหญ่ตัดสินใจได้แล้ว หลี่เย่โปรดปรานเจ้า ตามใจเจ้าทุกเรื่อง แต่เจ้าอย่าได้ลำพองใจเกินไป”

 

 

“ทำไมหม่อมฉันถึงไม่ควรลำพองใจเพคะ?” ถาวจวินหลันยิ้มบางๆ มองฮองเฮาอย่างเวทนา “หม่อมฉันมีสามีที่รักใคร่และเข้าใจ ทั้งยังมีลูกสาว ลูกชาย ไม่นานก็จะได้ขึ้นตำแหน่งสูงเป็นถึงมารดาของแผ่นดิน เกียรติยศไม่มีที่สิ้นสุด ทำไมหม่อมฉันถึงไม่ควรลำพองใจเพคะ? ใช่แล้ว พอหม่อมฉันขึ้นเป็นฮองเฮา คงมีคนอยากช่วยหม่อมฉันสืบหาความจริงล้างมลทินให้ตระกูลถาวมากมาย ถึงตอนนั้นตระกูลหวังจะมีจุดจบเช่นไรเพคะ?”

 

 

“แต่เจ้ายังไม่ได้เป็นฮองเฮา” ฮองเฮาสูดลมหายใจเข้าลึก เห็นชัดว่าพยายามข่มความโกรธอย่างสุดความสามารถ

 

 

ถาวจวินหลันยังแย้มยิ้มเช่นเดิม “ได้เป็นแน่เพคะ” หยุดไปครู่หนึ่งก็พูดเร่งฮองเฮา “ฮองเฮาเหนียงเหนียงจะเลือกอย่างไร?”

 

 

ฮองเฮาเอ่ยปากอย่างเยียบเย็น “ข้าไม่เลือกอะไรทั้งนั้น เรื่องนี้ไม่ใช่เจ้าพูดแล้วจะทำได้ จะเอาชีวิตข้าก็ไปเรียกหลี่เย่มา”

 

 

“ไม่เป็นไรเพคะ พระองค์ไม่เลือกตอนนี้ก็ช่างเถิด เช่นนั่นหม่อมฉันจะขังพระองค์เอาไว้ ให้พระองค์ได้เห็นองค์รัชทายาทฮุ่ยเต๋อนอนตายตาไม่หลับด้วยตาพระองค์เอง” ถาวจวินหลันไม่ได้หงุดหงิด แต่คำที่พูดออกมานั้นกลับข่มขู่ฮองเฮาอยู่ร่ำไป

 

 

ฮองเฮายังคงพูดย้ำเรื่องเดิม “เจ้าจะเป็นฮองเฮาได้หรือไม่ก็ยังไม่รู้ ไว้เจ้าเป็นฮองเฮาแล้วค่อยมาคุยกับข้าก็ยังไม่สาย ถึงตอนนั้นเจ้าประทานเหล้าพิษให้ข้าก็เป็นเรื่องง่ายดายยิ่งนัก”

 

 

ฮองเฮาก็เหมือนดังคำกล่าวที่ว่า ‘ไม่เจอของจริงก็ไม่ตายใจ’ ฮองเฮามั่นใจมากว่านางขึ้นเป็นฮองเฮาไม่ได้ หรือว่าจะมีอะไรตามมาอีกอย่างนั้นหรือ? หรือต้องการลงมือกับนาง? ไม่ ไม่ถูก หรือจะเป็นหลี่เย่?

 

 

พอคิดได้เช่นนี้ถาวจวินหลันก็คิดอยากไปอยู่ข้างกายหลี่เย่โดยเร็ว นางไม่สนใจฮองเฮาอีก รีบออกคำสั่ง “จัดการจับตาดูฮองเฮาเหนียงเหนียงเอาไว้ ห้ามให้ออกไปไหน มิเช่นนั้น…ฆ่าให้ตาย”

 

 

นางพูดต่อหน้าฮองเฮาด้วยเสียงเรียบนิ่ง แล้วยังแฝงความแข็งแกร่งเอาไว้ ตีกระหน่ำดังไปที่กลางใจฮองเฮา เพื่อสร้างแรงกดดันให้ฮองเฮา

 

 

แต่ฮองเฮาชิงพูดตัดหน้าถาวจวินหลัน “วันนี้ข้าแต่งเต็มยศ ก็เพียงเป็นพยานว่าสุดท้ายแล้วใครจะช่วงชิงอำนาจปกครองแคว้นได้ ไม่สู้ให้ข้าไปพร้อมเจ้าเป็นอย่างไร? หากหลี่เย่ชนะ ข้าจะกระโดดจากกำแพงเมืองลงไป”

 

 

ฮองเฮาพูดอย่างมั่นใจ เหมือนรู้แน่นอนแล้วว่าถาวจวินหลันจะต้องคล้อยตาม จากนั้นก็รับปาก

 

 

ถาวจวินหลันครุ่นคิดจริงจัง สุดท้ายก็ส่ายหน้า “ทำไมหม่อมฉันต้องทำให้พระองค์สมหวังด้วย? ไม่ว่าสุดท้ายพระองค์จะกระโดดหรือไม่ก็มีจุดจบเดียวเท่านั้น สำหรับหม่อมฉันแล้วไม่ต่างกันเพคะ”

 

 

วิธีการรับมือกับศัตรูที่สะใจที่สุดคืออะไร? นั่นคือไม่ยอมให้ฝ่ายตรงข้ามบรรลุเป้าหมาย หากฮองเฮาอยากไปดู นางก็จะไม่ให้ฮองเฮาไปดู

 

 

สิ้นเสียง ถาวจวินหลันก็หมุนตัวเดินออกไป ไม่ได้รั้งตัวอยู่นานเลยแม้แต่น้อย นางยังสั่งให้คนที่องค์ชายเจ็ดให้ติดตามนางเฝ้าฮองเฮาไว้ครึ่งหนึ่ง แม้มีคนน้อย แต่อยู่ภายในวังหลังนั้นกลับมากพอ บรรดาข้ารับใช้ส่วนใหญ่ล้วนเป็นคนธรรมดาที่ไม่เคยจับอาวุธ แค่เห็นมีดดาบก็ขาอ่อน ยิ่งไม่ต้องพูดถึงการปฏิวัติเลย โดยเฉพาะหลังจากการรบราฆ่าฟันที่หน้าวังตวนเปิ่นแล้ว โดยเฉพาะต่อให้สู้ไม่ได้ แต่ก็ยังสามารถฆ่าฮองเฮาได้อยู่ดี

 

 

โดยสรุปแล้วครั้งนี้ฮองเฮาอย่าได้เล่นแง่อะไรอีก มิเช่นนั้นก็มีแค่ความตายรออยู่เท่านั้น

 

 

เกี้ยวของถาวจวินหลันมาถึงหน้าประตูวังก็ถูกขวางเอาไว้ เมื่อเปิดม่านออกดู ทันใดนั้นสีหน้าท่าทางของนางก็เปลี่ยนเป็นเคร่งขรึม ข้ารับใช้ที่ปกติเฝ้าประตูวังคนก่อนได้ถูกเลื่อนขั้นเป็นนายทหารสวมเกราะเงินแล้ว

 

 

อีกทั้งฝ่ายตรงข้ามยังดูเหมือนไม่รู้จักนาง แม้ว่าจะแสดงป้ายฐานะก็ไร้ประโยชน์

 

 

ถาวจวินหลันทำได้แค่ลงมาจากเกี้ยวเอง เท้าเอวยืนตรง “ข้าเป็นชายารัชทายาท ข้าขอพานางกำนัลของข้าไปด้วยคนเดียว ข้ามีเรื่องต้องปรึกษากับองค์รัชทายาท”

 

 

นายทหารนายหนึ่งที่เห็นชัดว่าเป็นคนรับผิดชอบที่นี่พิจารณาถาวจวินหลันอย่างละเอียด สุดท้ายสายตาก็ทอดมองไปที่หน้าท้องที่นูนออกมาน้อยๆ ของถาวจวินหลัน

 

 

ถาวจวินหลันเห็นอกาสมาก็เข้าใจทันที รีบปล่อยมือออก ปล่อยให้อีกฝ่ายสังเกตท้องของตนเอง ก่อนพูดว่า “เรื่องที่ข้าตั้งครรภ์คิดว่าพวกเจ้าคงรู้ดี แม้จะไม่ชัดแจ้ง แต่ข้าเป็นเพียงหญิงตั้งครรภ์ ไม่จำเป็นต้องมายุ่งวุ่นวาย หากไม่วางใจก็ส่งคนตามข้าไปได้ ไม่ว่าอย่างไรพวกข้าก็เป็นสตรีสองคน อีกคนยังตั้งครรภ์ แล้วจะไปข่มขู่อะไรใครได้อีกเล่า?”

 

 

หลังจากคุยอยู่นานเช่นนี้ ถาวจวินหลันถึงได้ถูกปล่อยไป

 

 

เฝ้าสังเกตการณ์อย่างเข้มงวดเช่นนี้ เห็นชัดว่าสถานการณ์ด้านนอกยังไม่รู้เลยว่าจะเป็นเช่นไร

 

 

ถาวจวินหลันถูกนำทางไปยังตำหนักที่ปกติฮ่องเต้ว่างานราชการ คิดว่าหลี่เย่น่าจะสั่งการนั่งประจำการอยู่ที่นั่น

 

 

ตลอดทางถาวจวินหลันเห็นบนพื้นมีรอยเลือดสีแดงคล้ำเปื้อนอยู่ไม่น้อย บางที่น้อย บางที่อิฐแทบจะถูกย้อมกลายเป็นสีนั้น

 

 

รอยเปื้อนสีแดงคล้ำเหล่านี้คือเลือดที่แข็งตัวแล้ว เห็นชัดว่าสถานที่นี้เคยเกิดการต่อสู้กันมาก่อน อีกทั้งยังมีคนตายไม่น้อย

 

 

ถาวจวินหลันแทบไม่อยากจินตนาการว่าสถานการณ์ในตอนนั้นเป็นอย่างไร และยิ่งไม่กล้าไปคิดว่าอีกแค่นิดเดียวเท่านั้นประตูวังก็เกือบถูกบุกจู่โจมเข้ามาแล้ว

 

 

หากประตูวังถูกทำลาย ผลที่ตามมาจะเป็นเช่นไรไม่ต้องพูดก็รู้ได้

 

 

ยิ่งเดินเข้าไปก็ยิ่งตกใจ ยิ่งเดินสีหน้าของถาวจวินหลันก็ยิ่งเคร่งขรึม เมื่อเดินมาถึงตำหนักไท่จี๋ นางก็ด้านชาไปแล้ว แต่ตอนเห็นสีพื้นที่ถูกย้อมไปด้วยเลือด นางก็ยังหัวใจเต้นโหมแรงขึ้นมา

 

 

ถาวจวินหลันจับมือชุนฮุ่ยไว้แน่น

 

 

ชุนฮุ่ยเบนตามองถาวจวินหลันวูบหนึ่ง กดเสียงเอ่ยปลอบประโลม “ไม่เป็นไรเพคะพระชายา ไม่มีอะไรแล้วเพคะ”

 

 

ถาวจวินหลันก็สบายใจ…ใช่แล้ว ไม่มีอะไรแล้ว

 

 

นางถึงได้ปล่อยมือชุนฮุ่ยออก พยายามทำตัวเป็นธรรมชาติและสงบนิ่ง อย่างน้อยนางจะให้หลี่เย่เห็นท่าทางหวาดกลัวและเคร่งเครียดของนางไม่ได้ มิเช่นนั้นก็รังแต่จะทำให้หลี่เย่เสียสมาธิเท่านั้นเอง

 

 

พอเดินมาถึงหน้าประตู ถาวจวินหลันพลันก็รู้สึกลังเลขึ้นมา นางจะเข้าไปจริงหรือไม่?

 

 

ลังเลอยู่ครู่หนึ่ง นางก็ตัดสินใจก้าวขาเข้าไปข้างในอย่างเด็ดเดี่ยว

 

 

หลี่เย่กับเฉินฟู่กำลังพูดคุยกัน ส่วนถาวจิ้งผิงเปื้อนเปรอะไปด้วยเลือด นั่งอยู่บนเก้าอี้ด้วยท่าทีอ่อนแรง ดวงตาทั้งสองข้างปิดสนิท

 

 

เห็นภาพเช่นนี้ถาวจวินหลันก็ตกใจ รีบเอ่ยปากถามว่า “จิ้งผิงเป็นอะไรไปหรือเพคะ?”

 

 

นางเพิ่งส่งเสียงออกไปก็ทำให้หลี่เย่ตกใจทันที “จวินหลัน! เจ้ามาได้อย่างไร?!”

 

 

พอเห็นใบหน้าเคร่งขรึมของหลี่เย่ ถาวจวินหลันก็อธิบายว่า “หม่อมฉันไม่วางใจ อยากมาดูด้วยตนเองสักครั้ง อีกครู่ก็จะกลับแล้วเพคะ”

 

 

ตอนนี้ถาวจิ้งผิงก็ลืมตาขึ้นมาแล้ว รีบเอ่ยปากอธิบายว่า “หม่อมฉันไม่เป็นอะไรพ่ะย่ะค่ะ เป็นเลือดของคนอื่นทั้งนั้น” วันนี้สถานการณ์เร่งด่วน เขาเองไม่ทันได้สนใจเรื่องอื่น ในช่วงชุลมุนก็ฆ่าตายไปสองคน ทำให้เลือดกระเซ็นมาโดนตัวเอง อีกทั้งยังเหนื่อยล้ายิ่ง ไม่เช่นนั้นเมื่อครู่คงไม่นอนเลื้อยลงอย่างนั้น

 

 

เฉินฟู่ก็พยักหน้าให้ถาวจวินหลัน “ทำความเคารพชายารัชทายาทพ่ะย่ะค่ะ”

 

 

ถาวจวินหลันได้ยินว่าถาวจิ้งผิงไม่ได้รับบาดเจ็บ ก็สบายใจขึ้นทันที จากนั้นก็มองไปทางหลี่เย่ เห็นหลี่เย่เพียงแค่เหนื่อยล้า ไม่ได้บาดเจ็บที่ตรงไหน ถึงได้รู้สึกผ่อนคลาย แล้วถึงมีกะจิตกะใจมาถามสถานการณ์ในตอนนี้ “ด้านนอกเป็นอย่างไรบ้างเพคะ?”

 

 

“จวงอ๋องใช้เหตุผลปลอมแปลงหนังสือราชโองการของฮ่องเต้องค์ก่อนมากดดัน หวังฮ่วนจื้อให้ความช่วยเหลือจวงอ๋อง ทหารกบฏเหล่านี้ล้วนเป็นกำลังคนของตระกูลหวัง และมีพรรคพวกของจวงอ๋องเองอยู่บ้าง” หลี่เย่นวดหว่างคิ้ว “เรื่องเกิดกะทันกันเกินไป พวกเขาลงมือกลางดึก เป็นเวลาที่การป้องกันทุกทางอ่อนแอมากที่สุด อีกทั้งตอนนั้นก็เป็นเวลาที่คนง่วงมากเช่นกัน”

 

 

ดังนั้นถึงได้ทำให้ถูกตีอย่างฉับพลันจนไม่ทันตั้งตัว

 

 

“ลงมือกลางดึกหรือเพคะ? หม่อมฉันคิดว่ามีสัญญาณล่วงหน้า แม้แต่สำรับเย็นพระองค์ก็ยังไม่กลับมาเสวย” ถาวจวินหลันคิ้วขมวดเข้าหากัน รู้สึกไม่พอใจเล็กน้อย นี่ไม่เหมือนกับสิ่งที่นางคาดการณ์เอาไว้

 

 

หลี่เย่หัวเราะขมขื่น “คราวนี้ติดกับแล้วจริงๆ ดันถูกตลบหลังเสียนี่ ก่อนหน้านี้พวกเราสืบพบความเคลื่อนไหวบางอย่าง จึงพุ่งเป้าไปที่อู่อ๋อง พวกเราคิดว่าอู่อ๋องกับฮองเฮาคงนั่งไม่ติดที่ แต่คิดไม่ถึงว่า…”

 

 

“เช่นนั้นหมายความว่าซูเฟยช่วยจวงอ๋องก่อเรื่องวุ่นวายในวังหลังหรือเพคะ?” ถาวจวินหลันตกใจ “ไม่ใช่ฮองเฮาหรือเพคะ?”

 

 

หลี่เย่พยักหน้า “น่าจะเป็นเช่นนั้น”

 

 

“แล้วซูเฟยเล่า?” ถาวจวินหลันแม้แต่หายใจยังรู้สึกตึงเครียด ในเมื่อซูเฟยเป็นคนก่อเรื่อง เช่นนั้นทำไมตอนที่นางไปหาฮองเฮาถึงได้ทำเช่นนั้นเล่า? ทำให้นางคิดว่าเป็นการกระทำของฮองเฮาจริง

 

 

“ยังหาซูเฟยไม่พบ” หลี่เย่ส่ายหน้า “แต่ก็ไม่เป็นไร ข้าทิ้งคนเอาไว้ทุกที่ของวังหลวง นางไม่มีทางก่อเรื่องซ้ำได้อีก”

 

 

ถาวจวินหลันส่ายหน้า “ไม่เพคะ หม่อมฉันไม่ได้กังวลเรื่องซูเฟย หม่อมฉันกังวลเรื่องฮองเฮาเพคะ”

 

 

หวังฮ่วนจื้อเป็นคนของตระกูลหวัง แต่กลับช่วยจวงอ๋อง ในนี้จะต้องมีอะไรซ่อนเร้นอยู่เป็นแน่? แท้จริงแล้วเป็นความตั้งใจของฮองเฮาและตระกูลหวัง หรือว่าเป็นความตั้งใจของหวังฮ่วนจื้อเอง?

 

 

ตามหลักการแล้วฮองเฮาไม่น่าจะร่วมมือกับจวงอ๋องไม่ใช่หรือ? การตายขององค์รัชทายาทฮุ่ยเต๋อนั่นเป็นฝีมือของจวงอ๋อง ฮองเฮาน่าจะเกลียดจวงอ๋องจนอยากฆ่าให้ตายด้วยซ้ำ ไฉนเลยต้องช่วยจวงอ๋องเล่า?

 

 

ถ้าไม่ใช่เพราะนางให้คนคอยจับตาดูฮองเฮาแล้ว ตอนนี้นางคงกังวลมากเป็นแน่

 

 

“ฮองเฮาคิดจะนั่งบนภูเขาดูเสือกัดกัน” หลี่เย่พูดสิ่งที่ตนเองวิเคราะห์ จากนั้นก็ส่ายหน้า “แต่ตอนนี้ไม่สนใจแผนการของฮองเฮาแล้ว จวงอ๋องและหวังฮ่วนจื้อร่วมมือกันถือว่ายากจะรับมือ ยิ่งไม่ต้องพูดถึงอู่อ๋องที่รอเวลาจะลงมืออีก” เขาไม่เชื่อว่าถึงเวลาที่สามารถลงมือได้ อู่อ๋องจะยอมอยู่นิ่ง ตำแหน่งนั้นมีใครไม่อยากได้บ้าง?