ฤดูร้อนในปีนั้นไม่เกิดอุทกภัย แม้ฝนจะตกลงมาอย่างหนักก็ตาม เพราะในช่วงคลาดแคลนอาหารเมื่อฤดูใบไม้ผลิ ฮอนได้ว่าจ้างราษฎรด้วยธัญพืชให้พวกเขาไปถมคันตลิ่งให้แข็งแรงที่แม่น้ำ ต้นธัญพืชที่ได้รับน้ำฝนอย่างเต็มที่แปรเปลี่ยนเป็นสีเขียวอ่อนและต้นก็ค่อยๆ โน้มลง ในวันที่อากาศดีที่สุดจากทุกวัน มินอาพับแขนเสื้อขึ้นและกำลังตกแต่งสวนดอกไม้ด้วยกันกับนายหญิงตระกูลจอง แต่แล้วจู่ๆ นางก็ขมวดคิ้วและกุมท้อง 

 

 

“เจ็บท้องอีกแล้วหรือ ไปนั่งตรงนู้นกันเถอะ” 

 

 

ยังเหลือเวลาอีกตั้งหนึ่งเดือนกว่าจะถึงกำหนดคลอด ดังนั้นจึงน่าจะเป็นเพราะลูกถีบหรือไม่ก็น่าจะยืนนานเกินไปหน่อยก็เลยเจ็บท้อง นายหญิงตระกูลจองประคองมินอาเดินไปได้ก้าวประมาณห้าหกก้าวเพื่อไปยังเรือนแยก โอ๊ย เสียงโอดครวญเบาๆ ดังขึ้นพร้อมกับเอวของมินอาที่เคล็ดนิดหน่อย ในตอนนั้นทั้งสองคนจึงรับรู้ได้ว่ามีบางอย่างแปลกๆ แต่ก่อนที่จะรู้ว่าสิ่งที่แปลกๆ นั้นคืออะไร ของเหลวที่ไหลไปตามต้นขาก็หยดลงบนพื้นดินเสียแล้ว 

 

 

“ทะ ท่านแม่” 

 

 

ในตอนที่ดวงตาซึ่งโตขึ้นเป็นสองเท่ากว่าปกติหันมามองนายหญิงตระกูลจอง นายหญิงตระกูลจองเองก็เห็นของเหลวนั่นเช่นกัน บ้านของท่านมหาเสนาบดีที่เคยเงียบสงบกลับกลายเป็นอลหม่านวุ่นวายและให้มินอานอนลงบนเตียงของเรือนที่อยู่ใกล้ที่สุดเพราะไม่มีเวลาไปยังห้องคลอดที่ถูกจัดเตรียมแยกไว้แล้ว จากนั้นสั่งให้ต้มน้ำ เตรียมผ้าสะอาด ไปตามหมอตำแย และเขียนยันต์ป้องกัน อาการเจ็บท้องคลอดมาหาโดยไม่มีเวลาให้นางเตรียมใจเลยสักนิด 

 

 

“หายใจเข้า หายใจออกนะมินอา ตายจริง เราจะทำอย่างไรกันดี” 

 

 

หน้าผากของมินอาผู้ซึ่งไม่ร้องสักแอะแม้จะเจ็บปวดเหมือนกระดูกจะหักเนื้อจะฉีกนั้นเต็มไปด้วยเหงื่อ เรื่องที่ทำให้นายหญิงตระกูลจองเสียความสุขุมไปได้ พอลองนับดูแล้วก็มีอยู่เพียงไม่กี่เรื่อง ซึ่งเรื่องในวันนี้ก็คือหนึ่งในเรื่องเหล่านั้น 

 

 

ยิ่งเวลาผ่านไปเท่าไหร่ แทนที่นางจะใจเย็นลงกลับร้อนรนและหน้าเหยเกมากขึ้นเรื่อยๆ เพราะอาการเจ็บท้องคลอดที่เริ่มตอนบ่ายแก่ๆ ผ่านไปได้หกเจ็ดชั่วโมงแล้ว จนแม้กระทั่งพระอาทิตย์ที่เคยลอยอยู่กลางท้องฟ้าหายไปซ่อนตัวที่หลังเขาแล้ว ทางด้านรยูฮากับฮอนที่ประทับอยู่ที่พระราชวังก็ร้อนใจไม่ต่างกัน 

 

 

“ยังไม่มีข่าวคราวมาอีกหรือ” 

 

 

แม้จะถามกี่ครั้งคำตอบก็เหมือนเดิม แม้จะรู้อยู่แล้วแต่รยูฮาก็ทำได้แค่เพียงเรียกหาซังกุงอีกครั้ง 

 

 

“นอกจากจะเป็นการคลอดครั้งแรกแล้ว น้ำคร่ำยังแตกก่อนกำหนดด้วย…น่าจะคลอดยากเพคะ” 

 

 

“แล้วหมอหลวงมัวแต่ทำอะไรอยู่!” 

 

 

นางยังคงดื้อรั้นแม้ว่าการที่คลอดยากจะไม่ใช่ความผิดของหมอหลวง แต่ยังมีหนทางอื่นอยู่อีกหรือ รยูฮาจับมือฮอนด้วยความกระวนกระวายใจ พอผ่านไปได้สักครึ่งชั่วยามสุดท้ายนางก็ลุกขึ้นจากที่ 

 

 

“หม่อมฉันต้องไปเพคะ น้ำคร่ำแตกก็น่าจะต้องคลอดได้แล้ว ทำไมถึงได้ช้าแบบนี้เล่าเพคะ” 

 

 

“ขันทีโจอยู่ข้างนอกหรือไม่” 

 

 

หากเป็นตอนปกติฮอนก็คงจะห้ามและรั้งรยูฮาไว้ แต่คราวนี้เขาเองก็เลียริมฝีปากที่แห้งผากและลุกขึ้นตาม ก่อนจะเรียกขันทีโจเช่นกัน 

 

 

“พ่ะย่ะค่ะ ฝ่าบาท” 

 

 

“เตรียมตัวแอบลอบออกไป” 

 

 

แต่ถึงพระองค์ทั้งสองจะเสด็จไปบ้านท่านมหาเสนาบดีที่กำลังยุ่งวุ่นวายเป็นอย่างมาก นั่นก็ไม่ได้เป็นการช่วยอะไรเลยอยู่ดีพ่ะย่ะค่ะ ขันทีโจไม่มีทางกล้าพูดแบบนั้นออกจากปากอย่างแน่นอน ขันทีผู้ชำนิชำนาญจึงรีบเตรียมชุดธรรมดาและเปิดประตูวัง หลังจากสั่งให้เตรียมทหารองครักษ์และม้าเรียบร้อยแล้ว พวกเขาไม่ได้เคยแอบออกไปแค่ครั้งสองครั้ง ดังนั้นฮอนกับรยูฮาจึงสามารถเดินทางไปถึงบ้านท่านมหาเสนาบดีภายในเวลาไม่ถึงครึ่งชั่วยาม แน่นอนว่าพวกเขาไม่ได้เปิดประตูใหญ่เข้าไปอย่างสง่าผ่าเผย เพราะการปีนข้ามกำแพงของเรือนแยกเร็วกว่ามาก 

 

 

“เกิดอะไรขึ้น ทำไมถึงไม่มีข่าวคราวอะไรเลย!” 

 

 

“พระมเหสี!” 

 

 

“พระมเหสี เบาเสียงหน่อยสิ เดี๋ยวมินอาก็ตกใจหรอก” 

 

 

“พระ พระราชา!” 

 

 

เหล่าคนรับใช้ที่ตื่นตระหนกตกใจเพราะการปรากฏตัวอย่างกะทันหันของรยูฮารู้สึกเหมือนจะเป็นลมเมื่อเห็นพระราชาปีนข้ามกำแพงมาก่อนที่จะตั้งสติได้ ในระหว่างที่พวกนางลุกลี้ลุกลนไม่รู้ว่าควรทำอย่างไร ท่านมหาเสนาบดีก็เข้ามาพอดีและโค้งคำนับให้ แต่เขาไม่คิดที่จะซ่อนความไม่พอใจที่ปรากฏเต็มใบหน้าไว้เลย 

 

 

“เหตุใดท่านทั้งสองที่ควรจะต้องรักษาเกียรติข้ามกำแพงของบ้านกระหม่อมมากลางดึกกลางดื่นเช่นนี้พ่ะย่ะค่ะ” 

 

 

“ข้าทำตามที่พระมเหสีบอกน่ะ” 

 

 

“ฝ่าบาทเป็นคนตรัสว่าข้ามกำแพงมาจะเร็วกว่าก่อนไม่ใช่หรือเพคะ 

 

 

“ข้าบอกว่าจะไวกว่า แต่ไม่ได้บอกให้ข้ามมาเสียหน่อย นอกจากนั้นแล้วคนที่ข้ามมาก่อนก็…” 

 

 

“โอ๊ยยย!” 

 

 

ทั้งสองคนโยนความผิดกันไปมาเพราะการตำหนิของท่านมหาเสนาบดี แต่ก่อนที่จะเกิดการทะเลาะวิวาทกันขึ้นก็มีเสียงกรีดร้องแหลมดังขึ้นแหวกอากาศยามค่ำคืนจนทำให้คำพูดต่างๆ ไม่มีความหมายอีกต่อไป เนื่องจากเป็นช่วงระหว่างการคลอด เสียงกรีดร้องจึงไม่ใช่เรื่องแปลกอะไรนัก แต่เสียงที่ดังต่อมาหลังจากนั้นนั่นแหละคือปัญหา 

 

 

“ตายแล้ว มินอา!” 

 

 

“ตั้งสติไว้พ่ะย่ะค่ะ พระชายา! ลืมตาไว้พ่ะย่ะค่ะ!” 

 

 

“ไปตักน้ำเย็นมา! ท่านหมอหลวง ทำอะไรสักอย่างสิเจ้าคะ!” 

 

 

“มินอา ไม่ได้นะ อย่าหมดสติไปก่อนนะ มินอา มินอา!” 

 

 

“ต้องออกแรงกว่านี้พ่ะย่ะค่ะ พระชายา ได้โปรด ได้โปรด” 

 

 

ถึงจะไม่รู้ขั้นตอนอะไรเลยเกี่ยวกับการคลอดลูก แต่ก็พอรู้ได้ว่าเสียงที่ดังออกมาจากข้างในไม่ใช่สถานการณ์ที่ปกติอย่างแน่นอน รยูฮาหน้าซีดคล้ายจะเป็นลมจึงพิงตัวไปที่ฮอน ท่านมหาเสนาบดีเองก็ลืมเรื่องที่กำลังตำหนิทั้งสองคนอยู่ไปหมดสิ้น และขยี้หนวดพร้อมกับกระแทกปลายเท้าลงบนพื้นดินอย่างไร้เกียรติ 

 

 

“ฝ่าบาท ไม่ได้เพคะ! เข้าไปไม่!” 

 

 

“หลบไป! นี่คือคำสั่ง!” 

 

 

คนกว่าครึ่งที่กำลังช่วยทำคลอดให้มินอาต่างทำท่าจะร้องไห้ แต่กลับมีเสียงอึกทึกครึกโครมดังขึ้นจากข้างนอก มินอาที่หายใจรวยรินและเกือบจะหมดสติรู้สึกเหมือนมีใครบางคนจับมือตัวเองแน่น ก่อนจะเจอคนที่นางคิดถึงที่สุด 

 

 

“ฝ่าบาท…?” 

 

 

“มินอา ลืมตาขึ้นสิ มินอา” 

 

 

“ฝ่าบาท” 

 

 

มินอารู้อยู่แล้วว่าชานไม่มีทางมาหาได้ แต่มุมปากของนางก็เผยรอยยิ้มออกมา 

 

 

“ข้าบอกให้ลืมตาขึ้นไง! ซอมินอา!” 

 

 

มินอาลืมตาขึ้นทันทีเหมือนกับว่าการตะโกนที่เหมือนฟ้าผ่านั้นดึงสติอันเลือนรางของนางกลับมา และในขณะเดียวกันความเจ็บปวดก็เริ่มหลั่งไหลเข้ามาอีกครั้ง จากนั้นจึงจับมือฮอนแน่นและเริ่มเบ่งลูกออกมาจากช่องคลอดแทนที่เสียงกรีดร้องน่าสงสารที่ไม่ยอมออกมาจากปาก 

 

 

“เห็นหัวแล้วพ่ะย่ะค่ะ! อีกนิดนึง! ออกแรงอีกหน่อยพ่ะย่ะค่ะ!” 

 

 

“ทำได้ดีแล้ว มินอา ทำได้ดีแล้ว” 

 

 

ดวงตาที่เหมือนกับชาน เสียงที่เหมือนกับชานให้พลังเฮือกสุดท้ายแก่มินอา ในตอนนั้นเองความเจ็บปวดก็จู่โจมไปทั่วร่างโดยไม่ทันได้ตั้งตัว 

 

 

“อุแว้! อุแว้!” 

 

 

ท้ายที่สุดสิ่งชีวิตใหม่ตัวน้อยก็เริ่มดิ้นไปมาพร้อมกับเสียงร้องทรงพลัง 

 

 

“ยินดีด้วยพ่ะย่ะค่ะ พระชายา! ทรงเป็นพระราชโอรสพ่ะย่ะค่ะ!” 

 

 

“ยินดีด้วยเพคะ พระชายา!” 

 

 

เสียงของทุกคนยกเว้นฮอนที่หมอบลงกับพื้นและตะโกนแสดงความยินดีดังขึ้นอย่างรวดเร็ว แต่น้ำหนักที่คล้ายกับสำลีซึ่งกระดุกกระดิกอยู่ในอ้อมกอดก็กำลังตะโกนว่าข้าอยู่ตรงนี้เช่นกัน มีเพียงฮอนที่อยู่ใกล้ที่สุดเท่านั้นที่ได้ยินเสียงกล่อมเบาๆ ของมินอาซึ่งเปียกชุ่มไปด้วยเหงื่อ 

 

 

“อ้า ฝ่าบาท” 

 

 

น้ำตาที่ไม่อาจรู้ได้ว่าดีใจหรือเสียใจไหลออกมาจากดวงตาของมินอาที่ยังไม่สามารถปล่อยมือฮอนได้ ดาบที่ทำมาจากเงินและนำไปลนไฟเก้ารอบเพื่อกำจัดเชื้อโรคออกถูกส่งต่อไปให้ฮอนแทนที่เดิมทีควรจะเป็นพ่อของเด็กที่ต้องทำ เขาตัดสายสะดือด้วยมือที่สั่นเทาอย่างไม่เคยเป็นมาก่อนแล้วลูบหัวมินอา จากนั้นจึงออกมาข้างนอกก่อนที่เด็กจะถูกห่อในผ้าไหมและพิงตัวกับรยูฮาคล้ายจะเป็นลม 

 

 

“มินอาก็คลอดลูกแล้ว แล้วทำไมฝ่าบาทยังทรงสั่นอยู่อีกล่ะเพคะ” 

 

 

รยูฮาว่าเช่นนั้นแต่ก็ตัวสั่นอยู่เหมือนกัน ฮอนรู้สึกตลกมากจนระเบิดหัวเราะออกมาแม้จะไม่มีสติก็ตาม แต่เสียงอันเคร่งขรึมที่ดังขึ้นจากด้านหลังทำให้ทั้งสองคนที่กำลังจู๋จี๋กันอยู่แยกออกจากกันในทันที 

 

 

“ตอนนี้เสด็จกลับวังเถิดพ่ะย่ะค่ะ ฝ่าบาท” 

 

 

“ข้าเองก็อยากเห็นหน้าหลานเหมือนกันนะเจ้าคะ ท่านพ่อ!” 

 

 

“รอให้ผ่านยี่สิบเอ็ดวันหลังคลอดไปก่อนพ่ะย่ะค่ะ ประตูใหญ่จะไม่ถูกเปิดเป็นเวลายี่สิบเอ็ดวันนับจากนี้ เพราะฉะนั้นหากเสด็จออกไปทางประตูหลังจะเป็นพระคุณอย่างล้นพ้นพ่ะย่ะค่ะ” 

 

 

ท่านพ่อที่ปกติจะรับฟังรยูฮาเสมอทำไมถึงปฏิเสธอย่างหนักแน่นขนาดนี้ แม้ลองส่งสายตาอ้อนวอนไปก็ไม่ได้ผล ฮอนจึงปลอบใจรยูฮาที่ทำหน้ามุ่ย ส่วนทหารองครักษ์ก็ขอร้องฮอนพลางบอกว่าตอนนี้ควรจะต้องรีบเสด็จกลับวังแล้ว สุดท้ายทั้งสองคนที่มารบกวนผู้อื่นก็กลับไปยังพระราชวังผ่านทางประตูเล็กที่อยู่ตรงด้านหลังของบ้าน หลังจากถูกนายหญิงตระกูลจองที่ออกมาข้างนอกพอดีบังคับให้เสด็จกลับพระราชวังไป และวันต่อมาทันทีที่ไปเข้าเฝ้า ณ วังจางชุนก็คงจะถูกพระพันปีต่อว่าอย่างแน่นอน 

 

 

 

 

 

* * *