“คิดอะไรอยู่หรือ”
แม้จะบอกว่าไม่มีอะไร แต่ฮอนก็พอรู้ว่าหมู่นี้จิตใจของรยูฮาล่องลอยไปที่อื่น หนังสือที่ชอบก็ไม่อ่านและไม่ออกไปข้างนอกเลยนอกจากแวะไปที่วังจางชุนในตอนเช้าครู่หนึ่ง ฮอนตั้งใจว่าจะรอจนกว่านางจะเป็นฝ่ายเปิดปากพูดเอง แต่สุดท้ายเขาก็วางเอกสารที่กำลังจัดการและเดินไปนั่งข้างรยูฮา
“กำลังคิดว่าจะอุ้มท้องลูกให้ฝ่าบาทได้อย่างไรเพคะ”
คำพูดที่พึมพำออกมาเหมือนไม่ใส่ใจทำให้ใจของฮอนเจ็บปวด เขาถอนหายใจอย่างแรงพลางเอามือลูบหน้า ก่อนจะนอนแผ่ลงบนเตียง
“บอกแล้วไงว่าไม่ต้องการ ข้ามีแค่เจ้าก็พอ”
“หากไม่มีองค์รัชทายาทให้ฝ่าบาท ในท้ายที่สุดคังก็คงต้องนั่งในตำแหน่งนั้นเพคะ เขาไม่ได้บอกว่าทำไม่ได้มิใช่หรือเพคะ”
อีคัง คือชื่อที่ฮอนตั้งให้ด้วยตนเองพร้อมกับขอให้เขาใช้ชีวิตอย่างมีความสุขแทนชานซึ่งหวังเพียงแค่ว่าจะมีชีวิตอยู่อย่างเงียบๆ ในฐานะองค์ชาย ตอนนี้ก็ผ่านยี่สิบเอ็ดวันหลังคลอดไปแล้ว องค์ชายจึงได้เข้าวังเป็นครั้งแรกในอ้อมกอดของมินอา แต่ถ้าหากฮอนยังดื้อแพ่งอยู่แบบนี้ไปเรื่อยๆ เขาก็คงจะต้องนั่งในตำแหน่งองค์รัชทายาทโดยไม่คำนึงถึงความตั้งใจของคังกับมินอา และชื่อที่ตั้งให้เองว่าขอให้ใช้ชีวิตอย่างมีความสุข
“รยูฮา”
“ตรัสมาเพคะ”
“หากข้าไม่ใช่องค์รัชทายาท เจ้าจะยังแต่งงานกับข้าไหม”
คำพูดที่นางพึมพำเพราะความเมาในวันที่รยูฮาทำให้ฮอนหลับและแอบส่งผู้หญิงเข้าไป นางบอกว่าเขาน่าจะเป็นแค่องค์ชาย แล้วลงไปอยู่ด้วยกันที่ชนบท
“แน่นอนสิเพคะ หม่อมฉันสัญญาไว้แล้วไม่ใช่หรือเพคะ”
“สัญญา?”
คิ้วของฮอนขมวดเข้าหากันด้วยความสงสัย สัญญางั้นหรือ สัญญาอะไรกัน ทว่าแววตาของรยูฮาที่มองดูฮอนก็เหมือนกันกับเขา ดังนั้นความสงสัยที่เขากักเก็บไว้จึงค่อยๆ เพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ
“ไหนตรัสว่าความทรงจำทั้งหมดกลับมาแล้วไม่ใช่หรือเพคะ”
“มันก็ใช่แต่สัญญางั้นหรือ ข้า? กับเจ้า รยูฮา? เมื่อไหร่กัน”
“ทรงไม่ทราบจริงๆ จึงตรัสถามใช่ไหมเพคะ”
ในตอนแรกนางก็มองฮอนด้วยสีหน้างงงวย แต่ผ่านไปสักพักก็เปลี่ยนเป็นหน้าบึ้งแทน เขาไม่รู้ว่าทำผิดอะไร แต่ทำอะไรผิดสักอย่างแน่นอน มีเพียงสิ่งเดียวที่ชัดเจนคือตัวเองได้ทำอะไรบางอย่างผิดพลาดอย่างใหญ่หลวงไปแล้ว
“ดูเหมือนว่าความทรงจำของข้าจะกลับมาไม่สมบูรณ์เต็มร้อยสินะ”
“ก่อนหน้านี้ไหนว่ากลับมาหมดแล้วไงเพคะ!”
“ก็คิดเช่นนั้นนะ แต่…พอมาถึงตอนนี้…”
“ทรงลืมเรื่องนั้นได้อย่างไรเพคะ ทรงทราบไหมเพคะว่าหม่อมฉันลำบากขนาดไหนเพราะสัญญานั่น!”
ถ้าอย่างนั้น มันคือสัญญาอะไรกัน เหงื่อเย็นๆ ไหลลงไปตามแผ่นหลังของฮอน แล้วเราจะพูดออกมาให้เกิดปัญหาทำไมนะ แม้จะเสียดายแต่มันก็สายไปแล้ว สุดท้ายรยูฮาก็หันหลังให้อย่างเย็นชา สู้ให้นางด่าว่าหรือทุบตียังดีเสียกว่า
“ข้าขอโทษ ไม่ใช่ว่าข้าเห็นสัญญาไม่สำคัญนะ แต่…”
“ช่างเถอะเพคะ ฝ่าบาทก็คงแค่ตรัสออกมาเฉยๆ หม่อมฉันว่าฝ่าบาทน่าจะทรงลืมทุกอย่างไปหมดแล้วเพคะ”
ความทรงจำนั้นยังคงชัดเจนอยู่ภายในหัวของรยูฮาที่นั่งหันหลังให้ราวกับเพิ่งเกิดขึ้นเมื่อวาน แต่ไม่ใช่สำหรับฮอน แม้จะเชื่อมั่นว่าเขาก็น่าจะยังเก็บความทรงจำนั้นไว้อยู่ลึกๆ ในใจ แต่ไม่อยากจะเชื่อเลย และจู่ๆ ความรู้สึกถูกทรยศและความสิ้นหวังก็ซัดกระหน่ำเข้ามาพร้อมกันกับความทรงจำในวันนั้นราวกับกระแสน้ำขึ้น
“อ๊าก! อะไรกันเนี่ย!”
ในราวๆ ช่วงนี้แหละ ช่วงฤดูกาลก่อนที่การเก็บเกี่ยวจะมาถึง หลังจากประลองดาบกันมาสักพักหนึ่ง รยูฮากับฮอนก็หอบแฮ่กๆ แล้วเอนตัวลงนอนบนพื้นหญ้า ส่วนมินอาบอกว่าจะไปตักน้ำเย็นมาและเดินไปทางห้องครัว ฮอนแหงนหน้ามองดูท้องฟ้าสีครามที่ดูหนาวเย็น ก่อนจะร้องตะโกนออกมาพร้อมกับวิ่งไปทางฝั่งรยูฮาแล้วซ่อนตัว
“อะไร มีอะไร”
“ตรงนั้น รยูฮา ตรงนั้น!”
เขาเห็นอะไรถึงได้ตื่นตระหนกเกิดเหตุขนาดนั้น รยูฮาลุกพรวดขึ้นและพินิจมองไปตรงที่ฮอนชี้ แล้วหลุดหัวเราะออกมา นั่นมันตั๊กแตนตำข้าวที่ตัวใหญ่กว่าฝ่ามือผู้ใหญ่กำลังจ้องพร้อมกับชูขาหน้าขึ้นมาขู่ไม่ใช่หรือ แต่ที่มันดูน่ากลัวก็เพราะนอกจากขนาดจะใหญ่แล้ว ยังเป็นสีน้ำตาลแทนที่จะเป็นสีเขียวอ่อนอีกด้วย แต่องค์ชายที่สุขุมแม้จะถูกดาบไม้ที่หักเสียบกลับเอะอะโวยวายเพราะตั๊กแตนเพียงตัวเดียวเนี่ยนะ
“ที่โวยวายก็เพราะกลัวตั๊กแตนตัวนู้นน่ะหรือ”
“รีบไล่มันไปเร็วเข้า!”
ฮอนปิดตาซ่อนตัวอยู่ข้างหลังรยูฮาและสั่งให้รีบๆ ไล่ตั๊กแตนไปด้วยความกระวนกระวายใจ ไวค่อยแกล้งวันหลังแล้วกัน รยูฮาตัดสินใจภายในใจก่อนจะถือกิ่งไม้ที่เอามาเล่นแกว่งไปแกว่งมาทางตั๊กแตนแทนดาบไม้ที่ถูกสั่งห้าม และในตอนนั้นเองนางก็ได้รู้เป็นครั้งแรกว่าตั๊กแตนสามารถบินได้
“ฮะ…ฮอน อยู่นิ่งๆ นะ”
ถึงไม่บอกให้อยู่นิ่งๆ ก็อยู่นิ่งๆ อยู่แล้ว ตั๊กแตนบินลงมาเกาะศีรษะของฮอนที่ยืนตัวแข็งอยู่กับที่และไม่กล้าแม้แต่จะเอามือที่ปิดตาไว้อยู่ออก ก่อนที่มันจะยกขาหน้าขึ้นมาอีกครั้ง
“ทำอะไรกันเพคะ”
มินอาปรากฏตัวออกมาพร้อมกับถือโต๊ะสำรับที่มีน้ำเย็นวางไว้อยู่พลางหรี่ตาลงเล็กน้อย ทั้งสองคนที่เคยสงบเสงี่ยมเพียงเพราะได้ออกมาที่สวนด้านหลัง เกิดอะไรขึ้นกับพวกเขากันแน่ในระหว่างที่นางหายไปแค่ชั่วครู่เดียว องค์ชายที่ตัวสั่นเทาแถมยังปิดตาและเอาตั๊กแตนตัวใหญ่วางไว้บนหัวกับคุณหนูที่ยกกิ่งไม้ขึ้นมาและกำลังกังวลว่าควรทำอย่างไรดี มินอามองทั้งคู่สลับกันสักพักก่อนจะถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่ แล้วเดินแกว่งแขนไปจับตั๊กแตนตัวใหญ่นั้นอย่างรวดเร็วและโยนมันไปไกลๆ
“เรียบร้อยแล้วเพคะองค์ชาย”
“ไปแล้วหรือ”
“เพคะ”
ฮอนตัวน้อยทรุดลงไปนั่งกับพื้นหญ้า ในตอนนั้นเองน้ำตาก็เริ่มไหลพรากออกมาจากดวงตากลมโต
“ฮอน เจ้าร้องไห้หรือ”
“ไม่ได้หรอกเสียหน่อย! ซอรยูฮา ทำไมเจ้าถึงเสียมารยาท ฮึก บังอาจพูดจา ฮึก ห้วนๆ กับ องค์ชายได้อย่างไร!”
“เจ้าเป็นคนบอกก่อนเองนะว่าให้พูดจาเป็นกันเองในตอนที่พวกผู้ใหญ่ไม่อยู่ ที่เปลี่ยนคำพูดตอนนี้เพราะเขินที่ร้องไห้ใช่ไหมล่ะ”
“ไม่ใช่เสียหน่อย! ฮึก ข้าร้องไห้เมื่อไหร่กัน ฮึก”
เขาฟุบหน้าลงไปกับเข่าและทำเป็นวางท่าแม้จะสะอื้นอยู่ก็ตาม รยูฮาลืมเรื่องที่ตัวเองก็ไม่กล้าจับตั๊กแตนไปเสียสนิท แล้วนั่งลงข้างๆ ฮอน ก่อนจะตบแผ่นหลังเล็กๆ นั้นเบาๆ
“ไม่ต้องร้องนะ เดี๋ยวข้าจะปกป้องเจ้าเอง ข้าต่อสู้เก่งมากเลยนะ”
ใบหน้าที่เงยขึ้นมาจากหว่างเขาเล็กน้อยมองรยูฮาที่พูดเช่นนั้น
“ตั๊กแตนก็จะเข้ามาหาไม่ได้แล้วใช่ไหม”
“ใช่แล้ว ไม่ใช่แค่ตั๊กแตนหรอกนะ จะอย่างอื่นหรือจะอะไรก็ตามก็เข้ามาหาไม่ได้แล้วเหมือนกัน”
“ตลอดไป?”
“แน่นอนสิ ตลอดไป”
“สัญญานะว่าเจ้าจะปกป้องข้าไปตลอดชีวิต”
“บอกแล้วไงว่าสัญญา”
ในตอนนั้นเองฮอนจึงเงยหน้าขึ้นมาอย่างเต็มที่ จากนั้นเช็ดน้ำตาด้วยแขนเสื้อและยิ้มแย้มออกมา แม้จะเป็นผ้าไหมที่ล้ำค่าเกินกว่าจะบรรยาย แต่เพราะว่าเปื้อนโคลนเลอะเทอะไปเรียบร้อยแล้ว ดังนั้นใบหน้าที่ถูกเช็ดถูด้วยสิ่งนั้นจึงกลายเป็นว่าดินกับน้ำตาผสมกับไปมั่วจนเละเทะกว่าเดิมแทนที่จะสะอาดขึ้น รยูฮาจึงระเบิดหัวเราะออกมาพลางใช้ส่วนที่สะอาดของกระโปรงตัวเองเช็ดคราบดินออกให้และจุ๊บลงบนแก้มขาว
“เพราะฉะนั้นอย่าร้องไห้เลยนะ เดี๋ยวใบหน้าที่หล่อเหลาจะเละหมด”
เรื่องราวมันก็เป็นเช่นนั้น นับตั้งแต่วันนั้นนางจึงฝึกฝนอย่างหนักและตั้งใจว่าจะปกป้องฮอนจนกระทั่งวันที่มีการเลือกคู่อภิเษกสมรส ในตอนที่นางซึ่งปฏิเสธคู่แต่งงานทั้งหมดทุกคนประกาศว่าจะไปเป็นพระชายาในองค์รัชทายาท พ่อแม่ที่คิดว่าสิ่งที่รยูฮาพูดเป็นเพียงแค่คำพูดเล่นของเด็กๆ จึงตกตะลึงเหมือนกับเพิ่งรู้ถึงความจริงจังของสถานการณ์
แต่มีอีกเรื่องที่รยูฮาซึ่งกำลังนั่งเบือนหน้าหนีฮอนในตอนนี้เพราะรู้สึกเหมือนถูกหักหลังไม่รู้อยูู่ด้วย นั่นคือในตอนนั้นพ่อของนางยอมเสียศักดิ์ศรีไปเข้าเฝ้าพระราชาและขอให้ลูกสาวตนเองไม่ได้รับเลือกจากพิธีเลือกคู่อภิเษกสมรส
ซอดู รองเจ้ากรมการคลัง เขาผู้ซึ่งไม่มีความสนใจในเรื่องอำนาจประสบความสำเร็จได้ตำแหน่งเป็นมหาเสนาบดีอย่างรวดเร็ว เนื่องจากว่าพระราชารู้สึกประทับใจคำขอของเขาเป็นอย่างมาก นับตั้งแต่วันนั้นเขาจึงได้รับความลำบากจากการงานที่หนักหนาสาหัสเกินไป และการยื่นจดหมายลาออกก็กลายเป็นภารกิจอันยิ่งใหญ่ในชีวิตจวบจนทุกวันนี้
* * *