บทที่ 109 สืบหาความจริง โดย Ink Stone_Romance
เมื่ออวี๋หวั่นได้รับอิสรภาพกลับคืนมา ก็ยกมือขึ้นมาอุ้มเจ้าก้อนอ้วนกลมที่ห้อยอยู่บนตัว แล้วกล่าวกับบุรุษผู้นั้นว่า “ขอบคุณคุณชายสวี่”
อวี๋เฟิงซึ่งอยู่ด้านข้างก็กล่าวขอบคุณเช่นกัน
จากนั้นอวี๋เฟิงก็หันไปมองเจ้าก้อนอ้วนในอ้อมกอดของอวี๋หวั่น ขนของมันหลุดเป็นหย่อมๆ ทั้งยังไอออกมาอีกสองสามครั้ง อวี๋เฟิงจึงรู้ทันทีว่าสิ่งที่อยู่ในตะกร้าซึ่งคุณชายสวี่ถือมานั้นคืออะไร
เก่งกาจเหลือเกิน อวี๋เฟิงคิด
สามารถเลี้ยงสัตว์ที่เก่งกาจเช่นนี้ คุณชายท่านนี้แม้จะดูไม่คล้ายเศรษฐี หากแต่มีอำนาจ ทว่าเขาเองก็ไม่ได้โยงสถานะของอีกฝ่ายเข้ากับคนสกุลสวี่ อย่างไรเสียในใต้หล้าก็มีคนสกุลสวี่เป็นจำนวนมาก
“คุณชายสวี่ พวกท่านมาที่นี่ได้อย่างไร” อวี๋หวั่นมองไปยังรถม้าที่จอดอยู่ไม่ไกล ดูจากทิศทางแล้ว น่าจะเพิ่งออกมาจากเมืองหลวง
คุณชายสวี่มองไปยังเจ้าก้อนอ้วน แล้วกล่าวด้วยเสียงทุ้มต่ำว่า “มันไม่กินยา แล้วก็ไม่ให้ใครทายาด้วย”
ความหมายโดยนัยก็คือ เขามาตามอวี๋หวั่นไปช่วย
เจ้าแมวอ้วนที่ถูกร้องเรียนก็ตวัดหางตาไปยังคุณชายสวี่ แล้วมุดไปในอ้อมแขนของอวี๋หวั่น
อวี๋หวั่นลูบหลังของมัน “ต้องกินยาและทายา โรคถึงจะหาย”
เจ้าก้อนอ้วนกลมฮึมฮัมในคออย่างเย่อหยิ่ง
เดิมทีอวี๋หวั่นอยากพูดต่อสักสองสามประโยค แต่หากมิใช่เพราะเจ้าก้อนอ้วนเกิดงอแงขึ้นมา เธอก็คงเอาชีวิตไม่รอด เมื่อคิดได้ดังนั้น อวี๋หวั่นก็จึงรู้สึกว่าครั้งนี้ตนควรรู้สึกขอบคุณที่มันดื้อเสียมากกว่า
บุรุษผู้นี้มิได้มีท่าทางสนใจว่าอวี๋หวั่นถูกลอบโจมตีได้อย่างไร เขาเพียงมองไปข้างหน้า แล้วออกคำสั่งว่า “ฉางอัน ไปรายงานทางการ”
“ขอรับ!” ด้านข้างรถม้า มีทหารนายหนึ่งอยู่บนหลังม้า เขาตวัดแส้และควบม้าออกไป
อวี๋หวั่นอุ้มเจ้าก้อนอ้วนมายังเบื้องหน้าของกลุ่มคนสวมหน้ากาก สามคนซึ่งพยายามจะหยามเหยียดเธอนั้นได้รับบาดเจ็บมากที่สุด บัดนี้พวกเขาเสียเลือดมากจนหมดสติไป ดูแล้วคนที่สงบนิ่งมากที่สุดคงจะเป็นหัวหน้า
อวี๋หวั่นยังไม่ลืมว่าเขาสกัดจุดเธอ แล้วผลักเธอให้คนพวกนั้น
อวี๋หวั่นเดินไปเบื้องหน้าของพวกเขา แล้วมองลงต่ำ “ใครส่งพวกเจ้ามา”
หัวหน้าของคนสวมหน้ากากนอนเหงื่อโทรมกายอยู่บนพื้น อย่างไรก็ไม่ยอมปริปากพูด
เจ้าก้อนอ้วนกลมกระโดดลงมา แล้วยกอุ้งเท้าอวบอ้วนชี้ไปยังเป้ากางเกงของเขา ประหนึ่งกำลังประกาศก้องว่า ‘จะพูดหรือไม่ หากไม่พูดข้าจะเหยียบไข่ของเจ้าให้เละ’
ร่างของเขาสั่นเทิ้ม
เป็นแมวป่วยจริงๆ หรือนี่? ถ้ามีลายพาดกลอนอีกสักหน่อย ก็คงกลายเป็นเสือได้เลย!
ขณะที่เจ้าก้อนกลมกำลังจะตะปบกรงเล็บลงมา หัวหน้าของกลุ่มคนสวมหน้ากากก็กลัวจนเสียวสันหลังวาบ เขาตะโกนออกมาด้วยเสียงอันแหบพร่า “ข้าพูด! ข้าพูดแล้ว! เป็นเด็กหนุ่มคนหนึ่ง! อะ…อายุประมาณเขา! ใบหน้ารูปสี่เหลี่ยม รูปร่างเล็ก! พูดสำเนียงเมืองหลวง!”
อวี๋หวั่นคลับคล้ายคลับคลาว่าจะเคยเห็นมาก่อน ใบหน้ารูปเหลี่ยม ตัวเล็กๆ…น่าจะถูกว่าจ้างมา ก็จริง คนผู้นั้นฉลาดหลักแหลม ทำไมจะต้องมาว่าจ้างมือสังหารด้วยตัวเอง?
“หากเจ้าเห็นเขา เจ้าจะจำได้ไหม” อวี๋หวั่นเอ่ยถาม
“จำได้!” หัวหน้าของกลุ่มคนสวมหน้ากากพยักหน้างกๆ ความปรารถนาที่จะมีชีวิตรอดนั้นแรงกล้ายิ่งนัก
อวี๋หวั่น ‘อืม’ ด้วยความพึงพอใจ จากนั้นก็ไม่ได้สนใจเขาอีก
หัวหน้าถอนหายใจยาวๆ อย่างโล่งอก แม้จะมีราคาที่ต้องจ่าย แต่ก็ยังรักษาชีวิตเอาไว้ได้
ไหนเลยจะรู้ว่ายังลมหายใจยังมิทันได้ออกไปหมด เจ้าก้อนกลมก็เหยียบลงไป…
อย่างไรเสีย เจ้าจะจำคนได้หรือไม่ ก็คงมิต้องใช้ตรงนี้ ถูกต้องหรือไม่?
เจ้าก้อนกลมยืดอก มันเดินด้วยท่วงท่าสง่างาม แล้วกระโดดกลับไปในอ้อมอกของอวี๋หวั่น
คนของทางการได้ยินว่ามีการลอบทำร้ายประชาชนผู้บริสุทธิ์อย่างโหดเหี้ยม ก็รีบระดมอาวุธมาทันที แต่เมื่อมาถึงและเห็นเหตุการณ์
เอ…สรุปแล้วใครฆ่าใครกันนี่…
กลุ่มคนสวมหน้ากากแต่ไหนแต่ไรมาไม่ใคร่อยากพบพานกับคนของทางการ พวกเขาร้องไห้น้ำหูน้ำตาไหล อ้อนวอนให้จับพวกเขาเข้าคุก
เจ้าหน้าที่ทางการรู้สึกงงงวยไปหมด
สุดท้ายแล้วเจ้าแมวอ้วนก็มิได้อยู่บริเวณนั้นต่อ หลังจากที่อวี๋หวั่นทายาและป้อนยาให้มันเรียบร้อยแล้ว มันก็ถูกคุณชายสวี่จับใส่กรงกลับไป
ทันทีที่ขึ้นรถม้า มันก็กัดซี่กรงเหล็กแล้วกระโดดหนีไป มันคว้าเครื่องหยกและแท่นฝนหมึกซึ่งประเมินราคาไม่ได้ ชนเข้ากับของหลายชิ้น!
ช่างเป็นแมวที่อารมณ์ร้ายเสียจริง
สารถีรถม้าวิ่งกลับมาบังคับรถม้าให้สองพี่น้องด้วยสภาพมอมแมม
เขาไม่มีส่วนรู้เห็น ทั้งสองคนจึงไม่ได้กล่าวอะไร
เมื่อลงจากรถม้า อวี๋หวั่นและอวี๋เฟิงจึงพูดถึงเรื่องนี้ แม้ว่าจะมีพยานบุคคล แต่อวี๋หวั่นก็ไม่คิดว่าทางการจะสามารถตามจับบุรุษหนุ่มผู้นั้นได้ง่ายนัก หากเธอเดาไม่ผิด คนผู้นั้นต้องถูกส่งไปเมืองหลวงและหาสถานที่กบดานเรียบร้อยแล้ว ทางการคงตามตัวไม่ได้ไปอีกระยะหนึ่ง
“พี่ใหญ่ ท่านคิดว่าอย่างไร”
“อะไรหรือ” อวี๋เฟิงไม่เข้าใจ
อวี๋หวั่นจึงเอ่ยถามว่า “ท่านคิดออกหรือยังว่าใครเป็นผู้อยู่เบื้องหลังเรื่องนี้?”
อวี๋หวั่นเหลือบมองสายตาหลุกหลิกของเขา “พี่ใหญ่ ท่านรู้ว่าคนที่ข้าสงสัยไม่ใช่หอเทียนเซียง”
อวี๋เฟิงไม่ใช่คนโง่ ครั้งแรกเขาอาจไม่เข้าใจ ทว่าอวี๋หวั่นย้ำกับเขาหลายครั้ง ต่อให้เป็นคนโง่งม ก็ย่อมต้องกระจ่างว่าอวี๋หวั่นหมายถึงผู้ใด ทว่าเขาไม่ยินดีที่จะสงสัยในตัวคนผู้นั้น
อย่างไรเสีย ในช่วงเวลาที่สิ้นหวังที่สุด
คนผู้นั้นก็เป็นประหนึ่งเทพเจ้าที่ปรากฏกายมาช่วยบิดาของเขา
เขามีบุญคุณยิ่งใหญ่กับสกุลอวี๋ ยิ่งใหญ่เกินกว่าอาหารเพียงไม่กี่ชนิดจะเทียบได้
“หากเขาต้องการ ก็เพียงบอกท่านพ่อข้า มีหรือท่านพ่อจะไม่ให้ ไม่จำเป็นต้องขโมย” อวี๋เฟิงกล่าว
เมื่อดูจากลักษณะนิสัยของลุงใหญ่แล้ว หากผู้มีพระคุณเอ่ยปาก ลุงใหญ่ก็คงจะให้อาหารเหล่านั้น ทว่าในใจของอวี๋หวั่นสงสัยเขาไปแล้ว เธอจะไม่ยอมให้เรื่องนี้มาทำลายสิ่งที่เธอกว่าจะคิดมาได้หรอก
“เช่นนี้ก็แล้วกัน พี่ใหญ่” อวี๋หวั่นกล่าว “พวกเราลองหยั่งเชิงลุงใหญ่ดูก่อน เพื่อที่จะไม่ให้ลุงใหญ่สงสัยคนผู้นั้น พวกเรายังไม่พูดเรื่องอาหารและเรื่องถูกตามฆ่าก่อนจะดีกว่า ท่านคิดว่าอย่างไร?”
อวี๋เฟิงขบคิดอยู่ครู่หนึ่ง แล้วพยักหน้า “…ได้”
……………….
“เจ้าพูดถึงลุงหยางหรือ? พวกเจ้าเจอเขาหรือ?” ลุงใหญ่อุ้มบุตรสาวคนเล็กซึ่งกำลังกินมันเทศเผาออกมาจากในบ้าน ตรงมาหาอวี๋หวั่นและอวี๋เฟิง
อวี๋หวั่นกล่าวด้วยสีหน้าปกติ “ใช่ค่ะ พวกเราผ่านหอเทียนเซียง บังเอิญพบเขาเข้าพอดี พี่ใหญ่จำเขาได้”
ลุงใหญ่เข้าใจทันที “ครั้งนั้นเขามาที่บ้านเรา เจ้าไม่อยู่”
“เอ้อ ท่านลุงใหญ่ พวกเรายังเจอพ่อครัวทัง เขาอยู่กับท่านลุงหยางด้วย ดูสนิทกันมาก”
“ทัง? ทังผิงหรือ?”
อวี๋หวั่นไม่รู้ว่านี่คือชื่อของอีกฝ่าย เธอจึงกล่าวเพียงว่า “พ่อครัวทังบอกว่า เมื่อก่อนเคยทำงานกับท่านลุงใหญ่”
“เช่นนั้นก็คือเขา น่าแปลก สองคนนั้นจะมาสนิทได้อย่างไร?”
“ทำไมหรือท่านลุง พวกเขาไม่ถูกกันหรือ?”
ลุงใหญ่ขมวดคิ้วครุ่นคิด “ที่จริงก็มิใช่ไม่ถูกกัน หลายปีก่อนหน้าพวกเราสามคนทำงานด้วยกันที่หอเทียนเซียง ทังผิงเป็นคนเมืองหลวง พื้นเพทางบ้านไม่เลว ข้ากับลุงหยางของพวกเจ้าเป็นคนที่อื่น ประสบการณ์ไม่มากเท่าทังผิง ทังผิงดูแคลนพวกข้ามาตลอด ไม่ได้ไปมาหาสู่กัน”
อวี๋หวั่นชะงักไป “อย่างนั้น…หลังจากที่ท่านลุงใหญ่ออกมา ทังผิงก็ไม่เคยมาเยี่ยมเยียนเลยหรือ?”
ลุงใหญ่หัวเราะ “เขาจะมาหาข้าได้อย่างไรเล่า?”
ความสงสัยในตัวทังผิงของอวี๋หวั่นถูกกำจัดออกไป คนที่ไม่ได้ไปมาหาสู่กับลุงใหญ่แม้แต่น้อย โอกาสที่จะขโมยสูตรอาหารของลุงใหญ่นั้นมีได้ยากยิ่ง
อีกอย่างทังผิงทระนงตนเสียขนาดนั้น จะมาอยากได้สูตรอาหารของลุงใหญ่หรือ?
“แล้วท่านลุงหยางเล่า? เขาเป็นคนอย่างไรหรือ?” อวี๋หวั่นเอ่ยถาม
หากเป็นความอยากรู้อยากเห็นของอวี๋หวั่น ลุงใหญ่มีความอดทนเต็มเปี่ยม เขาตอบอย่างใจดีว่า “เขาเป็นคนดี แม้พรสวรรค์จะไม่เท่าไร ทว่าเป็นคนขยัน”
เข้าใจแล้ว ในสถานที่ซึ่งเต็มไปด้วยผู้มีฝีมือสูงเทียมเมฆอย่างหอเทียนเซียง พ่อครัวใหญ่หยางเป็นเพียงพ่อครัวที่มิได้เป็นที่สะดุดตาแม้แต่น้อย ทุกคนล้วนดูถูกเขา เมื่องานยุ่ง ก็เรียกเขามาเป็นลูกมือ มีเพียงลุงใหญ่ที่จริงใจ เรียกเขาว่าพ่อครัวหยาง
อาจด้วยเหตุนี้ พ่อครัวใหญ่หยางจึงสนิทกับลุงใหญ่
แม้ว่าลุงใหญ่จะไม่ได้กล่าวอย่างชัดเจน แต่อวี๋หวั่นก็เดาได้ว่าในตอนนั้นตำแหน่งของลุงใหญ่ในหอเทียนเซียงต้องสูงมากอย่างแน่นอน เมื่อสนิทกับลุงใหญ่ พ่อครัวใหญ่หยางไม่เพียงมีหน้ามีตาขึ้น ความสามารถของเขาก็พัฒนาขึ้นด้วย
……………………………………