บทที่ 108 ผู้เล่นระดับเทพ โดย Ink Stone_Romance
กลุ่มบุรุษสวมหน้ากากกำหนดจุดลอบสังหาร ซึ่งก็คือตรอกแคบร้างผู้คนสายหนึ่งในเมืองหลวง ตรอกนี้เดิมทีเป็นเส้นทางของทางการ เพียงแต่มิได้ทะลุไปเจอร้านรวงหรือหมู่บ้านใด มีเพียงทะเลสาบขนาบทั้งสองข้าง แม้แต่สถานที่ให้ซ่อนตัวยังไม่มี
อวี๋เฟิงอยากบอกว่า ข้าจะล่อพวกมันไว้ เจ้าหนีไป แต่เมื่อมองจากสถานที่แล้ว เขาคิดว่าคงทำได้เพียงหยุดพวกมัน
เขาหยุดอย่างฉับพลัน “อาหวั่นเจ้าไปก่อน! พวกเราหนีพวกมันไม่ทันหรอก”
เหตุผลหลักก็คืออวี๋เฟิงวิ่งไม่ทัน ส่วนอวี๋หวั่น…อวี๋หวั่นยังไม่ได้สำแดงพลังที่แท้จริงเลย
แต่อวี๋หวั่นก็ไม่อาจทิ้งอวี๋เฟิงเอาไว้ที่นี่ ในเมื่อหนีไม่พ้น ก็คงต้องสู้สุดใจ
อวี๋หวั่นเหวี่ยงตะกร้าสะพายหลังมาด้านหน้า แล้วหยิบเคียวออกมาจากห่อผ้าสีขาว
อวี๋เฟิงมองด้วยความตกตะลึง “…”
มีอะไรแบบนี้ด้วยหรือ?
“ให้!” อวี๋หวั่นยื่นเคียวใส่มือของอวี๋เฟิง
อวี๋เฟิงสีหน้าเปลี่ยนฉับพลัน “ให้…ให้ข้ารึ?”
อวี๋หวั่นตอบว่า “ข้าไม่ใช้เคียว”
เธอเคยเรียนการต่อสู้ระยะประชิดในโลกก่อนหน้า อาวุธไม่ใช่จุดแข็งของเธอ อาวุธของเธอคือฝ่ามือ สิ่งที่สำคัญไปกว่านั้นคือ อวี๋เฟิงต่อสู้ด้วยมือเปล่า แม้แต่อุปกรณ์ป้องกันตัวก็ยังไม่มี
เมื่อเทียบพี่ชายกับน้องชาย อวี๋ซงวิวาทกับคนอื่นอยู่เนืองนิจ แต่อวี๋เฟิงนั้นเป็นเด็กดี เขาเยือกเย็นอยู่เสมอ ยิ่งเมื่อต้องเผชิญกับเรื่องวิวาท เขาก็ใช้สมองในการแก้ปัญหา เขาไม่เคยคิดเลยว่าวันหนึ่งจะต้องมากำเคียวสู้กับผู้อื่น
หากกล่าวว่าเขากลัวหัวหดก็คงไม่จริง แต่จะให้เขามาบั่นคอคนก็คงเป็นไปไม่ได้ ยิ่งเมื่อมีน้องสาวอยู่ด้วย เขายอมตายเองเสียดีกว่า นางจะได้ไม่ต้องเดือดร้อน
“อาหวั่น เจ้าหลบด้านหลังข้า อีกครู่หนึ่งข้าจะยื้อพวกมันไว้ เจ้าก็…”
อวี๋เฟิงกำด้ามเคียวแน่น ทว่ายังกล่าวไม่จบ อวี๋หวั่นที่อยู่ข้างกายก็บุกเข้าไปแล้ว…
อวี๋เฟิง “…”
สองพี่น้องประมือกับบุรุษสวมหน้ากาก
วิชายุทธ์ของคนกลุ่มนี้นับว่าไม่เลว แม้ว่าจะมิอาจเทียบกับอวี้จื่อกุยหรือมือสังหารของเชียนจีเก๋อ แต่ก็เหนือกว่าคนทั่วไป อีกทั้งเป้าหมายของพวกเขาไม่ใช่อื่นใดนอกจากชีวิตของสองพี่น้อง พวกเขาจึงลงมืออย่างหนักหน่วงและไร้ปรานี
ดาบใหญ่เล่มหนึ่งหันคมดาบหมายฟันไปยังคอของเธอ ชายสวมหน้ากากสองคนเข้าสกัดเธอจากด้านข้าง อวี๋หวั่นไม่มีทางอื่น จึงต้องงอตัวไปด้านหลังเพื่อหลบดาบ
วินาทีถัดมา ปลายแหลมของดาบสามเล่มหันเข้าหาเธอทันที มือทั้งสองข้างดันพื้นเอาไว้ รวบรวมแรงที่มี แล้วพลิกตัวกลับด้านหลัง แล้วลุกขึ้นทันที เธอถือโอกาสกำทรายบนพื้นขึ้นมา แล้วสาดใส่ทั้งสามคนอย่างแรง
ทันทีที่ทั้งสามคนรู้ตัวและยกแขนขึ้นป้องตา อวี๋หวั่นก็รัวลูกถีบใส่ จนพวกเขาล้มลงไปบนพื้น อวี๋หวั่นไม่รอช้ารีบเหยียบลงบนแขนของพวกเขาอย่างสวยงาม
การโจมตีในครั้งนี้สมบูรณ์แบบจนน่าตกใจ
ทว่าสามคนนี้เป็นเพียงไก่อ่อน ที่เหลืออีกห้าคนล้วนยากที่จะต่อกรด้วย
“โอ๊ย…”
เป็นเสียงร้องด้วยความเจ็บปวดของอวี๋เฟิง
บุรุษสวมหน้ากากคนหนึ่งลอบโจมตีอวี๋หวั่น อวี๋เฟิงจึงไปสกัดดาบของเขาเอาไว้ โชคดีที่คมดาบฟันเข้าที่เคียว แต่ถึงอย่างนั้นเขาก็ถูกแรงกระแทกจนล้มลงกับพื้น
อวี๋หวั่นหันขวับไปหาอวี๋เฟิง ดาบทั้งสามเล่มพุ่งเข้าหาลำคอขอเธอทันที
หัวหน้าของพวกเขาแค่นเสียง ‘หึ’ แล้วพูดว่า “นางหนู ฝีมือไม่เลว น่าเสียดายที่ต้องมาเจอกับพวกพี่ชาย ดูสิว่าตอนนี้จะหนีไปไหนได้!”
“พี่ใหญ่ นางเด็กนี่รูปร่างหน้าตาไม่เลว ให้นางไปบริการพี่น้องเราไม่ดีกว่าหรือ…” ผู้ชายที่ยืนอยู่ด้านซ้ายกล่าวอย่างหยาบโลนพลางถูมือ
“ไอ้พวกสารเลว!” หน้าอกของอวี๋เฟิงกระเพื่อมด้วยความโกรธ นึกอยากจะคว้าเคียวบนพื้นขึ้นมา แต่ก็ถูกชายซึ่งสวมหน้ากากเหยียบเข้ากลางอกจนเขากระอักเลือดออกมา
อวี๋หวั่นมองพวกเขาด้วยสายตาอาฆาต
“พี่ใหญ่?” คนสวมหน้ากากบ้ากามหัวเราะ
หัวหน้าของพวกเขามองไปยังอวี๋หวั่น ยืนมือออกมาสกัดจุดเธอ จากนั้นก็ผลักเธอไปด้านหน้า “ให้รางวัลพวกเจ้า!”
“ฮ่าๆๆ! ขอบคุณพี่ใหญ่! พี่น้องเอ๋ย วันนี้พวกเราจะได้มีความสุขกันแล้ว!” เขาสูดน้ำลายด้วยความตื่นเต้น ยังไม่ลืมที่จะยื่นมือหนาสกปรกไปยังอวี๋หวั่น
ไหนเลยจะรู้ว่าขณะที่กำลังจะถูกตัวอวี๋หวั่น ก็มีของสิ่งหนึ่งพุ่งมาอย่างรวดเร็วดุจสายฟ้าจนเห็นเพียงเงา!
คนบ้ากามผู้นั้นยังไม่ทันได้เห็นว่าเกิดอะไรขึ้น ก็แผดเสียงร้องออกมาอย่างน่าเวทนา!
“มือข้า! มือข้า! มือข้า!”
เหนือฝ่ามือของเขานั้นว่างเปล่า นิ้วมือได้หายไปแล้ว…
เมื่อเห็นสภาพอันน่าสยดสยองเช่นนี้ คนอื่นๆ ต่างรู้สึกขนลุกซู่
“ใครทำ? ใคร!” คนหนึ่งซึ่งยืนอยู่ด้านข้างคนบ้ากามนั่นก็ถามขึ้น คนที่คิดไม่ดีต่ออวี๋หวั่นนั้นมีทั้งหมดสามคน เขาคือหนึ่งในนั้น
ยังพูดไม่ทันจบ เงาสีขาวก็พุ่งตรงมายังเขา
เขาตวัดดาบออกไป!
สวบ!
เขาล้มลงไป
ลูกตาทั้งสองข้างไม่เหลืออยู่แล้ว…
อีกสองคนก็ถูกจัดการเป็นรายต่อๆ มา ยังคงใช้วิธีการเช่นเดิม และสิ่งที่น่าสมเพชเสียยิ่งกว่าก็คือพวกเขาไม่เห็นด้วยซ้ำว่ามันคืออะไร
พวกเขาพลันรู้สึกอกสั่นขวัญแขวนขึ้นมา!
บุรุษสวมหน้ากากคนที่สามซึ่งก่อนหน้านี้เคยคิดไม่ดีต่ออวี๋หวั่นก็ล้มลงไปแล้วเช่นกัน
เขานอนอยู่บนพื้นอย่างเจ็บปวด ไม่มีใครกล้าเข้าไปดูว่าเขาเป็นอย่างไรบ้าง
ของสิ่งนั้นน่ากลัวเกินไปแล้ว พวกเขาไม่มีเวลามาเป็นห่วงเป็นใยเพื่อน ทำได้เพียงคิดว่าจะหลบหนีอย่างไรดี
“อ๊ากกก”
บุรุษสวมหน้ากากคนหนึ่งโยนดาบทิ้งแล้วสาวเท้าวิ่งหนี
น่าเสียดายที่ช้าไป
เงานั้นพุ่งออกไป อีกห้าคนที่เหลือล้มลง ครานี้มีชีวิตอยู่มิสู้ตาย
จากนั้น เงาสีขาวนั้นก็กระโดดมาเกาะบนไหล่ของอวี๋หวั่น บัดนี้สามสี่คนที่ยังไม่หมดสติไป ก็เห็นรูปร่างของของสิ่งนั้นอย่างชัดเจน
เวรเอ๊ย!
เป็นแมวจิ๋วตัวอ้วนไปได้อย่างไร?!
ที่แท้ก็เป็นแมวขนร่วง…
พวกเขารู้สึกมึนงง…
อวี๋หวั่นเหลือบตาไปมอง
เจ้าก้อนอ้วนกลม?
เจ้าก้อนอ้วนกลมใช้กรงเล็บห้อยลงมา แล้วซุกเข้ากับอกของอวี๋หวั่น
อวี๋เฟิงกุมหน้าอกด้วยความเจ็บปวด แล้วลุกขึ้นยืน เช็ดเลือดที่ไหลข้างมุมปากแล้วเดินไปหาอวี๋หวั่น เขามองเจ้าแมวอ้วนอย่างฉงนใจ “อาหวั่น นี่คือ…”
เจ้าก้อนอ้วนหันไปแยกเขี้ยวใส่!
ยังมีรอยเลือดหลงเหลืออยู่บนฟันของมัน อวี๋เฟิงจึงนึกได้ว่าเมื่อครู่มันเพิ่งแสดงวีรกรรม ‘อุกฉกรรจ์’ น่ากลัวจนต้องถอยหลังหนี!
เจ้าแมวอ้วนหายใจฟึดฟัด แล้วก็ค่อยๆ พิงกับอกของอวี๋หวั่น
ไม่นาน รถม้าหรูหราคันหนึ่งก็เคลื่อนเข้ามา
บุรุษสวมหมวกสานและผ้าคลุมหน้าโปร่งแสงเดินลงมา เขาดูสง่างามประหนึ่งมีประกายรัศมีแผ่ออกมา ทว่าอวี๋หวั่นก็ยังจำเขาได้
คุณชายสวี่
อวี๋เฟิงก็จำบุรุษผู้ซึ่งมาให้อวี๋หวั่นรักษาพร้อมกับชุยเฒ่าได้ ความตื่นตระหนกในใจเขาก็พลันมลายไป
บุรุษผู้นี้เดินตรงมายังอวี๋หวั่น ยื่นมือเรียวดุจหยกออกมาคลายจุดให้อวี๋หวั่น
……………………………………….