บทที่ 107 ลอกเลียนผลงาน โดย Ink Stone_Romance
หลังจากที่อวี๋เฟิงอธิบายโดยละเอียดแล้ว อวี๋หวั่นและผู้จัดการชุยจึงเข้าใจต้นสายปลายเหตุของเรื่องนี้
เดิมทีอาหารเหล่านี้เป็นอาหารที่ลุงใหญ่คิดค้นขึ้นขณะที่เป็นพ่อครัวอยู่ที่นี่ เคยทำให้คนในครอบครัวกินแล้ว เพียงแต่เขายังไม่พึงพอใจในรสชาติเท่าไรนัก จึงไม่ยอมนำไปใส่ลงในรายการอาหาร ทว่ากว่าลุงใหญ่จะปรับปรุงรสชาติอาหารให้ออกมาเป็นที่น่าพอใจได้นั้น อวี๋หวั่นก็เกิดเรื่องพอดี
ในเมื่อผู้จัดการชุยอยู่ตรงนั้นด้วย อวี๋เฟิงจึงมิได้พูดประโยคสุดท้ายออกมาชัดเจน เขาบอกเพียงว่าที่บ้านเกิดเรื่อง ลุงใหญ่จึงต้องออกจากหอเทียนเซียง
อาหารที่ยังมิได้เปิดตัว กลับกลายเป็นอาหารแนะนำของหอเทียนเซียงเช่นนี้ ไม่ว่าใครก็อดรู้สึกตงิดใจไม่ได้
ผู้จัดการชุยทำงานในแวดวงนี้ จึงเข้าใจความรู้สึกของอวี๋เฟิงเป็นอย่างดี หากหอหยกขาวคิดค้นอาหารขึ้นมาชนิดหนึ่ง ยังไม่ทันได้เปิดตัวก็ถูกคนนำไปขายแล้ว เขาคงต้องกระอักเลือดเป็นแน่!
แน่นอนว่าที่นี่ยังมีอีกปัญหาหนึ่ง ก็คืออาหารเหล่านี้ไม่ใช่อาหารที่คนทั่วไปจะคิดค้นขึ้นมาได้
จะไม่บังเอิญไปหน่อยหรือ?
“มีอาหารกี่ชนิดที่เป็นแบบนี้หรือ?” อวี๋หวั่นเอ่ยถาม
“ทั้งหมดห้าชนิด” อวี๋เฟิงกล่าว “ได้แก่หนึ่งใบไม้รู้สารท สองมังกรชิงแก้ว สามดาวจรัสแสง สี่สมุทรสงบสุข ห้าแพะนำสันติ”
ห้าแพะนำสันติทำมาจากกระดูก เนื้อ หัวใจ ปอด และไส้แพะ นำมาตุ๋นในหม้อ คัดสรรวัตถุดิบเป็นอย่างดี เลือกใช้แพะที่โตเต็มที่ในเดือนแปดถึงเดือนเก้า แพะชนิดนี้เนื้อนุ่มและมีไขมัน ให้รสสัมผัสที่ยอดเยี่ยม หลังจากที่ผ่านการหมัก ต้ม และทอด ก็จะให้รสเผ็ดนำ แต่เพราะหมักด้วยเครื่องตุ๋นยาจีนในปริมาณที่พอเหมาะ ทำให้เนื้อแพะคงความเผ็ดแต่ไม่แห้ง
สี่สมุทรสงบสุขมิได้ซับซ้อนเพียงนั้น แต่จำต้องบรรจงเลือกสรรวัตถุดิบ น้ำแกงข้นจากอาหารทะเลซึ่งขนส่งมาไกลนับพันหลี่ เช่นหูฉลาม หอยตลับ กุ้งสด และปูทะเล คงความสดใหม่ อร่อยเหนือจินตนาการ
สามดาวจรัสแสงเป็นขนมชนิดหนึ่ง ทำจากเม็ดบัว พุทราจีน และลำไย เนื้อสัมผัสนุ่มหนึบ หวานแต่ไม่เลี่ยน ทั้งยังราดน้ำส้มสายชูหมักจากผลซานจา ทั้งรสเปรี้ยวและหวานเข้ากันอย่างลงตัว
สองมังกรชิงแก้วคือผักกวางตุ้งนึ่งกับลูกชิ้นหัวสิงโต ลูกชิ้นหัวสิงโตราดน้ำจิ้มสูตรพิเศษ รสสัมผัสแตกต่างจากภัตตาคารอื่น ทั้งยังได้กลิ่นหอมของดอกพุดอีกด้วย
สุดท้ายก็คือหนึ่งใบไม้รู้สารท เป็นอาหารเพียงชนิดเดียวที่อวี๋เฟิงไม่เคยกิน และยังเป็นอาหารที่ลุงใหญ่ใช้เวลาคิดค้นนานที่สุด
แม้จะมิได้อธิบายละเอียดมากนัก แต่ก็สามารถทำให้ผู้จัดการชุยเชื่ออวี๋เฟิงได้แล้ว
เขาเคยกินอาหารเหล่านี้ มันฟังดูเหมือนกับที่อวี๋เฟิงอธิบายไว้ไม่มีผิด!
อาหารเหล่านี้ล้วนเป็นอาหารที่ภัตตาคารอื่นเคยทำ หอหยกขาวเองก็มิใช่ข้อยกเว้น ทว่าพวกเขามิได้ทำรสชาติของหอเทียนเซียง เช่นกลิ่นดอกพุดของลูกชิ้นหัวสิงโต หรือรสเปรี้ยวของสามดาวจรัสแสง
แน่นอนว่าบัดนี้ผู้จัดการชุยรู้แล้วว่ารสเปรี้ยวนั้นได้จากผลซันจา แต่…กลิ่นดอกพุดนี่สิ?
อะแฮ่ม ผู้จัดการชุยกระแอม ไม่ได้ๆ หากรู้มากกว่านี้ก็จะนับว่าเป็นการขโมยสูตรลับของเพื่อนร่วมอาชีพ
หากเป็นคนอื่น ผู้จัดการชุยก็คงจะถามว่าเป็นมิจฉาชีพมาหลอกกินอาหารหรือไม่ แต่อีกฝ่ายคืออวี๋เฟิง เท่าที่รู้จัก
กันมา พี่ชายและน้องสาวเป็นคนอย่างไรเขาย่อมรู้ดี อวี๋เฟิงมิใช่คนที่จะแกว่งเท้าหาเสี้ยน นอกจากนั้น ฝีมือด้านการทำอาหารของบิดาของอวี๋เฟิงนั้นก็สามารถเทียบชั้นกับหอเทียนเซียงได้
ผู้จัดการชุยจึงกล่าวว่า “ข้าเคยกินอาหารเหล่านี้ รสชาติ วัตถุดิบ ล้วนคล้ายคลึงกับที่เจ้าบอก”
เดิมทีอวี๋เฟิงคิดว่า ไม่แน่ว่าชื่ออาหารอาจบังเอิญชื่อคล้ายกัน แต่วิธีทำและรสชาตินั้นแตกต่าง ทว่าเมื่อได้ยินสิ่งที่
ผู้จัดการชุยกล่าว ความหวังเส้นเล็กๆ ในก้นบึ้งของจิตใจของเขาก็ขาดสะบั้นลงทันที
อวี๋หวั่นมองไปยังพ่อครัวใหญ่หยางซึ่งกำลังจมอยู่ในความคิด แล้วกล่าวว่า “หากเป็นเพียงวิธีทำก็พอเข้าใจได้
ทว่าแม้แต่ชื่อก็ยังเหมือนกัน ท่านลุงหยาง เรื่องนี้ออกจะบังเอิญไปหน่อยกระมัง อาหารเหล่านี้นำออกขายเมื่อไหร่หรือ”
หากเป็นก่อนหน้าลุงใหญ่ออกจากหอเทียนเซียง นั่นก็หมายความว่าลุงใหญ่ขโมยสูตรอาหารจากหอเทียนเซียง แต่หากเป็นหลังจากที่ลุงใหญ่ออกจากหอเทียนเซียงไปแล้ว ก็มิต้องสงสัยเลยว่าสูตรอาหารของลุงใหญ่นั้นได้ถูกจารกรรมไปเสียแล้ว
พ่อครัวใหญ่หยางสูดหายใจเข้าลึกๆ ขณะที่กำลังจะตอบคำถาม ผู้จัดการชุยที่อยู่ด้านข้างก็เอ่ยขึ้นว่า “ข้าจำได้ว่า…น่าจะเมื่อประมาณสองปีก่อน? ครานั้นเป็นที่เลื่องลือในเมืองหลวงอยู่พักใหญ่ ข้ายังพาคุณหนูมากิน”
ลุงใหญ่ออกจากหอเทียนเซียงเมื่อสามปีที่แล้ว!
อวี๋หวั่นมีสีหน้าแข็งกร้าว กล่าวว่า “ท่านลุงหยาง ข้าใคร่ขอถามสักหน่อยว่าอาหารเหล่านี้ พ่อครัวท่านใดเป็นผู้คิดค้นหรือ จะแนะนำให้พวกเรารู้จักหน่อยได้หรือไม่? มีบางอย่างที่พวกเราอยากถามเขาต่อหน้า”
“นั่น…” พ่อครัวใหญ่หยางถอนหายใจอย่างช่วยไม่ได้ “กล่าวอย่างไม่บิดบัง อาหารเหล่านี้ พ่อครัวแซ่ทังผู้หนึ่งเป็น
คนคิดค้นขึ้น แต่เกรงว่าพวกเจ้าคงจะไม่ได้พบเขา ยังจำเรื่องพ่อครัวคนที่อยู่บ้านรักษาอาการบาดเจ็บได้หรือไม่?”
“เป็นเขาหรือ?” อวี๋เฟิงขมวดคิ้ว
พ่อครัวใหญ่หยางพยักหน้า “ก่อนหน้านี้เขาเคยทำงานกับท่านพ่อของเจ้า…แต่ว่า หากพูดไปก็จะกลายเป็นกล่าวหากัน หลานชาย แม้ว่าคำพูดของเจ้าจะน่าเชื่อถือ ข้าก็ต้องไต่สวนเรื่องนี้ก่อน หากจะอ้างเพียงคำพูดของเจ้า นั่นก็มิหมายความว่าข้ากล่าวโทษพ่อครัวทังหรืออย่างไร…”
อวี๋เฟิงพลันรู้สึกกระวนกระวายขึ้นมา “เช่นนั้นก็มิได้หมายความว่าท่านพ่อข้าทำหรอกหรือ? ท่านพ่อขโมยสูตรของพ่อครัวทังหรือ? จะเป็นไปได้อย่างไร? ท่านพ่อข้าไม่ทำเรื่องพรรค์นั้นหรอก!”
อวี๋หวั่นดึงข้อมือของอวี๋เฟิง กล่าวอย่างเยือกเย็นว่า “ท่านลุงหยางกล่าวได้ถูกต้อง เรื่องราวยังไม่กระจ่างชัด ไม่อาจกล่าวโทษผู้ใด”
พ่อครัวใหญ่หยางจับมือของอวี๋เฟิง แล้วกล่าวด้วยความจริงใจว่า “หลานชาย หากเจ้าเชื่อข้า ก็ปล่อยเรื่องนี้ให้ข้าจัดการ ข้าจักต้องสืบสาวราวเรื่อง หากเป็นความผิดพลาดของหอเทียนเซียง ข้าย่อมต้องบอกเจ้าของให้ชดใช้เงิน ขอโทษ และนำชื่อเสียงของท่านพ่อเจ้ากลับมา!”
อวี๋เฟิงพยักหน้าด้วยท่าทางขึงขัง “ท่านลุงหยาง ข้าเชื่อท่าน”
เมื่อเกิดเรื่องเช่นนี้ขึ้น ก็คงไม่เหมาะแก่การทำการค้า
พ่อครัวใหญ่หยางรั้งให้ทั้งสามอยู่ต่อ แม้ว่าอวี๋เฟิงจะไม่มีกะจิตกะใจจะอยู่ต่อ แต่ก็มิอาจปฏิเสธคำเชื้อเชิญ พวกเขากินอาหารกลางวันแล้วจึงออกมาจากหอเทียนเซียง
เขาสั่งอาหารเหล่านั้นไป พ่อครัวใหญ่หยางก็ให้คนทำมาให้
รสชาติของอาหารเหมือนกับที่ท่านพ่อของเขาทำ ทำให้เขายิ่งมั่นใจว่าสูตรอาหารของท่านพ่อถูกขโมย
หลังจากที่ออกจากหอเทียนเซียง ผู้จัดการชุยก็ไปยังคฤหาสน์สกุลไป๋ ทั้งสองก็เช่ารถม้ากลับหมู่บ้าน
ระหว่างทาง อวี๋เฟิงอารมณ์ไม่ค่อยดีนัก
ทันใดนั้นเอง อวี๋หวั่นก็เอ่ยขึ้นว่า “ข้าไม่รู้มาก่อนว่าท่านลุงใหญ่ตั้งชื่อได้เก่งถึงเพียงนี้”
โดยเฉพาะ ‘หนึ่งใบไม้รู้สารท[1]’ ช่างถูกใจเธอเหลือเกิน
อวี๋เฟิงอยากบอกว่าท่านพ่อของเขาไม่รู้หนังสือ แต่หลังจากเข้าเมืองหลวง ก็ยังได้เก็บเกี่ยว
ประสบการณ์อยู่บ้าง ทว่ายังมิทันได้อ้าปากพูด รถม้าก็หยุดลงอย่างฉับพลัน
สารถีรถม้าร้องเสียงดังจากด้านนอก!
อวี๋เฟิงรีบแง้มม่านดู บนถนนมืดสลัวเส้นหนึ่ง ไม่รู้ว่ามีบุรุษกลุ่มหนึ่ง คาดผ้าปิดหน้า กำลังใช้ดาบสกัดรถม้าของพวกเขาอยู่
อวี๋เฟิงรู้สึกตื่นตระหนก “ใต้อาณัติของโอรสสวรรค์ ยังมีการปล้นอีกรึ?”
“ปล้น?” อวี๋หวั่นมองไปยังกลุ่มคนเหล่านั้น แล้วกล่าวว่า “หากต้องการทรัพย์สิน ข้าจะให้เงินพวกเจ้า หากต้องการสตรี ข้าจะไปกับพวกเจ้า ปล่อยพี่ใหญ่ข้าไป”
อวี๋เฟิงหน้าถอดสี “อาหวั่น!”
อวี๋หวั่นมิได้มองเขา สายตาของเธอจ้องเขม็งไปยังคนกลุ่มนั้น “ว่าอย่างไร?”
อีกฝ่ายมิได้สนใจสิ่งที่เธอพูด หนึ่งในนั้นโบกดาบพร้อมออกคำสั่ง “พวกเรา ขึ้นไป!”
“หะ…เหตุใดจึงเป็นเช่นนี้” หว่างคิ้วของอวี๋เฟิงขมวดเป็นปมแน่น
อวี๋หวั่นจ้องไปที่เขา “ไม่ใช่การปล้น ดูแล้วน่าจะเป็นการฆ่าปิดปากมากกว่า”
“…” อวี๋เฟิงยังมิทันได้ตอบสนองต่อสิ่งที่น้องสาวพูด กลุ่มคนเหล่านั้นก็กรูกันขึ้นมาพร้อมกับรังสีอำมหิต
สารถีตกใจกลัวจนวิ่งเตลิดไป!
บุรุษซึ่งปิดบังใบหน้ามิได้สนใจเขา เพียงแต่ขึ้นมา หมายวาดดาบใส่สองคนบนรถม้า!
อวี๋หวั่นยกเท้าขึ้นมาถีบข้อมือของเขา ทั้งคนทั้งดาบตกลงไปบนที่นั่งของสารถี จากนั้นเธอจึงคว้าข้อมือของอวี๋เฟิง แล้วกระโดดลงจากรถม้า!
พี่ใหญ่ วิ่งเร็ว!
สองพี่น้องมุ่งหน้าเข้าสู่เมืองหลวง
บุรุษสวมผ้าคลุมหน้าคว้าดาบวิ่งตามไป!
อวี๋เฟิงวิ่งสุดแรงเกิด แต่ก็อดหันไปมองด้านหลังไม่ได้ คนกลุ่มนั้นกำลังรุดตามมาอย่างดุร้าย ท่าทางประหนึ่งไม่ว่าอย่างไรก็ต้องเอาชีวิตของพวกเขาให้ได้ ในที่สุดอวี๋เฟิงก็รับรู้ได้ถึงความผิดปกติ
เขาเข้าเมืองหลวงมาไม่รู้กี่ปี เคยเจออันธพาลมามาก แต่ก็ไม่เคยพบพานกับกลุ่มที่บุกมาฆ่าอย่างอุกอาจเช่นนี้
“ทำไมพวกเขาต้องฆ่าเราด้วย” อวี๋เฟิงเอ่ยถามพลางหายใจหอบ
“พวกเราขวางลู่ทางหาเงินของพวกเขาน่ะสิ พี่ใหญ่” อวี๋หวั่นกล่าวด้วยสีหน้าเย็นเยียบ
“ขวางลู่ทางหาเงิน?” อวี๋เฟิงขมวดคิ้ว
อวี๋หวั่นจึงตอบว่า “พี่ใหญ่ยังไม่เข้าใจหรือ? หลังจากที่พวกเราเปิดโปงหอเทียนเซียง ก็มีคนมาตามฆ่าเรา พี่ใหญ่ไม่รู้สึกว่าบังเอิญไปหน่อยหรือ?”
“เจ้าหมายถึง…หอเทียนเซียงจะฆ่าพวกเรา?” หว่างคิ้วของอวี๋เฟิงขมวดจนดูคล้ายตัวอักษร ‘ชวน (川)’ แล้ว
พี่ใหญ่งี่เง่านี่ ปกติก็ฉลาดเสียไม่มี แต่ในสถานการณ์หน้าสิ่วหน้าขวานอย่างนี้กลับหลบคำว่า ‘สนิทสนม’ ไม่พ้น ที่เธอไม่ได้พูดไปให้ชัดๆ ก็เพราะหวังว่าพี่ใหญ่จะนึกออกได้ด้วยตนเอง
หอเทียนเซียงคงจะยังไม่รู้เรื่องนี้ และเพราะว่าไม่อาจให้หอเทียนเซียงล่วงรู้ พวกเขาจึงต้องตายสถานเดียว!
มีคนหนึ่งตามมาด้านหลัง
อวี๋หวั่นเอี้ยวตัว ยกไหในมือขึ้นมาแล้วทุ่มลงบนศีรษะของคนผู้นั้นอย่างแรง!
เขาล้มลงไป จึงก็ลุกขึ้นมาอย่างทุลักทุเล แต่กลับถูกกลิ่นเหม็นของเต้าหู้ในนั้นทำให้เป็นลมไป
ทว่าหนึ่งคนล้มไป ก็ยังมีอีกนับไม่ถ้วนที่ตามติดพวกเขามา เมื่อสองพี่น้องมีแรงกลับมา ชายสวมผ้าคลุมหน้าก็ตามมาใกล้ขึ้นเรื่อยๆ
………………………………….
[1] หนึ่งใบไม้รู้สารท หมายถึง ใบไม้ไหวเพียงใบเดียวก็สามารถรู้ได้ว่าลมแห่งสารทฤดูกำลังมา เปรียบเปรยว่าการความเคลื่อนไหวเพียงเล็กน้อยก็สามารถรับรู้ได้ถึงการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ได้