บทที่ 106 ศัตรูรวมตัว โดย Ink Stone_Romance

เมื่อได้ยินสิ่งที่ผู้จัดการชุยบอก หอเทียนเซียงดูเหมือนจะเป็นยักษ์ใหญ่ในวงการธุรกิจ แม้เธอจะรู้มาตลอดว่าลุงใหญ่เคยทำงานที่ภัตตาคารในเมืองหลวง แต่ก็มิได้คาดคิดเลยว่าจะเป็นภัตตาคารที่ยิ่งใหญ่ถึงเพียงนี้

ทว่าในตอนนี้ผู้จัดการชุยตกใจยิ่งกว่าอวี๋หวั่นเสียอีก “อะไรหรือ? พ่อครัวอวี๋เคยทำงานที่หอเทียนเซียงหรือ?”

อวี๋เฟิงถอนหายใจ “เคยทำอยู่สองปี”

ส…ส…ส…สวรรค์! ที่จริงแล้วพวกเขาก็เคยเชิญพ่อครัวจากหอเทียนเซียงมาที่คฤหาสน์สกุลไป๋หรือนี่?

ผู้จัดการชุยอยากจะเป็นลม

ยามที่คุณหนูไป๋บอกว่าจะจ่ายเงินห้าตำลึงเพื่อเชิญคนสกุลอวี๋มาทำต้มพะโล้ เขาก็ยังรู้สึกว่านางจ่ายเงินมากเกินไป พ่อครัวจากชนบท ต่อให้จะฝีมือดีเพียงใด แต่จ่ายเพียงตำลึงสองตำลึงก็พอแล้ว อย่างไรเสียก็มีวัตถุดิบเตรียมไว้ให้ พวกเขาเพียงลงแรงก็พอแล้ว

ทว่าบัดนี้ได้ยินฐานะของพ่อครัวใหญ่แห่งสกุลอวี๋ผู้นี้ ผู้จัดการชุยถึงกับเข่าทรุด

พ่อครัวของหอเทียนเซียง มีเงินไม่ถึงหนึ่งร้อยตำลึงก็เชิญไม่ได้!

แน่นอนว่าอวี๋หวั่นไม่รู้ถึงกิตติศัพท์อันยิ่งใหญ่ของหอเทียนเซียง แต่เธอก็รู้ว่าในโลกก่อนหน้านี้มีพ่อครัวแม่ครัวฝีมือเยี่ยม หั่นแฮมเพียงหนึ่งชั่วโมงก็ทำเงินได้ถึงสามแสนหยวน เทียบเป็นเงินประมาณสามสิบตำลึง ไม่รู้ว่าจริงหรือไม่ แต่อย่างน้อยนี่ก็เป็นข้อพิสูจน์ว่าพ่อครัวแม่ครัวฝีมือดี ไม่ว่าจะอยู่ในยุคสมัยใด ก็เป็นที่ต้องการตัว

หากหอเทียนเซียงที่ลุงใหญ่เคยทำงานนั้นยิ่งใหญ่อย่างที่ผู้จัดการชุยกล่าวจริง เช่นนั้นโอกาสที่จะสร้างชื่อเสียงให้กับเต้าหู้เหม็นของพวกเขาก็มีเพิ่ม

เต้าหู้ซึ่งพ่อครัวเทพจากหอเทียนเซียงหมักเองกับมือ…

แค่คิดก็รู้สึกว่าสุดยอดแล้ว!

นัยน์ตาของอวี๋หวั่นเป็นประกาย “พี่ใหญ่ พวกเราไปหอเทียนเซียงกันเถอะ”

“ตอนนี้หรือ?” อวี๋เฟิงชะงัก

อวี๋หวั่นพยักหน้า กระชับไหที่กอดเอาไว้ “หากคิดแล้วก็ต้องทำเลย อีกอย่าง พวกเราก็เอาของมาด้วยนี่”

นี่ออกจะกะทันหันไปสักหน่อย อวี๋เฟิงรู้สึกมึนงง ทันใดนั้นเอง ผู้จัดการชุยก็กล่าวขึ้นว่า “บังเอิญเหลือเกิน ข้าจะเข้าเมืองหลวงไปหาแม่นางพอดี! ข้าจะไปส่งพวกเจ้า!”

อวี๋หวั่น “…”

ไปหาแม่นาง[1]…

ทำไมฟังดูแปลกๆ …

……

หอเทียนเซียงเปิดกิจการมานับร้อยปี แต่มามีชื่อเสียงโด่งดังเมื่อไม่กี่ปีมานี้ ว่ากันว่าเจ้าของใหม่ยกเลิกระบบเก่า แล้วริเริ่มกิจการในขอบเขตที่กว้างขึ้น มีเจ็ดสาขานั้นเป็นเรื่องของปีที่แล้ว เพราะเมื่อเข้าไปยังเมืองหลวง ก็จะเห็นหอเทียนเซียงตั้งตระหง่านอยู่ใกล้กับประตูเมืองทางทิศใต้

“มีสาขาที่แปดแล้ว” ผู้จัดการชุยกล่าวพลางรู้สึกอิจฉามิได้ หอหยกขาวของพวกเขา ไม่มีแม้แต่คุณสมบัติมากพอที่จะเข้าไปเปิดกิจการในเมืองหลวง

บนรถม้า ผู้จัดการชุยยังชวนสองพี่น้องคุยอีกหลายเรื่อง “…พวกเจ้าเป็นเพื่อนกับคุณหนูไป๋ ข้าจะมองพวกเจ้าเป็นคนอื่นไปมิได้…”

ทำอย่างไรเขาก็ไม่ยอมรับหรอกว่าใบชาและภาพเขียนที่อวี๋หวั่นให้ไป ได้ถูกนำไปขายเป็นที่เรียบร้อย!

เมื่อได้ฟังสิ่งที่ผู้จัดการชุยอธิบาย ก็นับเป็นครั้งแรกที่อวี๋หวั่นได้ความรู้ใหม่เกี่ยวกับอาหารในต้าโจว

เดิมทีแม่นางตู้มีชื่อเสียงในหมู่ผู้คนทั่วไป แต่สำหรับผู้เชี่ยวชาญแล้ว นางมิได้รับความชื่นชมเท่าไรนัก

ที่แม่นางตู้มีชื่อเสียง หนึ่งก็เพราะนางเป็นสตรี ในปัจจุบันเอง แม่ครัวก็มิได้มีจำนวนมากเท่ากับพ่อครัว นับประสาอะไรกับในสมัยโบราณ ขอเพียงฝีมือการทำอาหารของแม่นางตู้มิได้ย่ำแย่จนกินไม่ได้ นางกล้าหาญที่จะยืนท่ามกลางหมู่บุรุษ ชื่อเสียงนี้ก็นับว่าเป็นสิ่งที่นางสมควรได้รับแล้ว

นอกจากนั้น แม่นางตู้เป็นแม่ครัวที่รูปร่างหน้าตาไม่เลว ผู้คนเคยชินกับการเห็นพ่อครัวหัวโตหูใหญ่ หน้ามันแผล็บ เมื่อได้มาเห็นแม่นางตู้ซึ่งงามประหนึ่งบุปผาชาติ จึงทำให้นางยิ่งเจิดจรัสในสายตาผู้คน

เหตุผลข้อสุดท้าย เป็นสิ่งที่ผู้จัดการชุยเน้นย้ำเป็นพิเศษ นั่นก็คือฝีมืออันโดดเด่นของแม่นางตู้

“โดดเด่นขนาดไหนหรือ? อยู่อันดับที่เท่าไรในหอเทียนเซียง” อวี๋หวั่นถาม

ผู้จัดการชุยขมวดคิ้วครุ่นคิด “ถ้าคิดคร่าวๆ ละก็ ประมาณสิบเอ็ดหรือสิบสองกระมัง”

ไม่ได้อยู่ในสิบอันดับแรกหรอกหรือ?!

อวี๋หวั่นยิ่งรู้สึกสนใจหอเทียนเซียงมากกว่าเดิม หากสามารถนำวัตถุดิบไปขายให้สถานที่เช่นนี้ โอกาสประสบความสำเร็จก็จะยิ่งมีเพิ่มขึ้นไม่ใช่หรือ?

ขณะที่ในใจของอวี๋หวั่นเปี่ยมล้นไปด้วยความตื่นเต้น อวี๋เฟิงกลับรู้สึกลังเล ทว่าเรื่องที่อวี๋หวั่นตัดสินใจไปแล้ว แม้แต่สวรรค์ก็ยังมิอาจเปลี่ยนแปลงได้

หอเทียนเซียงสาขาหลักตั้งอยู่บนถนนฉางอัน แต่พวกเขาสะดวกเดินทางไปยังสาขาย่อยบนถนนเสวียนอู่ซึ่งอยู่ระหว่างทางไปคฤหาสน์สกุลไป๋

ผูัจัดการชุยช่างเป็นคนดี เขาเดินเข้าไปด้านในภัตตาคารพร้อมกับสองพี่น้อง

เสมียนหนุ่มคนหนึ่งออกมาต้อนรับ

อวี๋หวั่นและอวี๋เฟิงแต่งกายมอซอ ผู้จัดการชุยกลับสวมชุดผ้าไหม สวมแหวนหยกที่นิ้วโป้ง และสวมสร้อยทอง บนใบหน้าของเขาดูประหนึ่งมีคำสามแปะเอาไว้ว่า ‘ข้ามีเงิน!’

อวี๋หวั่นมิได้รีบร้อนเสนอขายสินค้า แต่เธอเข้าไปด้านในเพื่อหาที่นั่ง “เสี่ยวเอ้อร์ ที่นี่มีอาหารอะไรบ้าง”

เสี่ยวเอ้อร์พูดชื่ออาหารมาเจ็ดแปดชนิดในรวดเดียว จากนั้นก็นำม้วนไม้ไผ่มาวางบนโต๊ะ เบื้องหน้าของทั้งสาม “รายการอาหารอยู่นี่ขอรับ”

นี่เป็นครั้งแรกที่อวี๋หวั่นได้เห็นเมนูอาหารที่ทำจากซี่ไม้ไผ่ ดูลักษณะคล้ายเซียมซีเช่นนี้ ด้านหน้าเป็นชื่ออาหาร ส่วนด้านหลังเป็นราคา ดูแหวกแนวทีเดียว

“อยากกินอะไรสั่งได้ตามสบาย มื้อนี้ข้าเลี้ยงเอง!” ผู้จัดการชุยกล่าวอย่างใจกว้าง

ในตอนแรกอวี๋หวั่นคิดว่า เดาจากนิสัยของอวี๋เฟิงแล้ว เขาจะต้องพูดว่า ‘จะให้ท่านเสียเงินได้อย่างไร’ แต่ผ่านไปสักพักก็ยังไม่ได้ยินปฏิกิริยาตอบสนองของอวี๋เฟิง เธอจึงหันไป และพบว่าอวี๋เฟิงกำลังจับจ้องอยู่ที่รายการอาหารในมือด้วยความตกตะลึง “มีอะไรหรือ พี่ใหญ่?”

อวี๋เฟิงไม่อยากจะเชื่อ “อาหารพวกนี้…”

ทว่ายังไม่ทันพูดจบ ก็ได้ยินเสียงฮือฮาดังมาจากหน้าร้าน

เสี่ยวเอ้อร์หันหน้าไปมอง แล้วกล่าวด้วยความตื่นเต้นว่า “พ่อครัวใหญ่มาแล้ว!”

ทั้งสามคนมองตามเสียงไป ก็เห็นบรรดาเสมียนซึ่งก่อนหน้านี้ประจำอยู่ในจุดของตน มารวมกันอยู่หน้าประตูร้าน ต้อนรับบุรุษวัยกลางคนท่าทางผึ่งผายผู้หนึ่งด้วยท่าทางพินอบพิเทา

รูปร่างของเขาอ้วนท้วนสมบูรณ์ พร้อมกับผิวที่อวบอิ่ม ลักษณะท่าทางโดดเด่น

ณ หอเทียนเซียงแห่งนี้ หากถูกเรียกว่าพ่อครัวใหญ่ นั่นก็หมายความว่าเป็นหัวหน้าพ่อครัวด้วย มิต้องสงสัยว่าเหตุใดเสมียนเหล่านี้จึงเชิดชูเขายิ่งนัก

เขาก้าวเท้าเข้ามาด้านในพร้อมด้วยผู้คนห้อมล้อมหน้าหลัง

อวี๋เฟิงยืนพรวดขึ้นมา “…ท่านลุงหยาง?”

อวี๋หวั่นและผู้จัดการชุยตะลึง เสี่ยวเอ้อร์ก็ตะลึงเช่นกัน

เจ้านี่เรียกใครกัน?

ท่านลุงหยาง? พ่อครัวใหญ่หยางหรือ?

เป็นไปไม่ได้หรอก!

บุรุษผู้นั้นได้ยินเสียงเรียก จึงชะงักไป แล้วหันไปมองยังอวี๋เฟิง

อวี๋เฟิงเห็นความแปลกหน้าบนใบหน้าที่เขาคุ้นเคย “ท่านลุงหยาง เป็นท่านจริงๆ…”

“เจ้านี่! อย่ามานับญาติมั่วซั่ว! นี่คือพ่อครัวใหญ่หยางแห่งหอเทียนเซียงเชียวนะ!” เสมียนคนหนึ่งตะโกนขึ้นอย่างไม่สบอารมณ์ท่ามกลางฝูงชนแน่นขนัด

พ่อครัวใหญ่หยางจ้องไปยังอวี๋เฟิงครู่หนึ่ง เขากะพริบตาเล็กน้อย แล้วจึงสาวเท้าไปข้างหน้า ท่ามกลางความตกใจอย่างหาที่สุดมิได้ของผู้คน เขาคว้ามือของอวี๋เฟิงด้วยความตื่นเต้น “เป็นหลานจริงหรือนี่? ไม่ได้พบกันนานหลายปี ข้าเกือบจำเจ้าไม่ได้เสียแล้ว!”

ใบหน้าของผู้จัดการชุยเต็มไปด้วยความมึนงง เกิดอะไรขึ้นกัน? มากินข้าวแล้วเจอญาติหรือนี่?

อวี๋หวั่นกะพริบตาปริบๆ มองไปยังอวี๋เฟิง

อวี๋เฟิงดูผ่อนคลายลงหลังจากที่รู้ว่าพ่อครัวใหญ่หยางจดจำเขาได้ เขากล่าวแนะนำ “ท่านลุงหยาง นี่คืออวี๋หวั่น น้องสาวข้า ส่วนนี่คือท่านลุงชุย”

คำว่า ‘ท่านลุงชุย’ ทำให้ผู้จัดการชุยถึงกับตะลึงงัน

พ่อครัวใหญ่หยางพยักหน้า มิได้ไต่ถามว่าผู้จัดการชุยเป็นมาอย่างไร เพียงแต่สายตาของเขาไปหยุดอยู่ที่อวี๋หวั่น “คนที่ก่อนหน้านี้…”

อวี๋เฟิงกระแอม “นางไปบ้านท่านยายมา”

“อ้อ” พ่อครัวใหญ่หยางมีสีหน้าคล้ายกับเข้าใจเรื่องราวขึ้นมา

 แม้ว่าอวี๋หวั่นยังไม่ค่อยเข้าใจเรื่องราว แต่ก็รู้ว่าเขาหมายถึงครั้นเธอหายตัวไป พ่อครัวใหญ่ท่านนี้ก็รู้เช่นกัน

อวี๋เฟิงมองไปยังอวี๋หวั่นแล้วกล่าวว่า “อาหวั่น ท่านลุงหยางเป็นเพื่อนกับท่านพ่อข้า ก่อนหน้านี้ท่านพ่อข้าได้รับบาดเจ็บ ไม่มีหมอรักษา เป็นท่านลุงหยางที่เชิญหมอมารักษาขาให้ท่านพ่อ ไม่เช่นนั้น ท่านพ่อข้าคงต้องตัดขาไปแล้ว”

อวี๋เฟิงกล่าวเช่นนี้ มิได้มีเจตนาจะกล่าวโทษอวี๋หวั่น เพียงแต่บอกเล่าให้เธอฟัง ครานั้นเมื่อพวกเขาหาหมอมารักษาไม่ได้ ก็เป็นพ่อครัวใหญ่หยางที่ยื่นมือเข้ามาช่วยเหลือ เพียงแต่ว่า พวกเขาได้พลาดช่วงเวลาที่เหมาะสมในการรักษาไปเสียแล้ว มิอาจรักษาให้หายสนิท แต่หากไม่รักษา ขาข้างนั้นคงเน่าเฟะจนสุดท้ายจำต้องตัดทิ้ง

นางเจียงไม่เคยเล่าเรื่องนี้ให้เธอฟัง ไม่แน่ว่านางเจียงเองก็อาจไม่รู้ หรือบางทีนางก็ไม่อยากให้เธอโทษตัวเองมากเกินไป

เมื่อรู้ว่าลุงใหญ่เกือบถูกตัดขา อวี๋หวั่นก็รู้สึกเสียวสันหลังวาบ

โชคดีที่บัดนี้เธออยู่ที่นี่แล้ว เธอจะพาลุงใหญ่ไปรักษาขาเอง!

พ่อครัวใหญ่หยางพาพวกเขาไปยังห้องห้องหนึ่งในหอเทียนเซียง เป็นห้องสำหรับพักผ่อน ภายในประดับประดาอย่างหรูหรา ห้องนี้ไม่ใช่ห้องนอน ดูเหมือนห้องหนังสือของบัณฑิตเสียมากกว่า

พ่อครัวใหญ่หยางให้เสี่ยวเอ้อร์ชงชาหลงจิ่งชั้นดีมาให้พวกเขา

“หลานชาย พวกเจ้ามาหอเทียนเซียงได้อย่างไร มาหาข้าหรือ? ท่านพ่อเจ้าเป็นอย่างไรบ้าง”

พ่อครัวใหญ่หยางเอ่ยถามอย่างเป็นกันเอง

อวี๋หวั่นแอบบ่นในใจ เรียกว่าหลานชาย ดูสนิทกันเหลือเกิน ทำไมไม่เคยเห็นไปเยี่ยมเยียนพวกเขาบ้างเลยล่ะ วันธรรมดายังพอว่า แต่ปีใหม่ก็ไม่ยักจะเห็น

 “พรุ่งนี้เป็นวันซั่งหยวนใช่หรือไม่? ข้ากำลังจะบอกว่า ข้าจะไปบ้านพวกเจ้า” พ่อครัวใหญ่หยางกล่าวกับอวี๋เฟิง

อวี๋หวั่นมองเขา

อวี๋เฟิงตอบด้วยความเคารพว่า “ท่านพ่อข้าสบายดี ลำบากท่านลุงหยางที่ต้องเป็นห่วง ท่านงานยุ่งเพียงนี้ ท่านมิจำเป็นต้องเดือดร้อน”

อวี๋หวั่นไม่เคยเห็นอวี๋เฟิงพูดกับใครด้วยความเคารพเช่นนี้มาก่อน ดูแล้ว เขาคงเคารพลุงหยางผู้นี้จากใจจริง

พ่อครัวใหญ่หยางกล่าวช้าๆ ว่า “อะไรกัน ปีก่อนมีพ่อครัวคนหนึ่งมือเจ็บ จนบัดนี้ก็ยังทำงานไม่ได้ ข้ายุ่งจนไม่ได้ขยับตัว ไม่เช่นนั้นข้าคงไม่ต้องรอจนเทศกาลซั่งหยวนแล้วค่อยไปหาพวกเจ้าหรอก”

“ไม่เป็นไรจริงๆ ท่านลุงหยาง เอ่อ ใช่สิ ท่านลุงหยาง” อยู่ๆ อวี๋เฟิงก็นึกเรื่องหนึ่งออกมาได้

“อะไรหรือ” พ่อครัวใหญ่หยางเอ่ยถามด้วยความสงสัย

อวี๋เฟิงกล่าวอย่างไม่ค่อยเข้าใจว่า “เมื่อครู่ข้าดูรายการอาหารของหอเทียนเซียง จึงพบว่ามีอาหารบางชนิดเหมือนกับอาหารที่ท่านพ่อข้าทำ”

พ่อครัวใหญ่หยางชะงักไป แล้วหัวเราะลั่น “อาหารก็ล้วนคล้ายกันมิใช่หรือ? หอเทียนเซียงของเรามีเนื้อตุ๋นน้ำแดง ภัตตาคารอื่นก็มีเหมือนกันนี่!”

อวี๋เฟิงขมวดคิ้ว “ท่านลุงหยาง ท่านไม่เข้าใจ อาหารเหล่านี้มิใช่อาหารดารดาษที่มีทุกร้าน หากแต่เป็นอาหารที่ท่านพ่อข้าคิดค้นขึ้น เขาไม่เคยทำข้างนอก”

……………………………………….

[1] หาแม่นาง เป็นคำแสลง หมายถึงไปหอคณิกา