บทที่ 105 หอเทียนเซียง โดย Ink Stone_Romance
หลังจากเข้าสู่ฤดูใบไม้ผลิ พืชพรรณบนเขาก็งอกงาม แม้แต่พืชป่า อวี๋หวั่นก็ค้นพบเพิ่มอีกหลายชนิด เพียงแต่วันนี้เพิ่งจะแทงยอดออกมา คงต้องรออีกหลายวันจึงจะสามารถขุดหน่อออกมาได้ อวี๋หวั่นจึงแอบจดจำตำแหน่งของพืชเหล่านี้เอาไว้
หากกล่าวถึงรสชาติ พืชเหล่านี้คงมิอาจเทียบกับผักใบเขียวที่ปลูกเอง ทว่าบัดนี้ที่นาของพวกเขาไม่เหลือแล้ว อีกทั้งพืชป่ามีคุณค่าทางอาหารสูง มีประโยชน์ต่อร่างกาย
หน่อไม้ในฤดูใบไม้ผลิยังเล็กอยู่ ดังนั้นอวี๋หวั่นจึงไปยังลำธารเล็ก แผ่นดินไหวมีผลกระทบต่อลักษณะทางภูมิประเทศของภูเขา แต่ก็ไม่นับว่ากระทบมากเท่าไรนัก
อวี๋หวั่นตกปลาในลำธารได้สามตัว สองในสามเป็นปลาตัวเล็ก เธอจึงปล่อยพวกมันไป และนำปลาตัวอ้วนกลับไปเพียงตัวเดียว
เธอเดินคิดระหว่างทางว่าจะนำปลาตัวนี้ไปทำอะไร แต่เมื่อเข้าไปยังลานหลังบ้าน ก็ได้ยินเสียงจากประตูหลังของบ้านข้างๆ
ผู้ที่เปิดประตูออกมาคือลุงวั่น
ลุงวั่นมีสีหน้าไม่ค่อยดีนัก ดอกโบตั๋นที่เขาประคบประหงมมาตลอดเหมันต์ฤดูนั้นถูกคนเด็ดไปเสียแล้ว ไม่ต้องเดาก็รู้ว่าเป็นฝีมือของตัวแสบทั้งสาม
“ลุงวั่น” อวี๋หวั่นเอ่ยทักทายอย่างสุภาพ
“แม่นางอวี๋” ลุงวั่นพยายามอดกลั้นความรู้สึกไม่พอใจเอาไว้ เขาชื่นชมอวี๋หวั่นจากใจจริง ไม่เพียงมีฝีมือการทำอาหาร จิตใจดี วิชาแพทย์ดี ทั้งยังอ่อนโยนและขยันขันแข็ง ทั้งยังสามารถรับมือกับคุณชายร้ายกาจและตัวแสบทั้งสาม สตรีเช่นนี้ช่างหาได้ยากยิ่ง!
อวี๋หวั่นรู้สึกกระดากใจที่จะบอกลุงวั่นว่าเป็นฝีมือของเด็กน้อยทั้งสาม จึงกล่าวว่า “ข้าตกปลามา พวกท่านนำไปต้มน้ำแกงเถิด”
นอกจากนั้น อวี๋หวั่นก็ยังหยิบหน่อไม้ออกมาจากตะกร้า “หน่อไม้นี้ไม่ใหญ่เท่าไร แต่ว่าสดใหม่ ต้มกับปลาบำรุงร่างกาย”
“เกรงใจเหลือเกิน” ลุงวั่นบอกปัด
อวี๋หวั่นกล่าวว่า “ไม่ใช่ของแพงอะไร บนเขายังมีอีกมาก”
“เช่นนั้นข้าก็จะไม่เกรงใจแล้ว” ลุงวั่นหัวเราะน้อยๆ พลางกล่าว “แม่นางอวี๋มานั่งสักหน่อยเถิด”
อวี๋หวั่นส่ายหน้า “ไม่เป็นไร ข้าต้องไปทำงาน”
นี่มิใช่การเสียมารยาทแต่อย่างใด ถั่วเหลืองแช่จนได้ที่แล้ว จะต้องเริ่มงานแล้ว
ลุงวั่นเองก็รู้ว่าอวี๋หวั่นงานยุ่ง จึงมิได้เอ่ยปากรั้งให้เธออยู่ เขากล่าวขอบคุณ หลังจากที่อวี๋หวั่นกลับไป เขาก็หยิบปลาจี้อวี๋ตัวอวบอ้วนหมายจะเดินเข้าห้องครัว
เมื่อหันหลังกลับไป ก็ถูกเยี่ยนจิ่วเฉาซึ่งโผล่มาเมื่อไรก็ไม่รู้ทำให้ตกใจจนสะดุ้งโหยง!
“คุณชาย! ไยท่านไม่นอนอยู่ในห้องเล่า? ออกมาทำไม?”
เยี่ยนจิ่วเฉายืนโดยใช้ไม้เท้าพยุง แต่รอบกายก็ยังแผ่รังสีแห่งอำนาจออกมา เขาใช้สายตาอันเย็นเยีบบมองไปยังลุงวั่น “นางมาแอบฟังเรื่องของข้าหรือ?”
“เอ๋…”
นางมิได้เอ่ยถึงท่านเลยแม้แต้คำเดียว…
เยี่ยนจิ่วเฉาแค่นเสียง ‘หึ’ แล้วกล่าวว่า “นางเอาเปรียบข้าทั้งคืน จะคิดเป็นอื่นไปได้อย่างไร?”
ลุงวั่นแทบจะเป็นลม
นางมิได้เห็นว่าท่านแข้งขาไม่ดีหรอกหรือ จึงจูงมือท่าน พยุงท่านจากฝั่งตะวันออกไปยังฝั่งตะวันตกของหมู่บ้าน นางมีใจพาคนบาดเจ็บกลับบ้าน พูดอย่างกับว่าถูกนางทำมิดีมีร้าย…
จะหน้าไม่อายกระไรเพียงนี้?
…
อวี๋หวั่นไม่รู้เลยว่าการที่ตนนำอาหารซึ่งเก็บมาจากในป่าไปให้เด็กน้อยทั้งสามกิน จะทำให้เยี่ยนจิ่วเฉาคิดไปได้ถึงเพียงนั้น บัดนี้เธอง่วนอยู่กับการต้มน้ำถั่วเหลืองในบ้านเดิมสกุลอวี๋
ในหมู่บ้านมีโม่หินทั้งหมดสามชุด บัดนี้ถูกใช้จนครบแล้ว น้ำถั่วเหลืองค่อยๆ ไหลออกมา
บุรุษร่างกายกำยำทั้งสาม ได้แก่ ซวนจื่อ อวี๋เฟิง และนายพราน ต่างช่วยกันดันโม่หิน ป้าจางและป้าไป๋ต่างช่วยกันใส่ถั่วเหลืองและรองน้ำถั่วเหลือง
ชุ่นฮวาและสตรีอีกจำนวนหนึ่งในหมู่บ้านต่างก็มิได้นั่งๆ นอนๆ อวี๋หวั่นมอบหมายให้พวกนางตักน้ำถั่วเหลืองที่เพิ่งขึ้นจากหม้อ และเทลงในถังที่เตรียมเอาไว้
การทำเต้าหู้มิใช่เรื่องง่าย มิเช่นนั้นคงไม่มีคำกล่าวที่ว่า บนโลกนี้มีความยากลำบากสามชนิด ได้แก่ การถ่อเรือ การตีเหล็ก และการขายเต้าหู้
ถั่วเหลืองทุกถุงที่จะนำมาทำเต้าหู้ ล้วนต้องนำไปแช่น้ำสามสี่ชั่วโมง แช่จนเมล็ดพองขึ้นสองถึงสามเท่า
หลังจากที่แช่น้ำแล้วก็จะนำไปบด หลังจากที่คั้นน้ำออกมาแล้ว ก็จะนำไปต้มด้วยไฟแรงจนเดือด ตั้งแต่เริ่มแรกจนถึงขั้นตอนนี้ ล้วนนับว่าเป็นงานง่าย ทว่าหลังจากที่ต้มขึ้นมาแล้ว และทำให้ของเหลวแข็งตัว จักต้องใช้ความชำนาญอีกระดับหนึ่ง
ทำได้ดี ก็ได้ก้อนเต้าหู้ หากทำไม่ดี ก็ได้เพียงน้ำเต้าหู้
วิธีทำให้เต้าหู้แข็งตัวนั้นเป็นตัวตัดสินคุณภาพของเต้าหู้ วัตถุดิบที่ใช้ทำนั้นเป็นตัวตัดสินปริมาณเต้าหู้
โดยทั่วไปแล้ว เต้าหู้เน่ยจื่อนับว่าเป็นเต้าหู้คุณภาพดีที่สุด ถั่วเหลืองหนึ่งจินสามารถทำเต้าหู้ได้สี่จิน นอกจากนั้นก็จะมีเต้าหู้สือเกาและเต้าหู้หลู่สุ่ย ได้ประมาณสองจินครึ่งถึงสามสี่จิน
เพียงแต่น่าเสียดายที่ในสมัยโบราณไม่มีเต้าหู้เน่ยจื่อ เต้าหู้สือเกาก็ไม่นับว่าเป็นที่แพร่หลายในหมู่ชาวบ้าน เต้าหู้หลู่สุ่ยนับว่าเป็นตัวเลือกที่ดีที่สุด เดิมทีอวี๋หวั่นคิดว่าจะทำเต้าหู้เหยียนหลู่ แต่เมื่อได้ชิมเต้าหู้ซวนเจี้ยงที่ลุงใหญ่ทำขึ้นมาใหม่ เธอจึงตัดสินใช้ซวนเจี้ยงมาทำเต้าหู้
ซวนเจี้ยงก็คือน้ำถั่วเหลืองที่คั้นออกมาเมื่อวาน หลังจากที่หมักเอาไว้ก็จะเปรี้ยวขึ้น หลังจากที่แข็งเป็นเต้าหู้ จะได้ปริมาณน้อยกว่าเต้าหู้หลู่สุ่ยประมาณครึ่งจิน ทว่าเต้าหู้ประเภทนี้จะแข็งและมีรสสัมผัสที่เข้มข้นกว่าเต้าหู้หลู่สุ่ย ได้กลิ่นดั้งเดิมของเต้าหู้ที่หอมกว่า ในขณะเดียวกันก็จำเป็นต้องใช้วิธีการที่ซับซ้อนกว่า
“หากเจ้าต้องการเช่นนั้น…” ณ หลังบ้าน อวี๋เฟิงกำลังสอนซวนจื่อทำเต้าหู้อย่างใจเย็น
ชาวบ้านกำลังช่วยกันขนฟืน เต้าหู้ที่คนสกุลอวี๋ต้องช่วยกันทำถึงสามวัน บัดนี้คนในหมู่บ้านได้ช่วยกันทำจนเสร็จภายในวันเดียว หลังจากนี้ก็จำต้องรอหมักเต้าหู้ จึงจะสามารถทำเต้าหู้เหม็นและเต้าหู้ยี้ได้
“อาหวั่น” หลังจากงานเสร็จ อวี๋เฟิงก็เรียกอวี๋หวั่น
อวี๋หวั่นนำเต้าหู้ก้อนสุดท้ายบรรจุลงในไห “มีอะไรหรือ พี่ใหญ่”
“ข้ามีเรื่องอยากจะพูดกับเจ้าสักหน่อย”
“เกี่ยวกับปริมาณของใช่ไหม?”
“เจ้าก็รู้หรือ?”
“อื้ม” อวี๋หวั่นพยักหน้า “ใบจองอาหารที่พวกเราได้รับ พวกเราทำไม่ไหว คนทั้งหมู่บ้านมาช่วยก็ยังไม่พอ”
กล่าวง่ายๆ ก็คือ พวกเขาไม่สามารถจ้างแรงงานมากถึงเพียงนี้ มิเช่นนั้นพวกเขาก็จะขาดทุน
ขาดทุนเพียงวันสองวันนั้นมิใช่เรื่องใหญ่ แต่หากขาดทุนเป็นเวลานาน ไม่ช้าก็เร็วพวกเขาก็คงจะสิ้นเนื้อประดาตัว
อวี๋หวั่นครุ่นคิด แล้วกล่าวว่า “ทางที่ดีพวกเราต้องขยายตลาด พรุ่งนี้พี่ใหญ่เข้าไปในตำบลกับข้า”
“ได้” ในตอนแรกอวี๋เฟิงก็วิตกว่าอวี๋หวั่นจะลดจำนวนแรงงาน กระนั้นเมื่อได้ยินเธอบอกว่าจะขยายตลาด เขาก็ลอบถอนหายใจด้วยความโล่งอก “ข้าจะพาเจ้ากลับบ้าน”
ทั้งสองเดินออกจากบ้านเดิม
อวี๋หวั่นนึกบางสิ่งออก จึงเอ่ยขึ้นว่า “พี่รองเป็นอย่างไรบ้าง ข้าไม่เห็นเขามาทั้งวัน”
อวี๋เฟิงขมวดคิ้ว “เขาน่ะหรือ ไม่รู้ไปหงุดหงิดอะไรมา แม้แต่กินข้าวก็ยังเอาไปกินในห้อง”
“ใช่สิ” ครานี้เป็นอวี๋เฟิงที่ถามขึ้นก่อน “ได้ยินว่าเพื่อนบ้านของเจ้าที่ย้ายมาใหม่เป็นบัณฑิต”
วันที่มีปากเสียงกับหมู่บ้านซิ่งฮวา คนสกุลอวี๋กลับไปบ้านเกิดของป้าสะใภ้ใหญ่ วันนี้เขาเพิ่งจะได้ยินชาวบ้านเอ่ยถึงระหว่างทำงาน มิเช่นนั้นอวี๋เฟิงก็คงไม่รู้ว่าในหมู่บ้านมีคุณชายผู้เก่งกาจเช่นนี้ย้ายเข้ามา
อวี๋หวั่นคิดในใจว่า คุณชายอะไรกันล่ะ? ก็เป็นแค่เศรษฐีจอมงี่เง่าเท่านั้นเอง
…
เช้าตรู่วันต่อมา อวี๋หวั่นและอวี๋เฟิงนำเต้าหู้เหม็นและเต้าหู้ยี้สองไหเข้าไปในตำบล
ตลาดนอกตัวตำบลยังไม่เปิด ทว่าตลาดในตำบลเปิดแล้ว เป็นดังที่อวี๋เฟิงกล่าว เนื่องจากกิจการของสกุลสวี่ ราคาสินค้าจึงถูกควบคุมให้คงที่ได้
สองพี่น้องเดินวนรอบตลาด สังเกตสังกาพ่อค้าแม่ขายและบรรดาลูกค้า ทว่ายังไม่รู้สึกว่ามีสิ่งใดที่ตรงกับความต้องการของพวกเขา
“หากขายเกลือได้ก็คงจะดี” อวี๋เฟิงกล่าวขึ้นอย่างไม่รู้เนื้อรู้ตัว
เกลือนั้นขายได้ราคาดี พวกเขารู้วิธีทำให้เกลือฝาดทั่วไปกลายเป็นเกลือเกล็ดหิมะขาวชั้นดี เช่นนี้ แม้พวกเขาจะมิได้ผลิตออกมามาก แต่ก็จะทำเงินได้ไม่น้อย
อวี๋หวั่นหัวเราะ “ไม่ใช่ทุกคนที่จะปิดปากได้สนิทเหมือนคุณหนูไป๋”
นี่เป็นความจริงที่ต้องยอมรับ ในต้าโจว การลักลอบขายเกลือนั้นเป็นเรื่องผิดกฎหมาย หากแพร่งพรายออกไป พวกเขาทั้งบ้านคงต้องถูกส่งเข้าคุกเป็นแน่
อวี๋เฟิงถอนหายใจ “ข้าก็พูดไปอย่างนั้นเอง”
“แม่นางอวี๋! ”
ทันทีที่ทั้งสองได้ยินเสียงที่คุ้นเคย ก็หันหลังไปพร้อมกัน พวกเขาเห็นผู้จัดการชุยกระโดดลงมาจากรถม้าซึ่งจอดอย่างฉับพลัน
ผู้จัดการชุยกล่าวด้วยความตื่นเต้นว่า “พวกเจ้าจริงๆ ด้วย! ข้านึกว่าจำคนผิดเสียอีก! น้องอวี๋เฟิงก็มาด้วยหรือกหรือ!”
“ผู้จัดการชุย” ทั้งสองเอ่ยทักทาย
“พวกเจ้าจะไปไหนหรือ ให้ข้าไปส่ง” ผู้จัดการชุยกล่าว
อวี๋หวั่นยิ้มพลางส่ายหน้า “พวกเราเพียงแค่มาหาลู่ทางขายเต้าหู้เหม็นในตัวตำบล”
ผู้จัดการชุยกล่าวว่า “เต้าหู้เหม็นบ้านพวกเจ้าขายไม่ออกหรืออย่างไร? คุณชายห้าสกุลเซียวบอกว่าเต้าหู้ของพวกเจ้าทำไม่พอขายนี่นา!”
อวี๋หวั่นตอบว่า “ตอนนี้ทำมากกว่าเดิมแล้ว”
“ทำมากกว่าเดิม…มากแค่ไหนเล่า?” ผู้จัดการชุยถามต่อ
อวี๋หวั่นทำมือบอกปริมาณ
ผู้จัดการชุยอึ้งจนไม่รู้จะตอบว่าอย่างไร
เดิมทีเขาจะบอกว่า พวกเจ้านำสินค้ามาขายให้หอหยกขาวก็ได้ ช่วงนี้หอหยกขาวกิจการเฟื่องฟู แต่เมื่อเห็นปริมาณสินค้าของบ้านสกุลอวี๋ เขาก็ถึงกับพูดไม่ออก ภัตตาคารในตำบลเล็กๆ มิได้ต้องการสินค้าจำนวนมากถึงเพียงนั้น
“คิดออกแล้ว!” เขาตบหน้าตัก “พวกเจ้านำไปขายที่หอเทียนเซียงได้! ”
หอเทียนเซียงเป็นภัตตาคารที่ใหญ่ที่สุดในเมืองหลวง มีทั้งหมดเจ็ดสาขา นอกจากกิจการภัตตาคารแล้ว พวกเขาก็ยังมีธุรกิจอยู่ตามเมืองต่างๆ ในต้าโจวอีก
หากได้ขายสินค้าให้หอเทียนเซียง ก็ไม่จำเป็นต้องกังวลเรื่องเงินอีกต่อไป
“เพียงแต่…”
“เพียงแต่อะไรหรือ?” อวี๋หวั่นเอ่ยถาม
ผู้จัดการชุยกล่าว “พวกเขาช่างเลือกสรรวัตถุดิบ แม้ว่าข้าจะเชื่อมั่นในฝีมือการทำอาหารของพวกเจ้า แต่ว่า…คงเคยได้ยินชื่อแม่นางตู้กระมัง? ฝีมือของนางเป็นหนึ่งในใต้หล้า แล้วพวกเจ้ารู้หรือไม่ว่าฝีมือของนางได้รับการสืบทอดมาจากหอเทียนเซียง?”
แม่นางตู้มีชื่อเสียงโด่งดัง สถานที่ที่แม่นางตู้ทำอาหาร จักต้องเป็นสถานที่เลิศหรูเพียงใดกัน
อวี๋หวั่นพยักหน้า และเหลือบไปเห็นสีหน้าคร่ำเครียดของอวี๋เฟิง “พี่ใหญ่ เป็นอะไรหรือ”
อวี๋เฟิงมีสีหน้าซับซ้อน เขากล่าวว่า “ภัตตาคารที่ท่านพ่อข้าเคยทำงาน ก็คือหอเทียนเซียง”
………………………………………