บทที่ 104 มัจจุราชทั้งสาม โดย Ink Stone_Romance
อวี๋เฟิงและซวนจื่อกลับมาเร็วพอสมควร ทั้งสองซื้อถั่วเหลืองมาสองร้อยจิน เดิมทีต้องการซื้อมามากกว่านั้น แต่น่าเสียดายที่พวกเขาไปช้า เหลือถั่วเหลืองอยู่เพียงสองร้อยจิน
ตั้งแต่โบราณกาล เมื่อเกิดภัยพิบัติ สิ่งแรกที่ตามมาคือทุพภิกขภัย สองคือราคาสินค้าสูงขึ้น
แผ่นดินไหวในครั้งนี้นับว่ายังมีผู้บาดเจ็บและเสียชีวิตไม่มาก โอกาสเกิดโรคระบาดจึงต่ำ อย่างไรก็ตาม บ้านเรือนและไร่นาได้รับความเสียหายค่อนข้างมาก ราคาพืชพรรณธัญญาหารจึงมีราคาสูงขึ้นตามไปด้วย
ทว่ากลับเหนือความคาดหมาย สินค้าราคาสูงขึ้นก็จริง แต่ก็ถูกควบคุมได้อย่างรวดเร็ว
“เอ๋? ทำไมถึงเป็นอย่างนี้?” อวี๋หวั่นเอ่ยถามอย่างไม่เข้าใจ พลางช่วยซวนจื่อลากหลัวใส่ถั่วเหลือง “ราชสำนักเปิดคลังเสบียงหรือ?”
อวี๋เฟิงยกหลัวใบใหญ่ลงจากเกวียน “มิใช่คนจากราชสำนัก หากแต่เป็นคนของพระสนมสวี่ ธุรกิจของญาติฝั่งมารดาของนางขนส่งสินค้าไปตามพื้นที่ต่างๆ เพื่อควบคุมราคาสินค้า”
พระสนมสวี่ที่อวี๋เฟิงกล่าวถึงนั้น มีตำแหน่งเป็นเสียนเฟย สนมลำดับที่สี่ซึ่งได้รับความสำคัญจากโอรสสวรรค์
หากกล่าวถึงความโปรดปรานจากฮ่องเต้ สวี่เสียนเฟยมิอาจเทียบผู้งดงามเป็นหนึ่งในวังหลวงอย่างหวั่นเจาอี๋ หากแต่นางถือตราประทับแทนฮองเฮา ครองความเป็นใหญ่ในบรรดาสนม
โอรสของนางคือองค์ชายวัยผู้ใหญ่และองค์หญิงวัยเยาว์
องค์ชายใหญ่โอรสของฮองเฮาไร้วิชาความรู้ เล่ากันว่า องค์ชายรอง โอรสของสวี่เสียนเฟยมีความเป็นได้ว่าจะได้สืบทอดบัลลังก์มากกว่า
“คุณชายสวี่…สวี่เฟย” อวี๋หวั่นคล้ายกับนึกบางสิ่งออก
“มีอะไรหรือ?” อวี๋เฟิงถาม แต่อวี๋หวั่นยังมิทันได้ตอบ อวี๋เฟิงก็พูดต่อว่า “เกือบลืมถามเจ้า คนที่ชุยเฒ่าพามาตรวจเป็นอย่างไรบ้าง”
“ตรวจเสร็จแล้ว” อวี๋หวั่นชะงักไปและกล่าวต่อ “คุณชายคนนั้นแซ่สวี่ เขาคงจะเป็นคนสกุลสวี่?”
คนสกุลสวี่มีมาก ใต้หล้ามีคนสกุลสวี่นับไม่ถ้วน เพียงแต่เธอคิดว่าลักษณะท่าทางของคุณชายสวี่ผู้นี้ช่างแตกต่าง ไม่เหมือนกับคุณชายจากสกุลเศรษฐีทั่วไป จึงถามออกไปเช่นนั้น
อย่างไรก็ตาม นี่ก็มิใช่ธุระกงการอะไรของเธอ เขาเป็นโอรสของสวี่เสียนเฟยแล้วอย่างไร? เธอจะทำอะไรเขาได้?
อวี๋หวั่นเลิกขบคิดเกี่ยวกับสถานะของอีกฝ่าย และนำถั่วไปแช่น้ำที่หลังบ้าน
……
ในคุกใต้ดินอันมืดมิด ไร้ซึ่งแสงตะวัน
เสียงครูดของโซ่ตรวนดังขึ้น พร้อมกับเสียงทุ้มต่ำของผู้คุม “เกาหย่วน มีคนมาหา!”
เกาหย่วนซึ่งนั่งหลับหลังพิงกำแพง ค่อยๆ ลืมตาขึ้น
แสงจากคบเพลิงเล็ดลอดเข้ามา เกาหย่วนมิได้เห็นแสงมานาน ดวงตามิอาจสู้แสงสว่าง จำต้องยกมือขึ้นมาป้อง
เพียงชั่วลัดนิ้วมือเดียวก็มีคนผู้หนึ่งวิ่งปราดเข้ามา
“ท่านปู่!”
เป็นฉีหลิน
เกาหย่วนลดมือลงวางไว้บนหน้าผาก เอ่ยถามเขาด้วยความแปลกใจ “เจ้ามาได้อย่างไร”
เกาหย่วนถูกฝ่าบาทส่งเข้าคุกในวัดต้าหลี่ด้วยพระองค์เอง หากไม่มีพระบัญชาจากฝ่าบาท วัดต้าหลี่ก็มิอาจให้ผู้ใดเข้ามาได้
สิบกว่าวันที่ผ่านมา ฉีหลินคิดหาวิธีไม่รู้เท่าไร วิ่งเต้นหาความช่วยเหลือไปทั่ว จะเหลือก็แต่เพียงไปจวนคุณชายเยี่ยนอะไรนั่น ทว่าสิ่งที่ฉีหลินมิได้คาดการณ์เอาไว้ก็คือ ระหว่างทางไปจวนของเยี่ยนจิ่วเฉา ก็พบกับคนของเสียนเฟยเข้า
ฉีหลินคุกเข่าข้างเดียว แล้วนำกล่องอาหารวางไว้กับพื้น “เป็นเสียนเฟยที่ขอร้องแทนข้า นางขอร้องให้ฝ่าบาทรับสั่งให้ข้ามาหาท่านปู่ได้ตั้งแต่วันนี้”
“เสียนเฟยหรือ…” เกาหย่วนครุ่นคิด ไม่ได้ยินชื่อนี้มานาน มิอาจนึกใบหน้านั้นออก
ฉีหลินมองไปยังห้องขังโสโครก แล้วมองไปยังท่านปู่ซึ่งสภาพย่ำแย่ เขาปวดใจจนขอบตาแดงก่ำ “ท่านปู่ เหตุใดฝ่าบาทจึงขังท่านไว้เช่นนี้ ท่านทำความผิดอันใดหรือ?”
เกาหย่วนมิได้ตอบ เขาเพียงแต่ถอนหายใจอย่างหมดหวัง
เมื่อฉีหลินเห็นว่าท่านปู่ไม่อยากตอบ ก็ไม่ได้ซักไซ้ต่อ เขาหยิบอาหารและขนมในกล่องออกมา “ข้าได้ยินว่าอาหารในคุกไม่อร่อย จึงให้คนในจวนทำอาหารที่ท่านชอบมาให้ ท่านรีบกินเสียตอนที่ยังร้อน”
เกาหยวนมองไปยังขนมเกาลัดและน้ำแกงปริมาณสำหรับสามที่ตรงหน้า ทันทีที่เขายกตะเกียบขึ้น ก็นึกบางสิ่งออก จึงเอ่ยถามฉีหลินว่า “เสียนเฟย…เสียนเฟยแซ่เจิงหรือเสียนเฟยแซ่สวี่หรือ?”
ฉีหลินมองหน้าเขา “แน่นอนเสียนเฟยแซ่สวี่สิขอรับท่านปู่! ท่านเคยสอนโอรสของนาง แม้แต่แซ่ของนาง ท่านก็ลืมเสียแล้วหรือ?”
เกาหยวนกดหว่างคิ้วของตน “ข้าเลอะเลือนเอง เสียนเฟยแซ่เจินนั้นเป็นเรื่องสิบปีให้หลัง”
ฉีหลินกล่าวแกมบ่น “ท่านปู่ ท่านพูดอะไรอีกแล้วก็ไม่รู้”
เกาหย่วนหัวเราะแห้ง
ฉีหลินตักน้ำแกงให้พลางกล่าวว่า “ท่านปู่ เสียนเฟยดีกับข้าเช่นนี้ เป็นเพราะนางอยากให้ท่านหนุนหลังองค์ชายรองหรือไม่?”
“หนุนหลังไม่ไหวหรอก” เกาหย่วนกล่าว
“ทำไมหรือขอรับ? ท่านปู่ไม่ชอบองค์ชายรองหรือ?” ฉีหลินถามด้วยความสงสัย
เกาหย่วนสายหัว
มิใช่ไม่ชอบ แต่ตรงกันข้าม องค์ชายรองมีพรสวรรค์ เป็นเลิศทั้งบู๊และบุ๋น อีกทั้งยังมีจิตใจเปี่ยมไปด้วยความรักชาติและประชาชน หากได้ขึ้นครองบัลลังก์ จักต้องเป็นยุคที่รุ่งเรืองเป็นแน่
ทว่าน่าเสียดาย องค์ชายองค์นี้ยังมิทันได้ขึ้นครองราชย์ก็ถูกปลงพระชนม์เสียแล้ว
มิได้สิ้นใจด้วยน้ำมือของพี่น้อง และก็มิได้สิ้นใจด้วยน้ำมือของเยี่ยนจิ่วเฉา หากแต่ถูกปลิดชีพด้วยคมกระบี่ของมัจจุราชทั้งสาม
เกาหย่วนก็เพิ่งรู้เช่นกันว่ามัจจุราชซึ่งล้างราชสำนักด้วยโลหิตทั้งสามนี้ เป็นญาติสนิทของเยี่ยนจิ่วเฉาซึ่งพลัดพรากกันไปหลายปี
…..
ต้องแช่ถั่วเหลืองข้ามคืน อวี๋หวั่นไม่มีอะไรทำ จึงตัดสินใจไปขึ้นเขาไปแสวงโชค
เธอกลับเข้าไปในบ้าน หยิบเบ็ดตกปลาและจอบ พร้อมตะกร้าสะพายหลัง แต่ไหนเลยจะรู้ว่าทันทีที่ออกจากประตูหลัง ก็พบกับเด็กน้อยทั้งสามที่มาหาเธอ
หลังจากที่อวี๋หวั่นไม่ได้สนใจตัวอักษรของพวกเขา ทั้งสามก็ไม่คัดตัวอักษรอีก และเปลี่ยนเป็นให้ดอกไม้แก่เธอแทน
ดอกไม้เหล่านี้เป็นดอกไม้ที่ลุงวั่นสั่งให้อิ่งลิ่วย้ายเข้ามาปลูกประดับลานหลังบ้าน
ลุงวั่นดูแลดอกไม้เหล่านี้เป็นอย่างดีมาตลอดฤดูหนาว แต่ละดอกมูลค่ามหาศาล
เด็กทั้งสามกลับมิได้ลังเลที่จะเด็ดดอกที่บานสะพรั่งและสีสดสวยที่สุดออกมา
ทั้งสามยื่นดอกไม้ที่เด็ดมาให้อวี๋หวั่น
อวี๋หวั่นไม่รู้เสียด้วยซ้ำว่าดอกไม้นี้มีมูลค่าเท่าไร แต่เมื่อเห็นความตั้งใจของทั้งสาม เธอจึงรับดอกไม้มาด้วยความปีติ
ไม่เคยคิดเลยว่าดอกไม้ที่ได้รับครั้งแรก จะมาจากเด็กสามคน
“พวกเจ้าตัวเล็กแค่นี้ก็รู้หรือว่าผู้หญิงชอบดอกไม้ โตขึ้นจะเป็นอย่างไรนี่”
อวี๋หวั่นหรี่ตาพลางกล่าว หอมแก้มพวกเขาคนละฟอด
ทั้งสามเขินจนหน้าแดง
………………………………………..