บทที่ 103 บุญคุณ โดย Ink Stone_Romance
ทันใดนั้นเอง เถี่ยตั้นน้อยก็จูงมือเจินเจินวิ่งเตาะแตะๆ เข้ามา
“ท่านพี่ ท่านพี่! ดูสิข้าเก็บอะไรได้!”
เสียงใสดังกังวานของเถี่ยตั้นน้อยกลบเสียงของบุรุษผู้นั้นไปหมด
อวี๋หวั่นไม่ได้ยินที่เขากล่าว
เถี่ยตั้นน้อยจูงน้องสาวเข้ามาในบ้าน เมื่อเขาแบมืออีกข้างหนึ่งออก ก็มีหินก้อนกลมใสวาววับสีเหลือง “ท่านพี่ ท่านดูสิว่านี่คืออัญมณีใช่หรือไม่? มีค่ามากเลยใช่หรือไม่?”
เด็กคนนี้ รู้จักอัญมณีเสียด้วย ไม่รู้ว่าไปฟังจากที่ไหนมา
น่าเสียดาย ที่มันเป็นเพียงก้อนกรวดสุดแสนจะธรรมดาก้อนหนึ่งเท่านั้น
อวี๋หวั่นรู้สึกตื่นเต้นทุกครั้งที่เถี่ยตั้นได้เรียนรู้สิ่งใหม่ๆ ความรู้สึกเช่นนี้คล้ายกับคนเป็นพ่อเป็นแม่ ทว่าในทั้งสอง
โลกของเธอล้วนไม่เคยมีลูก เธอไม่รู้ว่าสัญชาตญาณของความเป็นแม่นั้นมีอยู่ในผู้หญิงทุกคนจริงหรือไม่
“ในกระเป๋าของเจินเจินมีอีกเยอะเลย ใช่หรือไม่ เจินเจิน!” เถี่ยตั้นน้อยเขย่ามือของเจินเจิน
เจินเจินตัวน้อยพยักหน้า แล้วใช้มือที่ยังว่างอยู่เปิดกระเป๋า ด้านในมีก้อนหินหลากหลายสีสันอยู่จำนวนหนึ่ง
ในที่สุดอวี๋หวั่นก็เข้าใจเจตนาของเถี่ยตั้น เจินเจินถูกกัวเซี่ยนเฉี่ยวรังแก จึงรู้สึกขลาดกลัว ไม่กล้าออกจากบ้าน เถี่ยตั้นน้อยจึงคิดหาวิธีมาปลอบให้นางออกไปข้างนอก
“นางหรือ?”
บุรุษซึ่งสวมหมวกสานคลุมใบหน้าโพล่งขึ้นจากด้านหน้า
เจินเจินโตช้า นางตัวเท่าเด็กอายุสองขวบ
เด็กทั้งสองไม่เข้าใจคำพูดของบุรุษผู้นั้น เพียงแต่หันไปมองเขาพร้อมกัน
เขาสวมอาภรณ์สีดำ ท่าทางเย็นชา เจินเจินรู้สึกกลัว จึงหลบไปอยู่ด้านหลังพี่เถี่ยตั้น
เถี่ยตั้นน้อยยืดตัวตรง “ไม่ต้องกลัว พี่จะปกป้องเจ้าเอง!”
อวี๋หวั่นถูกคำพูดที่ว่า ‘นางหรือ’ ทำให้รู้สึกมึนงง ผู้ชายคนนี้พูดอะไรวกๆ วนๆ
“เจ้าหรือ?”
“หรือว่านาง?”
อะไรกันนี่?!
อวี๋หวั่นไม่ได้พูดประโยคนี้ออกไป กระนั้นก็ยังไม่สามารถประติดประต่อสิ่งที่เขาพูดได้เช่นกัน ทว่าในเมื่อเด็กทั้งสองมาแล้ว อวี๋หวั่นจึงแนะนำพวกเขาสักหน่อย “น้องชายและน้องสาวของข้า”
เมื่อพูดจบ ก็ให้ทั้งสองกล่าวทักทาย รับก้อนหินมา แล้วให้พวกเขาออกไปหาหินต่อ
ในห้องจึงเหลือเพียงพวกเขาสามคนและก้อนอ้วนกลมซึ่งนอนขี้เซาอยู่ในกรง
อวี๋หวั่นหยิบผ้าฝ้ายและพู่กันออกมา กล่าวพลางเขียนใบสั่งยาว่า “คุณชายสวี่ ท่านรู้จักข้าหรือ?”
เขามองสายตาที่ใช้มองประหนึ่งคนแปลกหน้าของอวี๋หวั่น แล้วค่อยๆ เบนสายตาหลบ “ข้าจำคนผิด”
“อ้อ” อวี๋หวั่นพยักหน้า มิได้เอะใจ แล้วก้มหน้าเขียนใบสั่งยาต่อ
ขณะที่เธอกำลังลังเลว่าจะส่งใบสั่งยาให้ใครดี เขาก็กล่าวว่า “เจ้าเคยไปซันไหวถิงหรือไม่?”
อวี๋หวั่นเอ่ยถามว่า “ซันไหวถิงคือที่ไหนหรือ?”
ความหวังเส้นสุดท้ายที่เคยปรากฏอยู่ในดวงตาของบุรุษผู้นี้พลันอันตรธานไปทันที เขารับใบสั่งยามาจากอวี๋หวั่น ถือกรงแล้วกล่าวอำลา
ขณะที่เขากำลังปิดกรงอยู่นั้น เจ้าก้อนอ้วนกลมก็กระโดดออกมา แล้วพุ่งเข้าหาอ้อมอกของอวี๋หวั่น
เขาตกตะลึงไปครู่หนึ่ง
เขามิได้คาดคิดว่าเจ้าตัวเล็กที่ไม่เคยสนใจใยดีผู้ใด จะกระโดดเข้าหาดรุณีบ้านนอกผู้ซึ่งเคยพบหน้ากันเพียงครั้งเดียวเช่นนี้
เจ้าแมวอ้วนกลมไม่ยอมไปไหน แต่นั่นจะโทษมันก็หาได้ไม่
เขาตบกรงเบาๆ “เข้ามา”
ก้อนอ้วนเงยหน้าขึ้นฟ้า
หึ!
“จะให้ข้าใช้ไม้แข็งรึ?” บุรุษผู้นั้นขู่
เจ้าก้อนอ้วนชูกรงเล็บขึ้นมา แยกเขี้ยวยิงฟัน!
อวี๋หวั่นลูบหลังของมันอย่างเบามือ แล้วกล่าวว่า “เอาละ ต้องกลับแล้ว อีกห้าวันค่อยมาติดตามอาการอีกครั้ง”
ประโยคสุดท้ายบอกกับบุรุษผู้นั้น
เขาตอบ ‘อืม’ ในลำคอ “เข้าใจแล้ว”
เจ้าก้อนอ้วนกลมกระโดดออกมาอย่างไม่ค่อยเต็มใจเท่าไรนัก แล้วไปเกาะยังกรงซึ่งวางอยู่บนโต๊ะ
บุรุษเปิดกรงออก
เจ้าแมวก็ข้าไปในตะกร้าอย่างไม่สบอารมณ์
เมื่อเข้าไปแล้ว มันก็ขู่ฟ่อ แล้วกัดซี่กรง
จะเรียกว่ามันระเบิดโทสะก็ย่อมได้!
บุรุษผู้นั้นยกกรงออกไป
ชุยเฒ่าติดตามไปส่งเขายังรถม้าซึ่งจอดเอาไว้ห่างจากหมู่บ้านสองหลี่
“ฝ่าบาท เชิญ” ชุยเฒ่าเลิกม่านให้เขา
บุรุษผู้นั้นก้าวเท้าขึ้นไปบนรถม้า หลังจากที่นั่งลง เขาก็นำตะกร้ามาวางไว้ข้างกาย
ชุยเฒ่ามองแต่มิได้กล่าวอะไร ในใจทึกทักว่าเขาไม่พอใจตน แต่เมื่อคิดไปคิดมาก็ไม่ยักจำได้ว่าตนทำสิ่งใดผิด
พลาดไป จึงกล่าวไปว่า “ฝ่าบาทโปรดวางใจ ในเมื่อข้ารับปากไปแล้วว่าจะไม่รักษา ย่อมต้องคำไหนคำนั้น”
บุรุษผู้นี้มิได้ฟังสิ่งที่เขาพูดแม้แต่น้อย เขาเพียงกล่าวด้วยน้ำเสียงราบเรียบว่า “เด็กสาวสกุลอวี๋ผู้นั้นเป็นมาอย่างไร”
ชุยเฒ่าคิดว่าเขาสงสัยในวิชาแพทย์ของอวี๋หวั่น จึงอธิบายว่า “แม่นางอวี๋เป็นคนหมู่บ้านเหลียนฮวา บิดาเป็นคนในหมู่บ้าน ส่วนมารดาแต่งเข้ามาจากที่อื่น นางมีท่านยายอยู่ที่เมืองหนานเทียน นางร่ำเรียนวิชาสัตวแพทย์มาจากบ้านของท่านยาย น่าจะ…ประมาณสองปีก่อนเห็นจะได้”
“สองปีก่อนหรือ?” เขาพึมพำ แต่เพียงชั่วประเดี๋ยวเดียวก็ส่ายหัวอย่างสิ้นหวัง “เมืองหนานเทียนและซันไหวถิงนั้นไกลกันมาก”
“ฝ่าบาทท่านว่าอย่างไรหรือ?” ชุยเฒ่าได้ยินไม่ชัด
“ไม่มีอะไร” เขาเอ่ยตอบด้วยสีหน้าเยือกเย็น “ทำหน้าที่ของเจ้าให้ดี ชีวิตของเจ้าข้าให้ได้ แต่ข้าก็เอาชีวิตเจ้าเมื่อไรก็ได้เช่นกัน!”
“พ่ะย่ะค่ะ” ชุยเฒ่าค้อมคำนับอย่างนบนอบ
บุรุษผู้นั้นปิดม่านลง
สารถีตวัดแส้ม้าในมือ รถม้าเคลื่อนออกไป
ร่างโงนเงนของบุรุษผู้นี้ถูกปกคลุมท่ามกลางความมืด เขาค่อยๆ หลับตาลง ปล่อยให้ความคิดโบยบินไปยังสองปีก่อน
ราตรีที่พายุฝนโหมกระหน่ำ บนร่างของเขาเต็มไปด้วยบาดแผล นอนหายใจรวยรินอยู่บนพื้น โลหิตแดงฉานระคนไปกับโคลน
สตรีตั้งครรภ์ผู้หนึ่งเดินถือร่มกระดาษเข้ามา “ตรงนี้มีคน”
“แม่นาง อย่าไป!” สาวใช้อายุอานามประมาณห้าสิบปีวิ่งตามมา
“ท่านยาย ท่านดูสิ เขายังมีชีวิตอยู่!” นางนั่งยองลงอย่างยากลำบาก แล้วนำร่มมากางเหนือศีรษะของเขา
ดวงตาคู่นั้นของนางดูไร้เดียงสา
ยังเยาว์วัย ทว่ากลับตั้งครรภ์แล้ว
ฮูหยินผู้นี้เรียกนางว่าแม่นาง…
เรื่องราวหลังจากนั้น เขาแทบจำไม่ได้เลย
เขาหมดสติไป เมื่อตื่นมาก็พบว่าตนนอนอยู่ในห้องนั่งสมาธิในวัดแห่งหนึ่ง แต่สาวใช้และดรุณีผู้นั้นที่พาเขามาที่นี่กลับหายตัวไปแล้ว
……………………………………..