บทที่ 102 ค่ารักษาแสนแพง โดย Ink Stone_Romance
เมื่อได้ยินว่าอวี๋หวั่นจะเก็บค่ารักษา ชุยเฒ่ากลับถอนหายใจอย่างโล่งอก
บุรุษที่เขาเรียกว่า ‘เพื่อน’ ผู้นี้ มิใช่คนมัธยัสถ์แต่อย่างใด
เขาแค่นเสียงอย่างเหยียดหยาม
เสียงนั้นเบามาก แต่ก็ไม่อาจรอดพ้นการได้ยินของอวี๋หวั่น
อวี๋หวั่นมิได้ยี่หระว่าเขาจะมองว่าเธอเป็นชาวบ้านต่ำต้อยที่เห็นเงินแล้วตาโต เขาจะคิดอย่างไรก็เป็นเรื่องของเขา เพราะสิ่งที่เธอสนใจก็คือเงิน
อวี๋หวั่นหันไปมองอวี๋เฟิง “พี่ใหญ่ พวกท่านไปก่อนเลย เดี๋ยวข้าตามไป”
อวี๋เฟิงส่ายหน้า “ไม่ต้องหรอก เจ้าอยู่บ้านเถิด ข้ากับซวนจื่อไปก็พอแล้ว”
ซวนจื่อยืดอก รีบกัดหมั่นโถวนม แล้วกล่าวด้วยความมึนงงว่า “อาหวั่นวางใจเถอะ! ข้าจะต้องพาพี่เฟิงไปซื้อถั่วกลับมาให้ได้!”
อวี๋หวั่นผงกศีรษะพลางยิ้มน้อยๆ “ลำบากเจ้าแล้ว!”
“เรื่องเล็ก!” ซวนจื่อยัดหมั่นโถวชิ้นสุดท้ายเข้าปาก
อวี๋หวั่นส่งถุงใส่หมั่นโถวให้ทั้งสองคน “ไว้กินระหว่างทาง”
ซวนจื่อเหลือบไปมองอวี๋เฟิง แล้วรับถุงนั้นมา
“พวกท่านตามข้ามา”
ประโยคนี้ เธอพูดกับชุยเฒ่าและบุรุษผู้นั้น
ทั้งสองเดินตามอวี๋หวั่นไป
อวี๋หวั่นเดินไปยังลานหน้าบ้านของตน เธอกำลังคิดว่าตนควรเปิดร้านขายยาเองจะดีหรือไม่…
นางเจียง เถี่ยตั้นน้อย และเจินเจินไปกินข้าวที่บ้านเดิม ในบ้านจึงไม่มีใครอยู่ แม้ว่าบ้านของเธอจะดูซอมซ่อ แต่ทุกซอกทุกมุมล้วนเก็บกวาดจนสะอาดเอี่ยม
อวี๋หวั่นชี้ไปยังโต๊ะในโถงกลางของบ้าน “วางกรงไว้ตรงนั้น”
บุรุษผู้นี้ชะงักไปครู่หนึ่ง จากนั้นก็ทำตามที่เธอบอก
เมื่ออวี๋หวั่นแง้มผ้าสีดำซึ่งใช้คลุมตะกร้าออก ก็พบว่าข้างในมีแมวสีขาวปลอดตัวหนึ่ง มันตัวไม่ใหญ่ ดวงตาข้างซ้ายสีเขียวมรกต ข้างขวาสีฟ้าคราม มองแล้วคล้ายกับแมวเปอร์เซียที่เธอเคยเห็นในโลกก่อนหน้า เพียงแต่ขนของมันมิได้ยาวเท่าขนแมวเปอร์เซีย
จากประสบการณ์ของอวี๋หวั่น เธอไม่อาจระบุได้ว่าเป็นแมวพันธุ์ใด
แต่นั่นก็มิได้มีผลต่อการรักษาของอวี๋หวั่น
อวี๋หวั่นเปิดตะกร้าออก ยื่นมือเข้าไปอุ้มเจ้าก้อนกลมสีขาวออกมา
บุรุษซึ่งยืนอยู่ด้านข้างจ้องไปยังมือของเธอ ริมฝีปากบางเผยอเล็กน้อย ราวกับว่าจะบอกบางสิ่งกับเธอ แต่สุดท้ายแล้วก็มิได้กล่าวอะไรออกมา
อวี๋หวั่นอุ้มเจ้าก้อนอ้วนออกมา
“เมี้ยว~” เจ้าก้อนกลมนอนบนแขนของอวี๋หวั่น และถูกับอกของเธอ จากนั้นก็ร้อง ‘เมี้ยว’ อย่างสบายใจ
ชุยเฒ่าไม่รู้จักแมวตัวนี้ เขาจึงไม่รู้ว่านอกจากเจ้าของแล้ว มันจะไม่เข้าใกล้ผู้ใดเลย ดังนั้นเขาจึงมิได้รู้สึกว่าการที่แมวตัวนี้เชื่องกับอวี๋หวั่นนั้นเป็นเรื่องแปลก
ทว่านัยน์ตาของบุรุษอีกคนหนึ่งกลับเต็มไปด้วยความประหลาดใจ
แต่แล้วอย่างไรเล่า แม้แต่หมอหลวงยังไร้ซึ่งหนทางรักษา หากเด็กบ้านนอกคนนี้รักษาได้ก็มหัศจรรย์แล้ว
เจ้าก้อนอ้วนตัวไม่ใหญ่นัก แต่เมื่ออุ้มแล้วรู้สึกหนักพอสมควร
หลังจากที่อวี๋หวั่นตรวจอาการเรียบร้อยแล้ว เธอก็เหงื่อแตกพลั่ก
“เป็นอย่างไรบ้าง มีตรงไหนผิดปกติหรือ?” ชุยเฒ่าเอ่ยถามอย่างร้อนรน
อวี๋หวั่นลูบขนแมว “ผิดปกติหลายจุด หากจะให้ข้ารักษาจริง ค่ารักษาก็คงเพิ่มอีกเท่าตัว”
ชุยเฒ่ามุมปากกระตุก ครั้งก่อนเจ้ารักษาวัวของซวนจื่อยังไม่คิดเงินสักแดงเดียว บัดนี้กลับคิดค่ารักษาแสนแพง จะไม่ใจร้ายไปหน่อยหรือ…
บุรุษผู้นั้นหยิบเงินหยวนเป่า[1]ออกมาจากอกเสื้อ แล้ววางลงบนโต๊ะอย่างเย็นชา “หากรักษาสำเร็จ มันก็เป็นของเจ้า หากรักษาไม่สำเร็จ…”
ประโยคด้านหลังเขามิได้กล่าวต่อ แต่ชุยเฒ่ากลับรู้สึกสั่นสะท้านไปทั้งตัว
อวี๋หวั่นเห็นท่าทางประหลาดของชุยเฒ่าจากหางตา เธอก็แอบตั้งคำถามในใจว่าผู้ชายคนนี้แท้จริงแล้วเป็นใครกันแน่ ทำไมจึงรู้จักกับชุยเฒ่า และทำไมจึงวุ่นวายถึงเพียงนี้
ดูจากท่าทีของเขาแล้ว เธอคงจะต้องรักษาให้หาย หรือไม่ก็คงต้องตาย
อย่างนั้นจะโทษที่เธอเรียกราคาสูงไม่ได้หรอกนะ!
“ท่านออกจะให้เงินน้อยเกินไปสักหน่อย ใช้เงินเพียงเท่านี้จ่ายให้หมอเทวดาอย่างข้าหรือ?”
หมอ(รักษาสัตว์)เทวดา
อวี๋หวั่นแอบเติมคำในใจ
อวี๋หวั่นได้ยินเสียงเขาเค้นกำปั้นดัง ‘กร็อบ’
ตึง!
เขาหยิบก้อนทองหยวนเป่าออกมาสองก้อน
นี่เป็นเงินมูลค่ามากที่สุดที่อวี๋หวั่นเคยเห็นในสมัยโบราณ หนึ่งก้อนหนักห้าตำลึง รวมกันก็เท่ากับสิบตำลึง
ทองสิบตำลึงเชียวนะ…
เงินจำนวนนี้เพียงพอสำหรับค่ารักษาขาของลุงใหญ่ และยังเพียงพอสำหรับกิจการใหม่ๆ ของเธอ
“ตกลงมันเป็นอะไรหรือ แม่นางอวี๋” ชุยเฒ่าสนใจเพียงอาการป่วยของแมว
อวี๋หวั่นตอบว่า “เป็นปอดบวมและผื่นคัน”
เจ้าแมวทั้งไอ มีไข้ และหายใจไม่คล่อง ชุยเฒ่าพอจะเดาออกว่ามันเป็นปอดปวม ทว่าผื่นคันนี่…
ชุยเฒ่าลูบเครา “แม่นางอวี๋รู้ได้อย่างไร”
อวี๋หวั่นเลิกขนตามรยางค์และหลังของมัน “ท่านดู ตรงนี้ ตรงนี้ แล้วก็ตรงนี้ขนร่วงไปมาก นั่นหมายความว่าที่ผิวหนังมีผื่นเม็ดๆ เป็นหย่อมๆ เมื่อถูกกัดและเกาบ่อยครั้ง ก็จะตกสะเก็ด นี่เป็นสัญญาณของผื่นคันจากการแพ้”
ชุยเฒ่าเข้าใจทันที
“มีวิธีรักษาหรือไม่?” เขาเอ่ยถาม
อวี๋หวั่นพยักหน้า “เสอฉวงจื่อ[2]หกเฉียน ขู่เซิน[3]สิบสองเฉียน พริกฮวาเจียวสามเฉียน สารส้มสามเฉียน นำไปต้มกับน้ำน้อยๆ แล้วคั้นน้ำออกมา ทาบริเวณที่เป็นแผลเช้าเย็น”
“แล้ว…ปอดบวมเล่า” ชุยเฒ่าซักไซ้
อวี๋หวั่นลูบขนก้อนอ้วนกลมในอ้อมแขน “เรื่องนั้นไม่ยาก ต้าชิงเกิน[4]หนึ่งเฉียน ถิงลี่จื่อ[5] ชะเอม เจี๋ยเกิ่ง[6] และเจ้อเป้ยหมู่[7]อย่างละครึ่งเฉียน ต้มแล้วคั้นน้ำ ผสมกับน้ำผึ้งยี่สิบเฉียน แบ่งกินวันละหนึ่งตำรับ สามถึงห้าวันก็จะเห็นผล”
ชุยเฒ่าได้สติหลังจากขบคิดอยู่นาน เขาต่อยกำปั้นเข้ากับกลางฝ่ามือแล้วกล่าวว่า “เยี่ยม เยี่ยม เยี่ยม!”
คำว่า ‘เยี่ยม’ สามคำติดต่อกันนี้ ทำให้บุรุษตรงหน้าจำต้องจ้องมองไปยังดรุณีน้อยชาวบ้านผู้นี้
เมื่อมิได้มองก็มิได้สังเกต แต่เมื่อมอง เขากลับรู้สึกกระตุกไปทั้งร่าง
“เป็นเจ้ารึ?”
บุรุษผู้นี้โพล่งขึ้นมา
อวี๋หวั่นหรี่ตา แล้วมองไปยังบุรุษผู้ซึ่งสวมหมวกสานและผ้าปิดหน้า “ท่านรู้จักข้า?”
เขามิได้ตอบคำถาม แต่สายตากลับเบนลงต่ำจนไปหยุดที่หน้าท้องแบนราบของอวี๋หวั่น เขาขมวดคิ้ว “ลูกของเจ้าเล่า?”
…………………………………….
[1] หยวนเป่า เงินตำลึงสมัยจีนโบราณชนิดหนึ่ง มีปลายยาวแหลมสองข้าง ตรงกลางกลมนูนขึ้นมาคล้ายเรือ
[2] เสอฉวงจื่อ หรือจั่วฉึ่งจี้ สรรพคุณบำรุงไต ฆ่าเชื้อ แก้คัน
[3] ขู่เซิน หรือโสมขม สรรพคุณลดไข้ ถอนพิษ และรักษาโรคผิวหนังบางชนิด
[4] ต้าชิงเกิน สรรพคุณลดไข้ ถอนพิษ และขับร้อน
[5] ถิงลี่จื่อ หรือเต็งเล็กจี้ สรรพคุณแก้ไอ แก้หอบ ขับน้ำ ลดบวม และดับร้อนในปอด
[6] เจี๋ยเกิ่ง หรือกิกเก้ สรรพคุณแก้ลมปราณปอดติดขัด ละลายเสมหะ แก้ไอและอาการเจ็บคอ
[7] เจ้อเป้ยหมู่ สรรพคุณละลายเสมหะและขับร้อน