บทที่ 101 การค้ามาเยือน โดย Ink Stone_Romance
สองสามีภรรยาสกุลกัวมิได้คาดคิดว่าสถานการณ์จะกลับกลายเป็นเช่นนี้ คนผู้นี้ใช่พี่เขยผู้โง่งมที่ชอบประจบประแจงพวกเขา ทำดีกับพวกเขา เกรงกลัวพวกเขาจริงๆ หรือ?
ไม่ใช่แล้ว!
ลุงใหญ่กลับมิได้สนใจว่าคนสกุลกัวจะตกตะลึงพรึงเพริด เขาหันไปกล่าวเสียงเบากับอวี๋หวั่นว่า “เจ้าไม่เป็นไรใช่หรือไม่ มือเจ็บหรือเปล่า…”
กรามล่างของสองสามีภรรยาแทบจะร่วงลงกับพื้น มิใช่ว่าเขาต้องเป็นห่วงว่าเฉี่ยวเอ่อร์จะเป็นอย่างไรหรอกหรือ? ไฉนจึงกังวลว่าเด็กนั่นมือเจ็บหรือไม่เล่า!
ลุงใหญ่พลันรู้สึกอึดอัด เขามองไปยังฝูงชนโดยรอบ ทุกคนล้วนมีสีหน้าประหนึ่งกำลังชมการแสดง ใบหน้าของสองสามีภรรยาสกุลกัวร้อนผ่าว ทั้งอับอายทั้งประหม่า
สุดท้ายแล้ว ทั้งสองจำต้องจูงกัวเซี่ยนเฉี่ยวออกไป
แต่แน่นอนว่าเรื่องมิได้จบเพียงเท่านี้ พวกเขาตรงไปหาป้าสะใภ้ใหญ่
พวกเขารู้ว่าพี่สาวคนโตผู้นี้เป็นใหญ่ในบ้านสกุลอวี๋ แม้ว่าพี่สาวจะไม่เข้าข้างเขา ทว่าพี่เขยตีบุตรชายของตนเอง และเข้าข้างเด็กคนอื่น พี่ใหญ่เองก็คงต้องรู้สึกโมโหอยู่บ้างกระมัง?
นอกจากนั้นแล้ว เรื่องในวันนี้มิใช่ความผิดของพวกเขา อย่างน้อยก็หลังจากที่นางเด็กโสโครกนั่นลงไม้ลงมือ
เมื่อคิดสะระตะเรียบร้อยแล้ว ก็เพียงพอที่จะทำให้อวี๋ไคหยางและเด็กนั่นชดใช้ความผิดได้!
ระหว่างทางกลับไปบ้านเดิม กัวต้าโย่วก็ได้เตรียมบทพูดเอาไว้เรียบร้อยแล้ว แต่ไหนเลยจะรู้ว่าทันทีที่เข้าบ้านไป พวกเขายังมิทันได้อ้าปากกล่าวอะไร ก็เห็นป้าสะใภ้ใหญ่ชี้นิ้วไปยังกล่องสัมภาระในโถงกลางบ้าน “เก็บของเสร็จเรียบร้อยแล้ว พวกเจ้าดูเสียอีกรอบว่ามีอะไรตกหล่นหรือไม่”
กัวต้าโย่ว “?!”
สองสามีภรรยา คนหนึ่งหน้าแดงก่ำ อีกคนหนึ่งหน้าขาวซีด พี่สาวและพี่เขยของเขา คนหนึ่งไล่ อีกคนหนึ่งก็เก็บของของพวกเขาทันที!
กัวต้าโย่วมีชีวิตอยู่มาหลายสิบปี บัดนี้รู้สึกราวกับว่าทัศนคติต่อการใช้ชีวิตของเขากลับตาลปัตรไปหมด!
เดิมทีตู้จินฮวาซึ่งยืนอยู่ด้านข้างคิดจะหัวเราะเยาะสักสองที แต่บัดนี้กลับตกใจกลัวไปเสียอย่างนั้น
หากกล่าวว่าพี่เขยเพียงขู่ให้พวกเขากลัว เช่นนี้พี่สาวคนโตผู้นี้ก็ทำให้พวกเขาต้องหอบผ้าหอบผ่อนออกจากบ้านไป
ต้องขอบคุณกัวเซี่ยนเฉี่ยว เดิมทีสกุลกัวเดินยกหางเข้ามา คิดจะสำแดงอำนาจเป็นเวลาหนึ่งเดือน ทว่ามาอยู่ได้เพียงสองวันก็เกิดเรื่องเสียแล้ว
การจัดการปัญหาเช่นนี้ สกุลอวี๋เชี่ยวชาญยิ่งนัก
หลังจากที่ฝูงชนแยกย้ายกันไปแล้ว อวี๋หวั่นก็พาเจินเจินและเถี่ยตั้นน้อยกลับบ้านของตน อวี๋เฟิงก็ตามไปด้วย
อวี๋หวั่นตรวจร่างกายของทั้งสองโดยละเอียด เจินเจินล้มลงไปหลายครั้ง ก้นจึงมีรอยเขียวช้ำเล็กน้อย ที่เหลือก็ไม่เป็นอะไรมาก ส่วนเถี่ยตั้นน้อยนั้น เขาเป็นคนลงไปสู้กับกัวเซี่ยนเฉี่ยว ที่ลำคอของเขาจึงมีรอยจิกของกัวเซี่ยนเฉี่ยว และมีแผลถลอกที่มือ
แน่นอนว่าอาการของกัวเซี่ยนเฉี่ยวก็มิได้ดีไปกว่าเถี่ยตั้นน้อย เขาดึงผมของนางจนแหว่ง ทั้งยังพุ่งชนนางประหนึ่งลูกกระสุนจนนางล้มหงายหลังลงไป ยังไม่นับเรื่องน่าขายหน้าเรื่องอื่นๆ
อวี๋หวั่นให้เจินเจินกินขนมกุ้ยฮวา เจินเจินก็กินอย่างมีความสุข
จากนั้น อวี๋หวั่นก็ใช้ยาสำหรับรักษาบาดแผลที่ลุงวั่นให้มา ทาให้เถี่ยตั้นน้อย เขาเป็นเพียงแผลถลอก ไม่จำเป็นต้องเย็บ ทายาจินชวงบางๆ ก็เพียงพอแล้ว
อวี๋หวั่นหยิบยาจินชวงออกมาทาให้เถี่ยตั้นน้อยพลางกล่าวว่า “นางตัวใหญ่ เจ้าสู้นางไม่ได้หรอก”
เถี่ยตั้นน้อยยืดอกแล้วกล่าวว่า “ใครบอก รอข้าอีกสองปี ข้าก็โตแล้ว…”
“ตอนนี้เจ้ายังเรียกว่าไม่โตอีกหรือ?” อวี๋หวั่นกล่าวตัดบทได้อย่างแทงใจดำ
คนที่ช่างจำนรรจา บัดนี้กล่าวอะไรไม่ออกไปเสียแล้ว
อวี๋หวั่นกล่าวอย่างจริงจังว่า “จากนี้อย่าไปสู้กับใครอีก เข้าใจไหม?”
อวี๋เฟิงลอบถอนหายใจด้วยความโล่งอก นี่สิจึงเป็นสิ่งที่พี่สาวคนโตควรพูด
วินาทีต่อมา อวี๋หวั่นก็กล่าวขึ้นว่า “เจ้าจงมาเรียกพี่ไปจัดการ!”
“…” อวี๋เฟิงขนลุกไปทั้งตัว สอนเด็กให้ดีๆ หน่อยไม่ได้หรืออย่างไร?
……
สายถึงเพียงนี้ พวกเขาลืมเรื่องซื้อของไปเสียสนิท แม้ว่าจะมีชาวบ้านมาช่วย และสามารถทำเต้าหู้เองได้ กระนั้นก็ยังต้องใช้วัตถุดิบ
จวบจนเมื่อผู้ใหญ่บ้านมาถามว่าจะเริ่มงานเมื่อไร ทั้งสองจึงนึกได้ว่าต้องไปซื้อของ
“กินข้าวก่อนแล้วค่อยไปเถอะ!” ลุงใหญ่กล่าว
อวี๋หวั่นหยิบหมั่นโถวร้อนๆ “สายแล้ว ข้ากลัวจะหาซื้อถั่วไม่ได้”
“หยิบไปเพิ่มอีกสักหน่อย” ลุงใหญ่เปิดถุงสะอาดสำหรับใส่อาหารออก แล้วหยิบหมั่นโถวหอมฉุยใส่ลงในถุง หมั่นโถวเหล่านี้ทำจากหน้านม เมื่อกินเข้าไปจะไม่หวานจนเลี่ยน แต่กลับมีความมันและหอมกลิ่นนม
ซวนจื่อนำเกวียนมารอหน้าบ้านอยู่ก่อนแล้ว
อวี๋หวั่นเดินออกไป แล้วหยิบหมั่นโถวนมลูกหนึ่งออกมาจากถุง “เจ้ายังไม่ได้กินข้าวใช่ไหม?”
ซวนจื่อเกาหัวอย่างลำบากใจ
“เอานี่ไป” อวี๋หวั่นส่งหมั่นโถวใส่มือซวนจื่อ แล้วหันหลังไป “พี่ใหญ่!”
“มาแล้ว” อวี๋เฟิงยกหลัวใหญ่และถุงผ้าออกมา แล้วจึงยกขึ้นวางบนเกวียน
ซวนจื่อกัดหมั่นโถวเข้าปาก กลิ่นหอมๆ ของนมละลายไปทั่วทั้งปาก อร่อยจนตกละลึง
“ยืนงงอะไร ไปเร็ว!” อวี๋เฟิงผลักเข้าที่ด้านหลังศีรษะของเขา
ซวนจื่อเดินจูงวัวไป กินหมั่นโถวไป เกวียนค่อยๆ เคลื่อนตัวไปยังทางเข้าหมู่บ้าน
ทว่าสุดท้ายแล้วอวี๋หวั่นก็ไม่ได้ไปในตำบล พวกเขาพบกับชุยเฒ่าซึ่งไม่ได้เห็นหน้ากันมานานนมที่ทางเข้าหมู่บ้านพอดี มีบุรุษร่างกำยำผู้หนึ่งอยู่ด้านหลังของชุยเฒ่า
บุรุษผู้นี้สวมเสื้อคลุมสีดำ ใส่หมวกสานซึ่งปิดบังใบหน้าของเขาแทบทั้งหมด
ในมือของเขาถือกล่องซึ่งใช้ผ้าสีดำห่อเอาไว้
ที่แท้ชุยเฒ่าก็มาหาอวี๋หวั่น
“แม่นางอวี๋ คุณชายท่านนี้เป็นเพื่อนของข้า เจ้าตัวน้อยที่เขาเลี้ยงเอาไว้ป่วยเสียแล้ว ข้าได้ยินว่าเจ้ารักษาวัวได้ใช่ไหม? ช่วยดูมันให้หน่อยได้หรือไม่?” ใบหน้าของชุยเฒ่าเต็มไปด้วยความคาดหวัง
เพื่อน?
อวี๋หวั่นเหลือบมองคุณชายผู้นี้
เขาไม่ได้มองเธอแม้แต่น้อย
ชุยเฒ่ากระแอม “แม่นางอวี๋”
อวี๋หวั่นจึงตอบว่า “แต่ข้าต้องคิดเงินค่ารักษา มิใช่ถูกๆ นะ”
…………………………………………