โลกเวทมนต์

 

ซูจิ้งถามคำถามเจ้าหนูตัวนั้นบางอย่าง และได้พบว่ามันมีการโจมตีนี้เพียงอย่างเดียวเท่านั่น นอกจากการปล่อยไอเย็นแล้วมันก็ไม่สามารถโจมตีรูปแบบอื่นได้เลย ซูจิ้งยังถามถึงโลกที่มันจากมาว่ามีสภาพแวดล้อมเป็นอย่างไร แต่เจ้าหนูนี่รู้เรื่องเหล่านี้น้อยมาก มันจำได้แต่ว่าที่ๆมันอยู่มีอาหารดีๆให้มันกินแค่นั้นเอง ส่วนโลกภายนอกเป็นอย่างไรบ้างนี่มันไม่มีทางรู้ได้เลย แต่ถ้านี่มาจากห้วงเวลาฯวอคราฟ์หล่ะก็ ขยะนี่น่าจะมาจากฝั่งตะวันตกแน่นอน

 

“เดี๋ยวก่อนนะ ถ้าสมมติว่าขยะกองนี้มาจากห้วงเวลาฯวอคราฟท์ฝั่งตะวันตกจริงก็ควรจะมีพลังเวทย์เจือปนอยู่ในอากาศสิ” เมื่อซูจิ้งคิดได้ดังนั้นเขารู้สึกใจเต้นขึ้นมาในทันที

เหตุผลที่เขาไม่ได้ตระหนักเรื่องนี้ในตอนแรกเพราะอณุภาคเวทมนต์ถือได้ว่าเล็กเสียยิ่งกว่าฝุ่น สำหรับคนที่ไม่ได้อาศัยในโลกนั้น การจะตรวจจับเวทมนต์เป็นเรื่องที่ยากยิ่ง แต่ในตอนนี้พลังจิตของซูจิ้งแข็งแกร่งขึ้นแล้ว ความสามารถในการตรวจจับของเขาย่อมดีขึ้นเพียงแต่ต้องรู้ว่าตรวจจับอะไรเท่านั้น ไม่มีทางที่จะหนีพ้นเขาได้แน่นอนถ้าของสิ่งนั้นยังคงอยู่ ไม่นานนักซูจิ้งก็ค้นพบธาตเวทมนต์ได้ มันคือธาตุไฟ

“ขยะกองนี้สมควรมาจากห้วงเวลาฯวอคราฟจากฝั่งตะวันตกอย่างไม่ต้องสงสัย ดีจริงๆ” ซูจิ้งมีความสุขขึ้นมาทันที เขานั้นไดจับภูติธาตุไฟเป็นอย่างแรก และยังไล่จับเหล่าภูติธาตุอื่นๆอีก โดยภูติที่ได้ทั้งหมดถูกจับแยกขังไว้แบ่งเป็นประเภทกันไป เขานั้นได้ทดลองติดต่อสื่อสารกับธาตุไฟก่อน แต่ไม่ว่าจะทดลองยังไงเขานั้นก็ไม่สามารถสื่อสารกับภูติธาตุไฟได้ ในตอนนี้ซูจิ้งทำได้เพียงปลดปล่อยพลังไฟออกมาได้เพียงเล็กน้อยเท่านั้น

 

หลังจากผ่านไปซักสองชั่วโมง ซูจิ้งได้หยุดการค้นหาและจับตัวภูติแห่งธาตุเวทมนต์ เขานั้นจับมาได้ทั้งหมด 240 ตน มากกว่าตอนที่ได้จากห้วงเวลาฯตำนานเทพแห่งความชั่วร้ายสามเท่า โดยแบ่งออกเป็นธาตุไฟ 73 ตน และธาตุอื่นๆ อีก 108 ตน

 

ซูจิ้งในนำภูติแห่งเวทมนต์ทั้งหมดใส่ลงไปในกระเป๋ากักอสูร เขาค่อยๆทำพันธะสัญญากับภูติไฟทีละตัวจนครบ และเมื่อควบคุมพวกมันได้ทั้งหมดแล้ว เขาได้ทดลองใช้พลังเวทไฟอีกครั้ง คราวนี้ มีเปลวเพลิงของจริงออกมาจากมือของเขา มันขนาดใหญ่พอๆกับปากชามข้าว และยังคงลุกไหม้อยู่นานพอสมควร มันช่างดูเท่ดีจริงๆ เมื่อซูจิ้งลองถ่ายเทพลังวิญญาณลงไป ไฟได้พุ่งออกไปเป็นระยะทางประมาณ 5 เมตร และได้ทิ้งรอยไหม้สีดำเอาไว้ ถ้าหากว่าได้ใช้กับมนุษย์หล่ะก็ต้องเป็นแผลไฟไหม้ที่สภาพหนักเอาการเลย

 

“อืมมมม ไม่เลวเลยแหะ ดูเหมือนต้องลองเพิ่มอีกหน่อย” ก่อนหน้านั้นซูจิ้งได้ทดลองใช้บอลไฟดูแล้วแต่มันไม่ยอมพุ่งตรงออกไป แต่ตอนนี้เขานั้นทำให้มันสมกับที่เป็นบอลไฟซักที “เอาล่ะ ไหนลองจุดกับน้ำมันดูดีกว่า” ซูจิ้งได้นำถังที่มีเชื้อเพลิงบรรจุเอาไว้อยู่เต็มเปี่ยม เขานั้นได้ลองปล่อยเวทมนต์ไฟออกมาพร้อมๆกับบังคับเชื้อเพลิงให้เป็นรูปร่างจนทำให้ตอนนี้เกิดมังกรไฟขนาดใหญ่ขึ้นมา มังกรไฟได้บินอย่างดูเป็นธรรมชาติจนเหมือนกับมีมังกรอยู่จริงๆกลางอากาศ

 

หลังจากมันบินไป 7-8 วินาทีมันก็หายไป

 

“ฮ่าฮ่า พอใช้งานร่วมกับเชื้อเพลิงนี่ได้ผลดีเป็นสองเท่าเลยแหะ” ซูจิ้งรู้สึกมีความสุขอย่างมาก ตอนนี้เขาได้กลายเป็นผู้ใช้เวทมนต์ไฟที่เก่งขึ้นเรื่อยๆ ถ้าไปปรากฎอยู่ในห้วงเวลาฯวอคราฟท์ที่โลกเวทมนต์ฝั่งตะวันออกล่ะก็จะต้องคิดว่าเขานั้นเป็นจอมเวทผู้ยิ่งใหญ่แน่นอน

 

หลังจากนั้นซักพักซูจิ้งได้หยิบถุงสีดำออกมา เมื่อเปิดปากถุงออกมา กลิ่นของมันค่อนข้างแรงเหมือนยาจีนโบราณ ในนั้นมีขวดยาอยู่หลายขวดแต่ส่วนใหญ่แล้วล้วนแตกหมดแล้ว ผงยาได้ฟุ้งกระจายไปทั่วถุง แถมยังผสมปนเปกันจนหมด

 

ซูจิ้งยิ้มออกมา เจ้าผงพวกนี้สมควรมีประโยชน์อยู่เพราะยังไงซะพวกมันก็น่าจะเป็นผงยาจากฯห้วงเวลาวอคราฟย่อมไม่ธรรมดา ต่อให้มันผสมกันจนปนมั่วไปหมดแต่สำหรับเขาแล้วไม่ได้มีปัญหาอะไรแน่นอน

 

ซูจิ้งได้ปลดปล่อยกระแสจิตเข้าไปคัดแยกผงยาเหล่านั้นได้โดยดูจากรูปร่าง ส่วนผสม สี และอื่นๆ จนได้ยามาห้าขนานด้วยกัน เขานั้นได้ทำความสะอาดพวกมันเป็นขั้นตอนสุดท้ายก่อนที่จะนำพวกมันใส่ลงไปในขวดที่อยู่บนมือของเขาอย่างนุ่มนวล

 

ในตอนที่เขานั้นกำลังเก็บขวดยานี้เข้าไปเขานั้นได้เห็นขวดยาจากห้วงเวลาฯศึกท้ารบสวรรค์ เขานั้นรู้สึกเข็ดขยาดกับผงแห่งความโกลาหลขวดนี้อย่างมาก แต่ในตอนนั้นก็เป็นเพราะตัวเขาเองยังมีสภาพที่อ่อนแอเกินกว่าจะรับมือได้เช่นกัน ถึงแม้แต่นี้เขาจะแข็งแกร่งขึ้นมาแล้วแต่ก็ยังถือว่ายังรับมือได้ยากอยู่ดี เขาได้เทผงจากขวดนี้ออกมาและทำการคัดแยกอย่างพิธีพิถันจนเวลาผ่านไปครึ่งชั่วโมงเขาก็ได้ยาขวดเล็กๆออกมาอีกสามขวด

 

ในกระบวนการขัดแยกนี้ซูจิ้งต้องประสบเหตุการณ์อันน่าแปลกประหลาดต่างจากขวดอีก ทุกๆผงของยาตัวนี้เต็มเปี่ยมไปด้วยพลังที่ยากจะอธิบายได้ แถมพอยากจะอธิบายทำให้จัดประเภทของมันยากตามไปเช่นกัน แม้แต่หลังจากแยกเสร็จแล้วเขาเองก็ยังบอกไม่ถูกว่าเขาแยกได้ถูกต้องรึเปล่า

 

“เฮ้อ คงได้แต่ต้องให้หนูลองยาก่อนหล่ะนะ” ซูจิ้งนึกได้ดังนั้นจึงให้หลี่น้อยกับอาลี่ไปจับหนูมาสองตัว เขาได้กรอกยาให้หนูไปเล็กน้อย เมื่อเจ้าหนูกินเข้าไปสภาพของพวกมันเปลี่ยนไปในทันที ขนที่สกปรกกับเงางามและกระจ่างใส ร่างกายที่ผอมแห้งจนเห็นกระดูกกลับกลายเป็นอ้วนท้วนสมบูรณ์ดี แถมยังมีแววตาที่ดูกระจ่างใสถ้านับเฉพาะในหมู่หนูๆด้วยกันถือว่ามันหล่อสุดๆได้เลย

“พระเจ้า จะเปลี่ยนเร็วไปแล้ว นี่ไม่เหมือนกับกินเนื้อสัตว์วิเศษ​เลยแหะที่ค่อยๆปรับเปลี่ยนร่างกาย นี่มาจากโลกเวทย์มนต์ฝั่งตะวันตกในห้วงเวลาฯวอคราฟ หรือว่ามันจะคือการเปลี่ยนร่างในตำนานนั่นกัน”

 

ซูจิ้งตกตะลึงไปพักใหญ่ก่อนที่จะนึกถึงผงเวทมนต์นั่น เอาจริงๆเขาก็รู้สึกคุ้นๆอยู่เหมือนกันแต่ยังนึกไม่ออก

 

“ในตำนานเรื่องราวของโลกแห่งเวทมนต์ของพวกชาวตะวันตกนั้น คนบางคนสามารถกลายร่างเป็นสัตว์ และสัตว์บางตัวสามารถกลายร่างเป็นคนได้ เทียบกันแล้วพลังของเจ้าผงยาตัวนี้ช่างห่างไกลจากเรื่องนั้นมากนัก ถึงแม้จะไม่ได้ทรงพลังมากเท่ากันแต่ก็ยังน่าตื่นตาตื่นใจอยู่ดี” ซูจิ้งมีความสุขแล้วให้ความสนใจเรื่องนี้อย่างมาก

 

เขานั้นได้รอคอยจนกระทั่งผ่านไปประมาณห้านาที ร่างกายของหนูได้เปลี่ยนแปลงอีกครั้ง คราวหนี้ร่างกายของมันค่อยๆผอมแห้ง เส้นขนชี้ฟู ดูสกปรกเหมือนดังเดิม เขานั้นได้ลองให้ยามากขึ้นปรากฎว่าเจ้าหนูตัวนี้กลายเป็นสภาพที่ดูดียาวนานขึ้นตาม แต่สำหรับเขาเมื่อลองดูกลับไม่เปลี่ยนแปลงอะไร ในตอนนี้เขาได้ไอเดียมากมายที่จะใช้เจ้าผงยานี่แล้ว