“ฮึ่ม สารเลว!” เมื่อถูกโจมตีอย่างไม่ทันตั้งตัว เกรดิ้งก็รับการโจมตีเข้าอย่างจัง การโจมตีของอิลิดันยิ่งมายิ่งดุดัน เกรดิ้งย่อมหลบไม่ได้ทั้งหมด ด้วยเหตุนั้นจึงมีหลายครั้งที่ถูกโจมตี อย่างไรก็ตาม อิลิดันนั้นสามารถดูดซับเวทมนตร์ระหว่างต่อสู้ได้ และยิ่งการต่อสู้ดำเนินนานขึ้น เวทมนตร์ของเกรดิ้งก็ลดฮวบลงอย่างน่ากลัว “สารเลว ลงนรกไปซะ!” เกรดิ้งแผดเสียงด้วยโทสะ ครืน… มิติในอากาศเกิดการสั่นไหวก่อนที่ผู้คนในห้องบางส่วนจะหายตัวไป “เคลื่อนย้าย….” เซียวอวี๋ทราบว่านี่เป็นเวทเคลื่อนย้ายของเกรดิ้ง “ไปดูที่ห้องอื่นๆ ช่วยพวกเขา!” เซียวอวี๋ตะโกนสั่งพลางนำแอชเชสออกมาก็จะพุ่งตัวออกไป ในเวลาเดียวกัน เกรดิ้งก็เสมือนลูกธนูที่ยิงสุดหล้าแล้ว เซียวอวี๋ตัดสินโจมตีเพื่อเร่งกำจัดอีกฝ่าย ทุกคนพลันปลดปล่อยการโจมตีอันทรงพลังเข้าใส่เกรดิ้ง ขณะเดียวกัน คาร์นก็หลุดจากมนต์สะกดได้ในที่สุด ต้องตกอยู่ใต้มนต์สะกดของเกรดิ้ง คาร์นรู้สึกอัปยศอย่างที่สุด และเพื่อล้างอาย เขาพลันกู่ร้องพลางควงขวานพุ่งโถมเข้าใส่เกรดิ้งอย่างดุดัน ตูม….. ครืน… แม้ว่าทั้งหมดจะลงมือกลุ้มรุม กระนั้นเกราะกระดูกขาวของเกรดิ้งก็ทรงพลังอย่างแท้จริง พวกเขาไม่อาจสังหารเกรดิ้งโดยง่าย ในช่วงชุลมุนนั้น เมอีฟและอิลิดันก็ปลดปล่อยการโจมตีที่รุนแรงที่สุดและสร้างความเสียหายให้กับเกรดิ้งอย่างรุนแรง “เด็กน้อย พวกเจ้าเล่นสนุกนานพอแล้ว ความสามารถของพวกเจ้าช่างน่าผิดหวังเสียจริง” เวลานี้เอง เอกวินน์ที่ชมดูการต่อสู้จากด้านข้างก็พลันลุกขึ้นยืนก่อนจะเดินเข้าสู่สนามรบ นางพลันยกมือชี้ไปยังเกรดิ้ง ร่างกายของเกรดิ้งพลันถูกเวทมนตร์ของเอกวินน์เข้าห่อหุ้มจนชะงัก เขาไม่อาจขยับได้แม้แต่นิ้วเดียว ทำให้คนอื่นๆโจมตีใส่เขาอย่างไร้กังวล “โอ…” ทั้งหมดต่างมองเอกวินน์อย่างนับถือ พวกเขาทุ่มเทพยายามอยู่นานสองนาน ทว่าเพียงความเคลื่อนไหวเรียบง่ายครั้งเดียวของเอกวินน์กลับทำให้เกรดิ้งแน่นิ่งเป็นหุ่นขี้ผึ้ง สมกับเป็นจอมมนตราอย่างแท้จริง “อ…อะ…จะ…เจ้า…” เกรดิ้งพยายามเค้นเสียงในลำคอ จากนั้นเอกวินน์ก็เริ่มร่ายเวท ไม่ช้าใบหน้าของเกรดิ้งก็บิดเบี้ยวราวกับทุกข์ทรมาณอย่างหนัก ร่างกายของเกรดิ้งพลันเปล่งแสงสีเขียวออกมา แสงที่เปล่งออกมานี้ไม่ใช่แสงจากพลังเวทหากแต่เป็นไฟวิญญาณของเกรดิ้ง ไฟวิญญาณค่อยๆล่องลอยออกมารวมกันเป็นก้อน เอกวินน์โบกมือวูบหนึ่งและดูดซับเอาเพลิงกลุ่มนี้ไป บนปลายนิ้วของนางปรากฏเปลวเพลิงอันเจือจางที่เปล่งแสงสีเขียวออกมา ใบหน้าของหลินมู่เสวี่ยที่เป็นเจ้าของร่างในเวลาแลดูชั่วร้ายอย่างมาก จากนั้นครู่หนึ่ง เอกวินน์ก็โยนเพลิงนั้นเข้าปากตามด้วยยกไวน์ขึ้นจิบตามอย่างสง่างาม พรึ่บ! ร่างกายของเอกวินน์เปล่งแสงสีเขียว ทว่าไม่นานก็จางหายไปราวกับไม่เคยปรากฏขึ้นมาก่อน เมื่อเอกวินน์กลืนเปลวเพลิงนั้นเข้าไป บรรยากาศโดยรอบก็กลายเป็นเงียบงัน พวกศิษย์อันเดดและเงาดำแปรเปลี่ยนเป็นเถ้าถ่านลอยไปตามสายลม การต่อสู้อันดุเดือดพลันจบลง…… เซียวอวี๋อ้าปากค้าง พลังของเอกวินน์ทำให้เขาถึงกับสติหลุดลอย เอกวินน์หันมามองเซียวอวี๋ที่ตะลึงงันก่อนจะกล่าวเสียงเรียบ “จบแล้ว…เจ้าไม่ไปเก็บของหรือ? ที่นี่ย่อมมีของดีอยู่บ้าง” หลังจากนั้นเอกวินน์ก็เดินกลับไปยังเก้าอี้ก่อนจะเอนกายหลับตาพักผ่อน เซียวอวี๋แค่นเสียงแต่ไม่กล้าปริปาก เขาหันไปโบกมือสั่งการให้ทั้งหมดเริ่มตรวจค้นสถานที่ ในฐานะโรงเรียนศาสตร์มืดที่ใหญ่ที่สุดแล้ว มันคงเป็นเรื่องแปลกที่จะไม่มีของล้ำค่าอยู่เลย หลังจากผ่านไปพักหนึ่ง เอกวินน์ก็ลืมตาขึ้นก่อนจะถอนหายใจ “กว่าหมื่นปีแล้ว เวลาช่างนานนัก พลังวิญญาณของข้าเหลืออีกไม่มาก พลังส่วนใหญ่ก้ส่งต่อให้บุตรของข้าเมดีฟไปแล้ว คงใกล้ถึงเวลาของข้าแล้วกระมัง?” สายตาของนางจับจ้องอยู่ที่เพดาน ขณะจมอยู่ในความคิด นางทราบว่าทั้งหมดนี้เป็นโชคชะตาที่นำพาดุจเดียวกับที่เกิดขึ้นเมื่อหนึ่งหมื่นปีก่อน นางหมกมุ่นอยู่กับการเป็นผู้พิทักษ์ของทวีป หมกมุ่นอยู่กับการพัฒนาพลังจนสุดท้ายกระทั่งต้องสูญเสียเพราะพลังของตัวเอง กระทั่งการสานสัมพันธ์กับอีลานก็เพื่อยกระดับพลังของตัวนางเอง นางและอีลานได้ให้กำเนิดบุตรที่เปี่ยมพรสวรรค์ เมดีฟ หากแต่เมดีฟก็ถูกสาปโดยปีศาจร้าย ซาแกรลาส ปีศาจร้ายที่นางเคยคิดว่ากำจัดจนสิ้นซากแล้ว กลับใช้นางเป็นเครื่องมือ….เครื่องมือที่จะใช้ทำลายโลกใบนี้ บุตรชายของนาง เมดีฟกลับต้องมารับกรรม แม้นางจะทุ่มเททุกอย่างแล้วก็ไม่อาจช่วยเขาไว้ได้ สุดท้ายนางค่อยตระหนักได้ว่า เรื่องราวทั้งหมดเกิดขึ้นเพราะความยึดติดที่มากเกินไปของนางเอง หากไม่ใช่เพราะชิงชังความชั่วร้ายอย่างลึกล้ำและเพื่อให้ได้ครอบครองพลังอันไร้เทียมทาน นางก็คงไม่ต้องเผชิญหน้ากับซาแกรลาสจนกลายเป็นโศกนาฏกรรมเช่นนี้ แต่โชคดีที่ผลลัพธ์สุดท้ายไม่ได้ออกมาเลวร้ายและนำไปสู่การล่มสลายของทวีป ในจุดนับว่าทำให้นางโล่งอกมาก ต่อมา ทวีปก็เกิดการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่หลายครั้ง ตอนนี้ก็เป็นเวลากว่าหนึ่งหมื่นปีแล้ว ทวีปนี้ไม่เหมือนเดิมอีกแล้ว เหล่าวีรบุรุษและเหล่าทหารหาญในอดีตไม่ดำรงอยู่อีกต่อไปหรือไม่พวกเขาก็อาจจะกลับมาในอัตตลักษณ์ใหม่ ไม่เหมือนเดิมอีก เอกวินน์หันไปมองดู กรอม ทิรันด้าและคาเอล คนพวกนี้นางย่อมคุ้นเคยดี ทว่าตอนนี้พวกเขากลับสูญสิ้นซึ่งความทรงจำในอดีต หรือว่าคำพยากรณ์จะเป็นจริง? เมื่อครั้งยังเยาว์ เอกวินน์นั้นไม่เคยเชื่อในโชคชะตาหรือคำทำนายใด นางคิดว่าตราบที่นางมีอำนาจ นางก็สามารถกระทำได้ทุกสิ่ง ทว่าตอนนี้นางเข้าใจแล้ว เมื่อต้องเผชิญหน้ากับโชคชะตา นางก็ทำได้เพียงปล่อยให้มันพัดพาไปดุจกระแสน้ำ คำพยากรณ์นั้นกล่าวไว้ว่า เหล่าวีรชนจะหวนกลับคืน และเมื่อถึงตอนนั้น โลกก็จะไม่ใช่โลกที่เคยเป็นอีก จะเกิดการเปลี่ยงแปลงครั้งใหญ่ สงครามจะแปรเปลี่ยนทั้งดวงดาว โลกจะกลายเป็นโลกใบใหม่ แผ่นดินจะถูกผนวกรวม มหากษัตราจะจุติและนำเหล่าวีรชนครั้งอดีตรวมทวีปและต่อต้านหายนะ มหาราชันองค์ที่ว่าคงไม่ใช่เจ้าหนุ่มนี่หรอกนะ? หากบอกว่าเขาเป็นดาวแห่งอันธพาลนางยังจะเชื่อเสียมากกว่า เมื่อลองเทียบกับเหล่าราชาปราดเปรื่องที่เคยเจอมา เอกวินน์คิดว่า เซียวอวี๋ผู้นี้ยังไม่คู่ควรแม้แต่เป็นคนหิ้วรองเท้าให้พวกเขา ตัวนางเคยเป็นพยานการผงาดขึ้นของราชาผู้ยิ่งใหญ่มาแล้วมากมาย แต่ทั้งหมดล้วนแต่มีข้อบกพร่อง บางคนเหี้ยมโหด บางคนโลภโมโทสัน กระนั้นก็ยังไม่เคยมีแบบเซียวอวี๋ นางจินตนาการไม่ออกว่าเมื่อเซียวอวี๋สวมมงกุฏแล้วจะเป็นอย่างไร แต่มันคงเป็นภาพที่ตลกไม่น้อย นางอดไม่ได้ที่จะยิ้มออกมา นี่คงเป็นการเล่นตลกของโชคชะตา กระทั่งคนเช่นนี้ก็ยังเป็นราชาได้หรือ? ‘ท่านคิดว่าเขาใช่มหาราชันในคำพยากรณ์นั้นหรือไม่?’ ในห้วงแห่งความคิด หลินมู่เสวี่ยเอ่ยถามเสียงเบา เป็นเพราะตอนนี้พวกนางใช้ร่างร่วมกัน วิญญาณของทั้งสองจึงเกิดการทับซ้อน ดังนั้น เมื่อเอกวินน์คิดอะไร หลินมู่เสวี่ยก็จะรับรู้โดยปริยาย เว้นเสียแต่เอกวินน์จะใช้บางสิ่งสกัดกั้น อย่างไรก็ตาม เอกวินน์ไม่ได้ปกปิด หลังจากอยู่ด้วยกันมาพักหนึ่ง นางก็รู้สึกเอ็นดูมู่เสวี่ย มู่เสวี่ยช่างเป็นเด็กหญิงที่ใจดีและบริสุทธิ์อย่างแท้จริง ทางด้านมู่เสวี่ยเองก็ทราบว่าเอกวินน์จะไม่ทำร้ายนาง ดังนั้นทั้งสองคนจึงเข้ากันได้ดี ลึกๆในใจแล้ว มู่เสวี่ยยังรู้สึกเห็นใจกับชะตากรรมของเอกวินน์ยิ่ง ในระหว่างที่วิญญาณของเอกวินน์พักผ่อน มู่เสวี่ยก็ได้อ่านความทรงจำทั้งหมดของเอกวินน์ ทั้งห้วงแห่งความสุขและเศร้า ชีวิตของเอกวินน์นั้นถือเป็นตำนานบทหนึ่งอย่างแท้จริง หากเปลี่ยนเป็นนาง นางคงไม่อาจทนทานรับไหว ชีวิตของเอกวินน์นั้นไม่เหมือนใคร ไม่ว่าผู้ใดก็ไม่อาจลอกเลียน กระทั่งไจน่า ทิรันด้าและคนอื่นๆก็ไม่อาจเทียบได้ อย่างไรก็ตาม การที่สามารถแบ่งปันความรู้และประสบการณ์กับเอกวินน์ได้ก็ทำให้มู่เสวี่ยมีความสุขมาก ตอนนี้ เมื่อมู่เสวี่ยรับรู้ความคิดของเอกวินน์ก็อดถามออกไปไม่ได้ สุดท้ายแล้ว หากว่าในอนาคตสามีของนางได้เป็นมหาราชันของทวีป สตรีใดบ้างที่จะไม่รู้สึกภาคภูมิและมีความสุข เอกวินน์ที่รับรู้ความคิดของมู่เสวี่ยได้ก็เผยยิ้มบาง “เมื่อก่อนข้าไม่เคยเชื่อเรื่องโชคชะตา ทว่าตอนนี้เชื่อแล้ว ทุกสิ่งไม่อาจหลีกหนีจากชะตากรรม ไม่ว่าจะดีหรือจะร้าย มันก็ไม่อาจเปลี่ยนแปลง” ‘เช่นนั้น ท่านหมายความว่าเขาจะกลายเป็นมหาราชันแห่งยุค?’ มู่เสวี่ยอดถามย้ำไม่ได้ เอกวินน์เพียงยิ้ม แต่ไม่ได้ตอบคำ ทั้งสองต่างเงียบไป ทอดตาไปยังเบื้องหน้า บุรุษที่ถูกทำนายว่าจะกลายเป็นมหาราชันนั้นกำลังใช้เท้าเหยียบกล่องสมบัติพลางเงยหน้าหัวเราะอย่างอหังการราวกับชีวิตนี้ไม่เคยพบเคยเจอสมบัติอย่างไรอย่างนั้น…..