เมื่อพวกเขาเข้ามาในหมู่บ้าน ผู้อาศัยบางคนซึ่งอยู่ที่ทางเข้าหมู่บ้านกำลังตากปลาพร้อมกับคุยกันไปด้วย เมื่อพวกเขาเห็นโม่เทียนเกอที่แต่งตัวอย่างดีเข้ามาในหมู่บ้านกับเด็กทั้งสองคน ทุกคนหยุดสิ่งที่ทำอยู่โดยทันใด สายตาพวกเขาต่างหันหานางอย่างต่อเนื่อง
คนกล้าคนหนึ่งในหมู่พวกเขาตะโกนเรียก “นานนานแห่งตระกูลสุ่ย เจ้าพาใครกลับมาด้วย”
เด็กหญิงชำเลืองมองคนที่พูดก่อนจะตอบ “ท่านอาที่สองหนิว พี่สาวคนนี้บอกว่านางแค่ผ่านมา”
“ผ่านมา” พวกผู้ใหญ่ตรงทางเข้าหมู่บ้านมารวมตัวกันแล้วจึงมองโม่เทียนเกอหัวจรดเท้า ทว่าไม่มีใครกล้าพูดอะไร พวกเขาแค่รวมกลุ่มและกระซิบกระซาบกัน
จากนั้นเด็กหญิงนำทางนางผ่านการเลี้ยวหลายครั้งจนสุดท้ายพวกเขาก็มาถึงกระท่อมมุงจากหลังหนึ่ง ควันพวยพุ่งออกมาจากปล่องไฟ และใครคนหนึ่งกำลังล้างอะไรบางอย่างในโอ่งใส่น้ำใบใหญ่หน้ากระท่อมหลังเล็ก
“ท่านแม่!” เด็กหญิงเรียก
นายหญิงคนที่กำลังก้มขณะล้างสมุนไพรป่าส่งเสียงอยู่ในลำคอเป็นการตอบแล้วจึงพูดด้วยเสียงแหบ “เจ้าหายหัวไปไหนมา ข้าไม่เห็นแม้แต่เงาเจ้ามาทั้งวัน เจ้าพาน้องชายไปเล่นไร้สาระด้วยกันหรือ”
เด็กหญิงพูด “ท่านแม่ เรามีแขก”
“แขก” ในที่สุดแม่นางก็หันมา เมื่อนางเห็นโม่เทียนเกอยืนอยู่ไม่ไกลจากนาง นางยืนขึ้นและเช็ดมือกับผ้ากันเปื้อนทันที “ไอ้หยา! ผู้… ผู้หญิงสาวคนนี้น่ะหรือ” นางพูดอย่างค่อนข้างสงสัย ตอนนี้โม่เทียนเกอใส่ชุดเครื่องแบบของโรงเรียนเสวียนชิง มันคือชุดคลุมชาวลัทธิเต๋าและแตกต่างจากเสื้อผ้าในโลกมนุษย์ด้วยเช่นกัน จากมุมมองของมนุษย์ธรรมดา นางสวยเกินไปที่จะเรียกว่าเป็นนักพรตชาวลัทธิเต๋า แต่ “แม่นาง” ก็เป็นคำที่ธรรมดาเกินไปในการเรียกนาง
โม่เทียนเกอไม่สนใจจะเถียงว่านางควรถูกเรียกอย่างไร นางยิ้มและพูดว่า “สวัสดีนายหญิง ข้าผ่านมาบริเวณนี้และบังเอิญเจอเข้ากับสองคนนี้ ข้ามีบางเรื่องที่ไม่เข้าใจ ดังนั้นข้าจึงมาเพื่อถามไถ่ข้อมูลบางอย่าง”
“อ้อ อย่างนี้นี่เอง” นายหญิงคนนั้นรู้สึกค่อนข้างต่ำต้อยต่อหน้าโม่เทียนเกอ นางเอานิ้วสางผมและจัดเสื้อผ้าให้เรียบร้อยก่อนจะทำท่า “เชิญ” “แม่นาง บ้านของเราช่างธรรมดาและซอมซ่อ ถ้าท่านไม่ถือสาเรื่องนั้น ท่านอยากจะเข้ามาข้างในและนั่งก่อนหรือไม่เจ้าคะ”
โม่เทียนเกอพยักหน้าพร้อมรอยยิ้มจากนั้นจึงตามนางเข้าไปในกระท่อม
เมื่อนางเข้าไปข้างใน นางอยู่ในห้องที่ดูเหมือนจะเป็นห้องนั่งเล่น ภายในห้องคับแคบมีโต๊ะทานอาหารและเก้าอี้ไร้พนักหลายตัว ถึงแม้มันจะดูเก่ามากแต่ก็ยังจัดว่าสะอาดดี ภาพของพระเจ้าแห่งท้องทะเลติดอยู่บนผนังตรงข้ามประตูและดูเหมือนจะเป็นพระเจ้าที่เป็นผู้หญิง
นายหญิงเชิญนางให้นั่งบนม้านั่งยาวข้างโต๊ะทานอาหารแล้วจึงพูดกับเด็กหญิง “นานนาน ไปทำอาหารมาสิ แม่จะอยู่เป็นเพื่อนแขก”
เด็กหญิงส่งเสียงอย่างเชื่อฟัง นางแอบเหลือบมองโม่เทียนเกอจากนั้นจึงเข้าไปในครัว
การได้เห็นหน้าตาท่าทางของเด็กหญิงทำให้โม่เทียนเกอตกอยู่ในภวังค์ นางจำตัวนางเมื่อหลายสิบปีก่อนได้ ณ ตอนนั้น นางก็ตัวเล็กพอๆ กับเด็กคนนี้
“แม่นาง”
โม่เทียนเกอได้สติอีกครั้ง นางยิ้มอย่างขอโทษขอโพยและพูดว่า “นายหญิง ลูกสาวของท่านเป็นลูกที่เชื่อฟังและมีความสามารถ ท่านโชคดีจริงๆ ที่มีนางอยู่”
นายหญิงคนนั้นส่งเสียง “ฮ่า!” ขณะที่โบกมือ “แม่นาง ท่านสุภาพเกินไปแล้ว เด็กคนนี้มักจะเตร็ดเตร่ไปทั่ว อย่างไรก็ตาม นางก็มีความสามารถจริงๆ ไม่ว่าข้าจะบอกให้นางทำอะไร นางทำได้ดีกว่าผู้ใหญ่บางคนเสียอีก! โดยปกติแล้วนางจะช่วยดูแลน้องชายของนาง…”
เห็นได้ชัดว่าถึงแม้นายหญิงคนนี้จะไม่แสดงความรักต่อลูกสาวของนาง แต่นางก็ภูมิใจในตัวลูกสาวมาก รอยยิ้มของนางเต็มไปด้วยความสุขเมื่อนางพูดถึงลูก
เสี่ยวเป่าพูดเสริมเล็กน้อย “พี่สาวเป็นคนดีมาก นางมักจะพาข้าออกไปเล่นเสมอ” พี่สาวของเขาไปทำอาหารแต่เขาไม่อยากจะตามนางไป เขายังคงอ้อยอิ่งอยู่ข้างกายโม่เทียนเกอ
ตอนนี้เองที่นายหญิงเห็นลูกชายตัวน้อยของนางจับมือโม่เทียนเกอ นางรีบเข้ามาและอุ้มเขาออกไป “เสี่ยวเป่า รีบไปล้างมือของเจ้าเร็วเข้า ดูสภาพเจ้าทั้งสองคนที่ไปเล่นซนมาสิ” หลังจากนางพูดเช่นนั้น นางหันมาหาโม่เทียนเกอและพูดอย่างขอโทษว่า “แม่นาง เด็กคนนี้ไม่ช่างคิดเอาซะเลย เขาทำให้เสื้อผ้าท่านเปื้อนหรือไม่ มาสิ ข้าจะซักให้ท่าน”
โม่เทียนเกอส่ายหน้า “ไม่มีปัญหา เสื้อผ้าข้าไม่สกปรกง่ายๆ นัก” นางปัดเสื้อผ้าของนางแล้วจึงโบกมือ ไม่เหลือแม้แต่รอยฝุ่นบนร่างของนาง
เมื่อเห็นการกระทำของนาง นายหญิงที่กำลังอุ้มเสี่ยวเป่าอยู่จึงหยุดกลางคัน นางดูเหมือนกำลังคิดอะไรบางอย่าง แต่ไม่นานหลังจากนั้นความตื่นตระหนกก็ปรากฏขึ้นในสายตานาง “แม่นาง… แม่นาง หรือว่าท่านจะเป็นเทพธิดาจากสภาปี้เซวียน อภัยให้ข้าด้วย อภัยให้ข้าด้วย… ข้าช่างตามืดบอด ข้าจะหมอบกราบท่าน!” ทันทีหลังจากนั้น นางคุกเข่าลงจริงๆ และเริ่มเอาหัวโขกพื้น
โม่เทียนเกอตกใจ แต่ไม่นานนางก็ยกมือขึ้นเบาๆ ใช้พลังวิญญาณเพื่อหยุดท่าทางของนายหญิง นางถามอย่างเป็นมิตร “นายหญิง ท่านกำลังทำอะไร ท่านหมายความว่าอะไรที่บอกว่าเทพธิดาจากสภาปี้เซวียน”
เมื่อนายหญิงเห็นวิชาที่โม่เทียนเกอเพิ่งใช้ นางก็ยิ่งเชื่อสนิทใจว่านางพูดถูก นางอ้อนวอนอย่างสิ้นหวัง “ท่านเทพธิดา ท่านเทพธิดา ได้โปรดไว้ชีวิตเรา เด็กๆ ทำไปโดยไม่ได้ตั้งใจ และข้าก็จำท่านไม่ได้ไปชั่วขณะ…”
โม่เทียนเกอรู้สึกทำตัวไม่ถูก นางจึงแค่โบกมือ พยุงตัวนายหญิงขึ้นมาด้วยพลังวิญญาณของนาง “ในเมื่อท่านรู้แล้วว่าข้าเป็นผู้ฝึกตน ท่านก็แค่ต้องตอบข้ามาดีๆ ท่านไม่จำเป็นต้องทำตัวเช่นนี้”
“แน่นอนเจ้าค่ะ แน่นอน” นายหญิงพยักหน้าซ้ำๆ แล้วจึงถอยไปด้านหลังพร้อมกับอุ้มเสี่ยวเป่าอยู่ในมือ
เสี่ยวเป่าไม่รู้เลยว่าเกิดอะไรขึ้น เขาพูดอย่างสงสัย “ท่านแม่ พี่เทพธิดาเป็นคนดี ทำไม…”
“หุบปาก!” นายหญิงปิดปากของเสี่ยวเป่าและดุเขา “เด็กๆ ควรจะเชื่อฟัง อย่าพูดแทรกตอนที่ผู้ใหญ่กำลังพูดกันอยู่”
สีหน้าเสี่ยวเป่าเต็มไปด้วยความสงสัย แต่เขาก็ไม่กล้าขัดคำสั่ง เขาจึงแค่เบิกตากว้างเพื่อจ้องพี่เทพธิดาที่กำลังนั่งอยู่ต่อหน้าแม่ของเขา
โม่เทียนเกอค่อนข้างงุนงง เป็นธรรมดาที่มนุษย์จะเคารพผู้ฝึกตนอย่างมาก แต่ความกลัวที่นายหญิงแสดงออกมาแน่นอนว่าไม่ปกติไม่ว่าจะทางใดก็ตาม อีกอย่าง สภาปี้เซวียนที่นายหญิงคนนี้พูดถึงก็ฟังดูคุ้นๆ … จริงสิ! มันคือกลุ่มการฝึกตนขนาดกลางที่โดดเด่นในการรับผู้ฝึกตนหญิง! ก่อนหน้านี้ เยียนรั่วชูและอีกสองคนที่นางบังเอิญเจอในถ้ำเซียนของจื่อเวยก็เป็นศิษย์ของสภาปี้เซวียน… สภาปี้เซวียนก่อตั้งขึ้นในบริเวณนี้งั้นหรือ
“นายหญิง ท่านก็ควรนั่งลงเหมือนกัน”
หลังจากนายหญิงได้ยินที่โม่เทียนเกอพูด นางรีบโบกมือทันที “ข้ามิบังอาจ ข้ามิบังอาจ ข้าจะบังอาจนั่งกับท่านเทพธิดาได้อย่างไร”
โม่เทียนเกอไม่ได้บังคับนาง นางแค่ใช้เวลาสักพักเพื่อคิดจากนั้นจึงถามว่า “ทำไมท่านถึงกลัวผู้ฝึกตนนัก ท่านยังพูดอีกว่า… เทพธิดาจากสภาปี้เซวียนหรืออะไรสักอย่าง สภาปี้เซวียนอยู่ที่นี่หรือ”
ความประหลาดใจวาบขึ้นในสายตานายหญิง หลังจากคิดอยู่ครู่หนึ่ง นางก็ถามอย่างระมัดระวัง “ท่านเทพธิดา… ท่านไม่ใช่สมาชิกของสภาปี้เซวียนหรือ”
โม่เทียนเกอส่ายหน้า “ข้าเป็นแค่ผู้ฝึกตนที่ผ่านมายังสถานที่แห่งนี้ ข้าไม่เกี่ยวข้องกับสภาปี้เซวียนเลยแม้แต่น้อย”
“อ้อ” นายหญิงถอนใจอย่างโล่งอก ครั้งนี้ในที่สุดนางก็มีรอยยิ้มอยู่บนใบหน้า “ท่านเทพธิดา โปรดอย่าตำหนิข้าที่เข้าใจท่านผิดไป”
โม่เทียนเกอหัวเราะ “ไม่เป็นไรหรอก ว่าแต่นายหญิง ท่านช่วยอธิบายให้ข้าฟังได้ไหมว่าทำไมท่านถึงทำตัวเช่นนั้น”
นายหญิงรีบพยักหน้า “เจ้าค่ะ” นางหยุดครู่หนึ่งแล้วจึงเริ่มอธิบาย “ท่านเทพธิดา ท่านอาจจะไม่รู้แต่ทะเลตะวันออกของเราห่างไกลมากเหลือเกิน ดังนั้นแม้แต่ท่านจักรพรรดิก็ไม่สนใจพวกเรา เพราะเหตุนั้น พวกคนที่ทรงอำนาจที่สุดในเขตของเราก็คือสภาปี้เซวียน”
“เดี๋ยวนะ” โม่เทียนเกอตัดบทนางโดยถามว่า “ท่านกำลังบอกว่าที่นี่คือทะเลตะวันออกหรือ”
“ใช่” นายหญิงดูประหลาดใจเล็กน้อย “ท่านเทพธิดาไม่รู้หรือ”
“อ้อ” โม่เทียนเกอพูดแผ่วเบา “ข้ามาไกลมากและไม่เคยสังเกตน่ะ”
นายหญิงไม่กล้าสงสัยในสิ่งที่โม่เทียนเกอพูด นางจึงแค่พูดต่อไป “ที่จริงแล้วพวกเทพธิดาของสภาปี้เซวียนไม่สนใจพวกเราชาวมนุษย์มากนัก แต่เราก็ยังห้ามทำให้พวกนางโกรธเคือง ถ้าเราทำ…” นายหญิงลังเลอยู่ชั่วครู่แต่แล้วนางก็เปลี่ยนประเด็น “เมื่อครู่ข้าเพิ่งเห็นว่าเสื้อผ้าของท่านเทพธิดาไม่สกปรก ดังนั้นข้าจึงคิดว่าท่านเทพธิดามาจากสภาปี้เซวียน”
“ข้าเข้าใจ” สำหรับมนุษย์ ผู้ฝึกตนมักจะล่องลอยสูงอยู่กลางอากาศเสมอ ในเมื่อสภาปี้เซวียนตั้งอยู่ที่นี่ มนุษย์ในบริเวณรอบๆ จึงเคารพพวกเขาที่สุดเป็นธรรมดา อย่างไรก็ตาม นางไม่เคยคาดคิดว่านางจะมาลงเอยที่แถบทะเลตะวันออก บริเวณทะเลตะวันออกนั้นเปล่าเปลี่ยวอย่างแท้จริง หากนางต้องการกลับไปที่คุนอู๋ นางจะต้องใช้ความพยายามค่อนข้างมากอย่างแน่นอน วิธีที่ง่ายที่สุดสำหรับนางก็คือขอยืมวิธีการจากสภาปี้เซวียน แต่โม่เทียนเกอก็ไม่อยากติดต่อกับพวกเขา ขณะนั้นรอยย่นก็ปรากฏขึ้นที่คิ้วของนาง
หลังจากใช้เวลาคิดสักพัก โม่เทียนเกอเห็นว่านายหญิงยังคงยืนอยู่อย่างระวังตัว ดังนั้นนางจึงยิ้มและพูดว่า “นายหญิง ท่านไม่ต้องทำเช่นนี้หรอก ข้าเป็นแค่คนผ่านมา ข้าจะจากไปหลังจากข้าได้ข้อมูลแล้ว”
“อ้อ” ถึงแม้โม่เทียนเกอจะไม่ได้ปล่อยแรงกดดันพลังวิญญาณของนาง แต่ความจริงที่นางเป็นผู้ฝึกตนก็ยังทำให้นายหญิงรู้สึกหัวใจของนางหนักอึ้ง ตอนนี้เมื่อนางพูดเช่นนี้ ในที่สุดนายหญิงจึงรู้สึกโล่งอก นางพูดอย่างสุภาพ “ถ้าท่านเทพธิดามีอะไรจะถาม ท่านสามารถถามข้าได้เจ้าค่ะ ข้ารู้ทุกเรื่องที่เกิดขึ้นใกล้ๆ กับหมู่บ้าน ถ้าท่านเทพธิดาต้องการถามเกี่ยวกับเมืองหลินไห่ สามีของข้ามีความรู้เกี่ยวกับเรื่องนั้น อีกประเดี๋ยวเขาก็จะกลับมาแล้ว”
โม่เทียนเกอยิ้ม “ข้ารู้แล้วว่าที่นี่คือเขตทะเลตะวันออกและสำหรับที่ตั้งของสภาปี้เซวียนก็ไม่ใช่สิ่งที่ข้าอยากจะถาม ข้าเพียงต้องการถามเกี่ยวกับเรื่องเดียว เมื่อวานนี้มีเหตุการณ์ประหลาดเกิดขึ้นแถวๆ นี้หรือไม่”
“เหตุการณ์ประหลาด” นายหญิงดูสับสน นางใช้เวลาคิดพักหนึ่งก่อนจะตอบ “เมื่อวานตอนที่กระแสน้ำขึ้น ดูเหมือนจะมีเสียงฟ้าร้อง… ท่านเทพธิดา นี่คือสิ่งที่ท่านหมายความถึงหรือเปล่า”
“เสียงฟ้าร้อง” โม่เทียนเกอถามขณะครุ่นคิด “มีอย่างอื่นอีกหรือไม่”
“เสี่ยวเป่าได้ยินเสียงดังอึกทึกเมื่อวาน และเมื่อเสี่ยวเป่าเล่นกับพี่สาวในวันนี้ เสี่ยวเป่าเจอภูเขาลูกใหม่โผล่ขึ้นมา!” เสี่ยวเป่าพูดขัดขึ้นจากอ้อมกอดแม่ของเขา
“งั้นหรือ” โม่เทียนเกอค่อนข้างสนใจในสิ่งที่เด็กคนนี้พูด “ใช่ภูเขาที่เจ้าเห็นข้าอยู่บนนั้นตอนก่อนหน้านี้หรือไม่”
“อือ!” เสี่ยวเป่าพยักหน้าอย่างแรง “ไม่มีภูเขาอยู่ที่นั่นเมื่อวานนี้แต่เมื่อข้าเล่นกับพี่สาววันนี้ จู่ๆ มันก็มาอยู่ตรงนั้น” ที่จริงแล้วสิ่งที่เขาเรียกว่าภูเขาเป็นเพียงแค่กองเศษหินเท่านั้น
จากนั้นเสี่ยวเป่ายื่นมือเขาออกมา “พี่เทพธิดา ดูสิ นี่คือสิ่งที่ข้าเจอบนภูเขานั่น”
บนมือเล็กๆ ที่สกปกรกของเขามีสิ่งที่เหมือนกระดูกขาวบริสุทธิ์วางอยู่ มันคือกระดูกเทพมังกรที่เขาเก็บมาตอนก่อนหน้านี้!
เมื่อนางเห็น นางยิ้มและพูดกับนายหญิง “นายหญิง ข้าบังเอิญมีอีกเรื่องที่ข้าอยากจะขอความช่วยเหลือจากท่าน”
นายหญิงที่ได้ยินว่าโม่เทียนเกอมีอะไรอยากให้นางช่วยรีบพูดทันทีว่า “ถ้าท่านเทพธิดาต้องการสิ่งใดโปรดอย่าลังเลที่จะบอกข้า”
“กรุณาไปที่ภูเขาที่เด็กคนนี้พูดถึงและช่วยข้าเก็บกระดูกทุกชิ้นที่เหมือนอย่างอันนี้และนำมันมาให้ข้า”
“อ๋า” นายหญิงตะลึง คำขออะไรกันนี่
โม่เทียนเกอหยิบกระเป๋าออกมาจากชุดคลุมและวางไว้บนโต๊ะ “สำหรับกระดูกทุกชิ้นที่ท่านนำกลับมา ข้าจะให้ลูกประคำทองหนึ่งลูกแก่ท่าน” จากนั้นนางเปิดกระเป๋าเผยให้เห็นลูกประคำทองขนาดเท่านิ้วเท้าที่ส่องประกายอยู่ข้างใน