ตอนที่ 189 เก็บกระดูกมังกร

ลำนำสตรียอดเซียน

ตอนแรกโม่เทียนเกอไม่ได้วางแผนว่าจะเปิดเผยตัวตนของนาง นางคิดว่าการใช้เงินและสมบัติของโลกมนุษย์เพื่อจูงใจชาวประมงในบริเวณนี้ให้ช่วยนางเก็บรวบรวมกระดูกมังกรคงจะดีพอแล้ว แต่โดยไม่คาดคิด นายหญิงคนนี้ค่อนข้างมีไหวพริบดีทีเดียวและรู้ว่าตัวตนของนางคือผู้ฝึกตน

 

 

อย่างไรก็ตาม ในเมื่อพวกชาวประมงที่นี่เคารพผู้ฝึกตนอย่างมากจึงทำให้เรื่องนี้จัดการได้ง่ายขึ้น ความเคารพที่พวกเขายึดถือพร้อมกับคำสัญญาให้ผลประโยชน์ตอบแทนจะทำให้พวกเขาทำงานอย่างเต็มใจ

 

 

พอเห็นลูกประคำทอง ดวงตาของนายหญิงจับจ้องอยู่กับมันโดยไม่กะพริบตาทันที เมื่อพิจารณาว่าชีวิตของพวกเขาแร้นแค้นเพียงใด พวกเขาได้ครอบครองอย่างมากก็แค่เศษเสี้ยวของเครื่องเงินเท่านั้น และนั่นก็ถือว่าเป็นความมั่งคั่งอย่างสูงสำหรับพวกเขาแล้ว ส่วนทองและของอื่นๆ พวกเขาทำได้แค่หมายตาไว้เมื่อไปที่เมืองข้างเคียงเท่านั้น

 

 

โม่เทียนเกอส่งเสียงกระแอมเบาๆ แล้วจึงพูดว่า “นายหญิง ถ้าท่านสามารถนำกระดูกทั้งหมดกลับมาให้ข้าได้ ลูกประคำทองทั้งหมดนี้จะเป็นของท่าน” ลูกประคำทองในกระเป๋านี้เป็นของกำนัลที่ตระกูลเยี่ยมอบให้นางไว้ตอนที่นางออกจากบ้านมา การเดินทางในโลกมนุษย์จะสะดวกสบายกับนางมากกว่าหากนางมีเงินและสมบัติอยู่บ้าง ดังนั้นโม่เทียนเกอจึงรับมาดื้อๆ ขณะนี้มันก็เพียงพอแล้วที่จะทำให้มนุษย์พวกนี้ยอมทำงานให้นาง

 

 

นายหญิงได้สติกลับมาจากภวังค์ความคิดของนาง แต่ชั่วขณะหนึ่งที่นางไม่รู้ว่าควรตอบอย่างไรดี ในทางหนึ่งนางก็ดีใจมาก แต่ในทางกลับกันนางก็กังวลเช่นกัน “ท่านเทพธิดา ท่านพูดจริงหรือ” ทันทีหลังจากที่นางพูดเช่นนั้น จู่ๆ นางก็ตบปากตัวเอง “สิ่งที่ท่านเทพธิดาพูดต้องจริงอยู่แล้วสิ ข้าสอดรู้สอดเห็นเกินไป แต่ท่านเทพธิดา ท่านพูดถึงกระดูกอะไรหรือ มันอยู่ที่ไหนเจ้าคะ”

 

 

โม่เทียนเกอยิ้มให้เสี่ยวเป่า “เสี่ยวเป่า เจ้ารู้ว่าจะหามันได้ที่ไหนใช่ไหม”

 

 

เสี่ยวเป่าพยักหน้าทันที “อืม พี่เทพธิดาหมายความถึงภูเขาลูกนั้น” หลังจากเขาพูดเช่นนั้น ดวงตาของเขาเบิกกว้างด้วยความสงสัย “พี่เทพธิดา นี่คือกระดูกรึ ทำไมมันจึงแตกต่างจากกระดูกที่ท่านพ่อเคยบอกข้า”

 

 

โม่เทียนเกอยิ้มแต่นางไม่ได้ตอบคำถามของเสี่ยวเป่า จากชุดคลุมนางหยิบถุงออกมาและมอบให้เขาพร้อมพูดอย่างอ่อนโยน “เสี่ยวเป่า พาแม่เจ้าไปที่ภูเขาลูกนั้นเพื่อเก็บกระดูกสิ และผลไม้เหล่านี้จะเป็นของเจ้าเอาไว้กิน ตกลงไหม”

 

 

มันคือผลฟองอากาศที่เหลืออยู่ของนางที่มีรสหวานมากและเหมาะอย่างยิ่งสำหรับเอาไว้ล่อใจเด็กๆ

 

 

เสี่ยวเป่ารับผลฟองอากาศไป แน่นอนว่าเขาดูมีความสุขมากหลังจากเขาได้กัดไปคำหนึ่ง “อร่อยมากเลย!”

 

 

หลังจากเห็นว่าเขามีความสุขมากแค่ไหน โม่เทียนเกอจึงหันไปหานายหญิงตรงๆ และพูดว่า “เสี่ยวเป่ารู้ว่ามันอยู่ที่ไหน ท่านควรตามเขาไป ยิ่งเก็บรวบรวมมาได้เร็วเท่าใดก็ยิ่งดี จะเป็นการดีที่สุดที่ท่านจะเรียกคนมาเพิ่มอีกเพราะกระดูกบางชิ้นนั้นใหญ่มาก ท่านไม่จำเป็นต้องกังวลว่าพอรวมคนอื่นๆ เข้ามาแล้วจะทำให้ผลประโยชน์ของท่านลดลง เพราะครอบครัวของท่านคงไม่สามารถเก็บกระดูกทั้งหมดได้ ข้าจะให้รางวัลท่านเพิ่มในภายหลัง”

 

 

“เจ้าค่ะ เจ้าค่ะ เจ้าค่ะ” นายหญิงจะกล้าคัดค้านได้อย่างไร นางรีบดึงมือลูกชายแล้วจึงตะโกนเสียงดัง “นานนาน ไม่จำเป็นต้องทำอาหารแล้ว! ไปเรียกพ่อเจ้ากลับบ้าน!” จากนั้นนางหันไปหาโม่เทียนเกอและพูดด้วยรอยยิ้ม “ท่านเทพธิดา กรุณารออยู่ที่นี่นะเจ้าคะ พวกเราจะไปโดยทันที”

 

 

โม่เทียนเกอพยักหน้าให้ด้วยรอยยิ้มและนั่งมองต่อไปขณะที่ครอบครัวนี้เริ่มวุ่นกับงานของตัวเอง

 

 

ไม่นานนักชายที่เป็นหัวหน้าครอบครัวก็กลับมาหลังจากเขาถูกเด็กหญิงเรียกกลับบ้าน เมื่อเขาได้ยินเรื่องซึ่งภรรยาเขาเล่าให้ฟัง เขารีบเข้ามาและก้มหัวคำนับโม่เทียนเกอ จากนั้นโม่เทียนเกอยอมให้เด็กหญิงอยู่เป็นเพื่อนนางเพื่อนั่งคุยและส่งคู่สามีภรรยาออกไปเพื่อเก็บรวบรวมกระดูกมาให้นาง

 

 

ตอนนี้เมื่อเด็กหญิงรู้แล้วว่าโม่เทียนเกอคือผู้ฝึกตน ทัศนคติของนางจึงแสดงความเคารพมากยิ่งขึ้น นางยืนระวังตัวอย่างนอบน้อมอยู่ด้านข้างและตอบทุกคำถามของโม่เทียนเกอ

 

 

ที่นี่คือหมู่บ้านตกปลาเล็กๆ บนชายฝั่งของทะเลตะวันออก นอกเหนือจากหมู่บ้านตกปลาอื่นอีกหลายๆ หมู่บ้าน ในบริเวณใกล้เคียงมีเมืองใหญ่เพียงเมืองเดียวที่ชื่อว่าเมืองหลินไห่ ที่ท้ายเมืองหลินไห่คือกลุ่มการฝึกตนที่รู้จักกันในนามสภาปี้เซวียน ภูมิภาคนี้ห่างไกลเกินไป ดังนั้นมันจึงไม่ใช่ส่วนหนึ่งของแคว้นใด เพราะเหตุนั้น สภาปี้เซวียนจึงมีอำนาจยิ่งใหญ่ที่สุดที่นี่

 

 

เด็กหญิงคนนี้ยังเด็กมาก ดังนั้นนางจึงไม่รู้เกี่ยวกับโลกมากนัก แต่อย่างไรก็ตาม หลังจากโม่เทียนเกอลองคำนวณดูในใจ นางก็พอจะเข้าใจได้คร่าวๆ ถึงที่อยู่ปัจจุบันของนาง

 

 

แนวเทือกเขาคุนอู๋แผ่ขยายไปทั่วทั้งส่วนทางใต้ของขั้วท้องฟ้าไปจนถึงตะวันออกเฉียงใต้ ตรงสุดปลายนั้นคือภูเขามารซึ่งแยกเขตของฝ่ายอธรรมไว้ในทิศตะวันออกเฉียงเหนือ เพราะฉะนั้นส่วนทางใต้ของทะเลตะวันออกคืออาณาเขตของสำนักเทียนเต้า ซึ่งส่วนทางเหนือของมันนั้นเป็นเขตของฝ่ายอธรรม ตามการคาดคะเนของโม่เทียนเกอ ที่อยู่ปัจจุบันของนางน่าจะอยู่ใกล้กับทะเลในเขตทางเหนือ หรือพูดอีกอย่างก็คือเขตของฝ่ายอธรรมอาจจะอยู่ทางตะวันตกของนาง

 

 

โม่เทียนเกอค่อนข้างกลุ้มใจเมื่อสรุปได้เช่นนี้ สถานที่นี้เป็นไปได้ว่าคือทะเลของภูเขามารซึ่งใกล้กับเขตของฝ่ายอธรรม ดังนั้นสถานการณ์ของนางจึงอันตรายพอสมควร ถ้านางบังเอิญเจอเข้ากับมารผู้ฝึกตน นางจะต้องมีปัญหามากอย่างแน่นอน เห็นได้ชัดว่าวิธีที่ดีที่สุดในการออกจากสถานที่นี้คือต้องตามหาสภาปี้เซวียน ในเมื่อสภาปี้เซวียนตั้งอยู่ที่นี่ พวกเขาน่าจะมีวิธีปลอดภัยเพื่อติดต่อกับโลกภายนอก

 

 

แน่นอนว่าสิ่งสำคัญที่สุดสำหรับนางตอนนี้ก็ยังคงเป็นการเก็บรวบรวมกระดูกมังกรอยู่ กระดูกมังกรจากหลายล้านปีก่อน… ถึงแม้นางจะยังไม่รู้ว่ามันสามารถเอาไปใช้ทำอะไรได้บ้าง แต่ลมปราณเทพมังกรที่มันมีอยู่นั้นเป็นของจริงซึ่งน่าจะมีประโยชน์เข้าสักวันหนึ่งแน่นอน

 

 

อย่างไรก็ตาม มีกระดูกมังกรมากมายเหลือเกิน เมื่อตำหนักใต้บาดาลพังทลายลง คงจะมีหลายส่วนที่ถูกน้ำพัดพาไป โม่เทียนเกอรู้สึกเสียดายเล็กน้อย ท้ายที่สุดแล้วถ้านางสามารถเก็บมันมาได้ทั้งหมด นางก็จะศึกษามันได้ง่ายขึ้นมาก ตอนนี้นางทำได้แค่เก็บให้ได้มากที่สุดเท่าที่จะหาเจอ

 

 

โม่เทียนเกอรู้จากเด็กหญิงว่าตระกูลนี้มีแซ่สุ่ย ชื่อของพ่อคือสุ่ยซาน และคนแม่เรียกกันง่ายๆ ว่า “ภรรยาของสุ่ยซาน” ตัวเด็กหญิงเองก็ไม่มีชื่อ นางเป็นลูกสาวคนเดียวในครอบครัวพวกเขา ดังนั้นตั้งแต่นางเกิด พวกผู้ใหญ่จึงเรียกนางว่า “นานนาน” ซึ่งหมายถึงลูกสาวและคนอื่นๆ ก็เรียกนางว่า “นานนานแห่งตระกูลสุ่ย”

 

 

“นานนาน” นี่เป็นชื่อแบบไหนกัน มีหลายสิบครอบครัวอยู่ที่นี่และลูกสาวส่วนใหญ่ของพวกเขาก็ถูกเรียกว่านานนานทันทีหลังจากพวกนางเกิด เพียงหลังจากที่พวกนางแต่งงานแล้วเท่านั้นถึงได้กลายเป็น “ภรรยาของใครสักคน” เมื่อพวกนางแก่ขึ้นอีกหน่อย พวกนางก็จะถูกเรียกว่า “อาโกว/อาอี๊” จนกระทั่งสุดท้ายพวกนางก็กลายเป็น “อาม่าของตระกูลใครสักคน” จากตั้งแต่เมื่อพวกนางเกิดจนกระทั่งพวกนางตาย ผู้หญิงส่วนใหญ่ที่นั่นไม่มีชื่อ

 

 

เมื่อนางเห็นความอิจฉาที่ซ่อนอยู่ในสายตาของเด็กหญิง โม่เทียนเกอรู้สึกเสียใจเล็กน้อย พี่น้องสองคนนี้ฉลาดมาก ถึงแม้ว่านานนานจะยังเด็กมาก แต่นางก็มีเหตุผลและเข้าใจว่านางต้องคอยระวังตัวกับคนแปลกหน้า เสี่ยวเป่านั้นยิ่งฉลาดกว่า สำหรับเด็กสี่หรือห้าขวบที่พูดจาฉะฉานก็ถือว่าเก่งแล้ว ไม่ต้องพูดถึงเมื่อดูจากสถานการณ์ทางการเงินของครอบครัวเขาเลย เขาน่าจะไม่มีใครคอยสอนด้วยซ้ำ

 

 

โม่เทียนเกอชมพวกเขาตามความจริง ทำให้นานนานยืดอกด้วยความภูมิใจทันที “เสี่ยวเป่าเริ่มพูดทันทีหลังจากเขาอายุหนึ่งขวบ ทุกคนในหมู่บ้านเราพูดว่าเสี่ยวเป่าเป็นดาวจากสวรรค์ที่ลงมายังโลก ท่านพ่อถึงกับพูดว่าเมื่อเสี่ยวเป่าโตขึ้นอีกหน่อย เขาจะส่งเขาเข้าเมืองเพื่อไปร่ำเรียน ในภายหลังเขาสามารถหางานในเมืองได้ ดังนั้นเขาจะได้กลายเป็นคนเมือง”

 

 

“โอ้” โม่เทียนเกอถามพร้อมรอยยิ้ม “ทำไมพ่อเจ้าไม่บอกให้เขาสอบขุนนางดูเล่า ด้วยวิธีนั้นเขาจะได้กลายไปเป็นข้าราชการ ถูกไหม”

 

 

นานนานส่ายหน้า “ท่านพ่อบอกว่า… เราไม่สามารถไปที่ไหนได้ตลอดชีวิต มีปีศาจอาศัยอยู่ทางตะวันตก ถ้าเราไปที่นั่น เราจะถูกพวกมันกิน”

 

 

สิ่งที่นางพูดทำให้โม่เทียนเกอแอบขมวดคิ้ว เป็นตามที่นางคาดไว้ ปีศาจที่เด็กหญิงพูดถึงคงจะเป็นคนจากเขตของฝ่ายอธรรม

 

 

นานนานยังคงพูดต่อ “น่าเสียดายที่ข้าไม่ได้ถูกสภาปี้เซวียนเลือก คงจะดีมากหากข้าสามารถเข้าสภาปี้เซวียนได้…”

 

 

โม่เทียนเกอประหลาดใจ นางถาม “สภาปี้เซวียนเลือกศิษย์ของพวกเขาอย่างไรรึ”

 

 

นานนานตอบว่า “เด็กผู้หญิงทุกคนที่อาศัยอยู่ในบริเวณใกล้เคียงของเมืองหลินไห่ต้องไปที่สภาปี้เซวียนเมื่อพวกนางอายุแปดปีเพื่อ… ตรวจดูรากวิญญาณของพวกนาง ถ้าพวกนางตรงตามข้อกำหนด พวกนางก็สามารถเข้าสภาปี้เซวียนได้และเมื่อถึงตอนนั้น ครอบครัวของพวกนางก็จะได้รับอนุญาตให้เข้าเมืองและกลายเป็นคนเมือง” ถึงตอนนี้จู่ๆ นานนานก็พูดต่ออย่างภูมิใจ “ถึงอย่างไรข้าก็มีรากวิญญาณห้าธาตุ อาอี๊จากสภาปี้เซวียนที่รับข้าตอนนั้นบอกว่ารากวิญญาณของข้าด้อยไป ดังนั้นข้าจึงไม่สามารถเข้าสภาปี้เซวียนได้ แต่นางจดชื่อของข้าไว้แล้ว ถ้าสักวันหนึ่งพวกเขาขาดสาวใช้ พวกเขาจะเรียกข้าเข้าไป”

 

 

“เจ้าก็มีรากวิญญาณงั้นหรือ” โม่เทียนเกอค่อนข้างประหลาดใจ ไม่ได้มีมนุษย์มากนักที่ครอบครองรากวิญญาณ แต่นางกลับบังเอิญเจอเข้ากับคนหนึ่ง

 

 

“อืม” นานนานพยักหน้า ใบหน้านางแดงเล็กน้อย “อาอี๊คนที่รับข้าพูดว่าข้ามี… มีรากวิญญาณห้าธาตุ”

 

 

“อ้อ ข้าเข้าใจ” โม่เทียนเกอพูดพร้อมกับผงกหัว มีคนมากมายที่มีรากวิญญาณห้าธาตุและในความทรงจำของนาง สภาปี้เซวียนเป็นกลุ่มการฝึกตนเล็กๆ ที่มีขนาดประมาณสำนักอวิ๋นอู้ เมื่อพิจารณาถึงความจริงที่พวกเขายึดครองบริเวณเล็กๆ ใกล้ชายฝั่งของทะเลตะวันออกซึ่งติดกับเขตของฝ่ายอธรรม คาดว่ามันคงไม่เป็นปัญหามากมายอะไรถ้าเด็กผู้หญิงที่มีรากวิญญาณห้าธาตุจะถูกรับเข้าไปเป็นสาวใช้ อย่างไรก็ตาม ช่างน่าเสียดายสำหรับนานนาน ถึงแม้รากวิญญาณของนางจะไม่ดี แต่นางนิสัยดีและนางก็ยังฉลาดอีกด้วย

 

 

นอกจากนี้ ในเมื่อสภาปี้เซวียนมีอิทธิพลใหญ่โตเช่นนั้นในบริเวณนี้ นางก็ควรจะเก็บกระดูกมังกรให้ไวและออกไปให้เร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้เพื่อหลีกเลี่ยงไม่ให้ข่าวเกี่ยวกับนางและกระดูกมังกรแพร่กระจายออกไป ไม่ต้องพูดถึงกลุ่มการฝึกตนเล็กๆ อย่างสภาปี้เซวียนหรอก แต่แม้กระทั่งกลุ่มการฝึกตนใหญ่ๆ ก็จะต้องสนใจกระดูกมังกรจากหลายล้านปีก่อนแน่

 

 

โม่เทียนเกอนึกอะไรบางอย่างออกจึงเปลี่ยนประเด็นทันที “จริงสิ! เด็กผู้หญิงที่มีรากวิญญาณสามารถเข้าสภาปี้เซวียนได้ แล้วพวกเด็กผู้ชายล่ะ สภาปี้เซวียนรับแต่ศิษย์ผู้หญิงเท่านั้นใช่หรือไม่”

 

 

นานนานพยักหน้า “อืม แค่เด็กผู้ชายที่มีรากวิญญาณยอดเยี่ยมเท่านั้นจึงจะถูกรับเข้าไปเป็นศิษย์นอกของสภาปี้เซวียน ที่ข้าได้ยินมาจากอาอี๊คนนั้น ศิษย์ผู้ชายจะถือได้ว่าเป็นศิษย์สภาปี้เซวียนตัวจริงก็หลังจากที่พวกเขาทำการฝึกตนร่วมสัมพันธ์กับหนึ่งในศิษย์ผู้หญิงของสำนักแล้วเท่านั้น”

 

 

โม่เทียนเกอเลิกคิ้วด้วยความประหลาดใจ สภาปี้เซวียนนี่ช่างมีเอกลักษณ์เฉพาะตัว ไม่เพียงแต่มันจะตั้งอยู่ในสถานที่แปลกประหลาดแล้ว แต่ยังมีกฎประหลาดอีกด้วย

 

 

ทิศตะวันตกของที่นี่คือเขตของฝ่ายอธรรม พวกมนุษย์ที่นี่ไม่สามารถเดินทางได้มากมายนักตลอดชีวิต ดังนั้นพวกมนุษย์ที่เกิดมาพร้อมรากวิญญาณจึงทำได้เพียงเคารพบูชาสภาปี้เซวียนแม้จะมีความจริงที่ว่าสภาปี้เซวียนรับแต่ศิษย์ผู้หญิงก็ตาม เพราะเหตุนั้น ในสภาปี้เซวียน สถานะของศิษย์ผู้ชายจึงต่ำต้อยกว่าศิษย์ผู้หญิงมากนัก ทำให้สภาปี้เซวียนกลายเป็นสิ่งแปลกพิกลของทั่วทั้งขั้วท้องฟ้า

 

 

จากที่นานนานบอกนาง โม่เทียนเกอมีความเข้าใจคร่าวๆ เกี่ยวกับสถานการณ์ใกล้ชายฝั่งทะเลตะวันออก เมื่อถึงเวลาบ่าย คนที่ออกไปเก็บกระดูกมังกรก็กลับมาทีละคน

 

 

คู่สามีภรรยาสุ่ยทำตามที่ได้รับมอบหมาย พวกเขาระดมกำลังจากทุกคนในหมู่บ้าน บางคนนำกระดูกกลับมาด้วยตัวเองและบางคนก็แบกกระดูกกลับมาด้วยกัน แต่พวกเขาก็เก็บรวบรวมกระดูกมังกรได้ในท้ายที่สุด ชิ้นที่ใหญ่ที่สุดคือกระดูกขา คนประมาณสี่หรือห้าคนต้องแบกมันกลับมาด้วยกัน

 

 

โม่เทียนเกอให้ลูกประคำทองไว้กับนานนานและบอกนางให้แจกลูกประคำหนึ่งลูกทุกครั้งที่มีใครสักคนนำกระดูกมังกรกลับมา และให้แจกเพิ่มถ้าคนนำกระดูกชิ้นใหญ่อย่างกระดูกขากลับมา

 

 

หลังจากได้รับลูกประคำทอง ชาวบ้านยังคงต้องการทำต่อ ดังนั้นทุกคนจึงตกลงกันว่าจะไปที่ชายหาดเพื่อค้นหากระดูกเพิ่ม การค้นหาของพวกเขาคงอยู่จนถึงตอนเย็น

 

 

โม่เทียนเกอก็ไม่ได้รีบเช่นกัน นางขอห้องว่างจากครอบครัวชาวประมงและรออยู่สองวันจนกระทั่งพวกเขาไม่สามารถหากระดูกมังกรเจอเพิ่มอีก

 

 

คาดว่ากระดูกมังกรหลายชิ้นคงกระจัดกระจายไปเมื่อตำหนักใต้บาดาลพังทลายลง นางพยายามจะต่อพวกมันเข้าด้วยกัน แต่นางก็ได้มาแค่กระดูกขาและกระดูกบางชิ้นเท่านั้น

 

 

อย่างไรก็ตาม มันคงจะดีพอแล้วหากนางเก็บรวบรวมกระดูกมังกรทุกชิ้นที่เกยตื้นอยู่บริเวณนี้ได้หมด ถ้าผู้ฝึกตนของสภาปี้เซวียนไม่เคยเห็นกระดูกพวกนี้ พวกเขาก็จะไม่เกิดความสงสัยใดๆ ต่อให้พวกเขาได้ยินว่ามีผู้ฝึกตนแปลกหน้ามาตามหากระดูกในบริเวณนี้ก็ตาม

 

 

ชาวประมงในหมู่บ้านนี้ตื่นเต้นยินดีที่ได้รับลูกประคำทองของโม่เทียนเกอ โดยเฉพาะคู่สามีภรรยาสุ่ยผู้ที่โม่เทียนเกอมอบแผ่นทองคำเปลวเพิ่มให้เล็กน้อย พวกเขายิ่งพยายามค้นหามากกว่าเดิมเสียอีก

 

 

เมื่อโม่เทียนเกอเก็บรวบรวมกระดูกมังกรเสร็จ ในที่สุดนางจึงถามคู่สามีภรรยาสุ่ยเกี่ยวกับบางเรื่องที่เกี่ยวข้องกับสภาปี้เซวียนขณะที่นางวางแผนจะออกจากที่นี่

 

 

แน่นอนว่าคู่สามีภรรยาสุ่ยบอกนางว่านอกเหนือจากทะเล พวกเขาไม่มีหนทางอื่นในการติดต่อกับโลกภายนอกอีก อย่างไรก็ตาม พวกเขามีเพียงเรือลำเล็กๆ ดังนั้นจึงอันตรายมากสำหรับพวกเขาในการออกเดินทางเสี่ยงภัยลึกเข้าไปในทะเล ยิ่งไปกว่านั้น ตั้งแต่ยุคโบราณ พวกเขาไม่เคยรู้เลยว่าทะเลนี้จะนำพาไปสู่ที่ใด

 

 

จากนั้นโม่เทียนเกอถามพวกเขาว่าพวกคนของสภาปี้เซวียนออกจากบริเวณนี้อย่างไร คู่สามีภรรยาสุ่ยไม่กล้าพูดไร้สาระ พวกเขาพูดว่าถ้านางต้องการออกไป นางสามารถไปที่เมืองหลินไห่เพื่อสอบถามได้เพราะสภาปี้เซวียนมีร้านค้าอยู่ที่นั่น

 

 

โม่เทียนเกอค่อนข้างแปลกใจ มีกลุ่มการฝึกตนแค่กลุ่มเดียวอยู่ในบริเวณนี้และนั่นก็คือสภาปี้เซวียน พวกเขาจะต้องมีร้านค้าไปเพื่ออะไร เพียงหลังจากที่คู่สามีภรรยาสุ่ยอธิบายให้นางฟังนางจึงเข้าใจได้ในที่สุด ปรากฏว่าถึงแม้จะมีเพียงกลุ่มการฝึกตนกลุ่มเดียวอยู่ที่นั่น แต่ยังมีผู้ฝึกตนอีกมากมาย โดยเฉพาะผู้ฝึกตนชายที่มีต้นทุนย่ำแย่ เนื่องจากสภาปี้เซวียนไม่รับพวกเขาเข้าเป็นศิษย์ พวกเขาจึงทำได้แค่พยายามเข้าใจเส้นทางการฝึกตนด้วยตัวเอง ด้วยเวลาที่ผ่านไป ตระกูลผู้ฝึกตนเล็กๆ และผู้ฝึกตนเดี่ยวมากมายจึงไปรวมตัวกันที่นั่น

 

 

โดยรวมแล้วโม่เทียนเกออยู่ที่หมู่บ้านชาวประมงนี้เพียงไม่กี่วัน เมื่อนางจัดการกับกระดูกมังกรเสร็จ นางจึงตัดสินใจเดินทางไปที่เมืองหลินไห่

 

 

ถ้านางต้องการกลับไปที่คุนอู๋ วิธีที่สะดวกที่สุดก็คงจะเป็นการขอความช่วยเหลือจากสภาปี้เซวียนนั่นเอง