เมื่อเขาได้ยินว่าโม่เทียนเกอต้องการที่จะออกจากหมู่บ้านชาวประมง เสี่ยวเป่าไม่เต็มใจอย่างมาก นอกจากนั้น โม่เทียนเกอได้ให้ของขวัญที่แสนอร่อยกับเขา ซึ่งเขาไม่เคยทานผลไม้ที่หวานขนาดนั้นมาก่อนเลยในชีวิตนี้
คู่สามีภรรยาสุ่ยไม่ต้องการให้ลูกๆ ของพวกเขาทำลายบรรยากาศ ดังนั้นพวกเขาจึงพยายามปลอบเขาในทันที โม่เทียนเกอให้ยาวิเศษที่นางพลาดจากการปรุงยาและไม่เป็นอันตรายแทนขนมแก่เสี่ยวเป่าเพื่อเป็นการเกลี้ยกล่อมเขา
“เอาละ” โม่เทียนเกอพูดขณะมองไปยังสมาชิกครอบครัวสุ่ยทั้งสี่คน “ท่านควรบอกข้าก่อนว่าข้าควรใช้เส้นทางไหนในการไปที่เมืองหลินไห่”
เมื่อได้ยินคำถามของนาง สุ่ยซานตอบอย่างรวดเร็ว “ท่านเทพธิดาเพียงแค่ต้องตรงไปทางทิศเหนือ หลังจากเดินทางอยู่ครึ่งวัน ท่านเทพธิดาก็จะถึงเมืองหลินไห่ขอรับ”
สิ่งที่มนุษย์พิจารณาว่าเป็นการเดินทางครึ่งวันสำหรับผู้ฝึกตนการสร้างฐานแห่งพลังงานเช่นนางน่าจะใช้เวลาเพียงแค่สิบนาที โม่เทียนเกอพยักหน้าพร้อมกล่าว “ขอบคุณท่านมาก”
นางกำลังจะออกเดินทาง แต่สุ่ยซานรีบเรียกนาง “ท่านเทพธิดา ท่านเทพธิดา กรุณารอก่อน”
โม่เทียนเกอหยุดชะงักหลังจากนั้นจึงหันมองด้านข้างขณะที่ถาม “มีอะไรอย่างอื่นอีกหรือ”
ถึงแม้นางจะมีลักษณะท่าทางที่อ่อนโยน แต่นางก็เป็นถึงผู้ฝึกตน นางมีสถานะที่ชัดเจนเมื่อต้องรับมือกับมนุษย์ ดังนั้นสุ่ยซานจึงรู้สึกค่อนข้างกลัวตามสัญชาตญาณ แต่หลังจากภรรยาของสุ่ยซานถองศอกเข้าที่หลัง เขาก็รวบรวมความกล้าขึ้นอีกครั้ง “ชายผู้ต่ำต้อยผู้นี้มีเรื่องจะร้องขอขอรับ ข้าน้อยหวังว่าท่านเทพธิดาจะยอมรับมัน!”
“โอ้ อะไรรึ ไหนลองพูดมาก่อนสิ”
สุ่ยซานดีใจที่โม่เทียนเกอไม่ได้ปฏิเสธคำขอของเขา เขาจึงหันมองที่นานนานและพูด “ท่านเทพธิดา นานนานของครอบครัวข้าครอบครองรากวิญญาณ แต่ท่านเทพธิดาจากสภาปี้เซวียนพูดว่ารากวิญญาณของนานนานนั้นค่อนข้างต่ำต้อย ดังนั้นนางจึงทำได้เพียงแค่รอหากมีตำแหน่งว่างในการเข้าร่วมสภาปี้เซวียน ครอบครัวสุ่ยของข้าในที่สุดก็มีเด็กที่ครอบครองรากวิญญาณ ดังนั้นข้าจึงเป็นกังวล คิดว่าถ้านานนานของข้าจะสามารถ…”
เขาสาธยายไปอีกยืดยาว ภรรยาของสุ่ยซานผู้ซึ่งรับรู้ได้ว่าโม่เทียนเกอขมวดคิ้วของนางเล็กน้อย รีบกระทุ้งสามีของนางหลังจากนั้นจึงพูดแทรกด้วยรอยยิ้ม “ท่านเทพธิดา สามีของข้าน้อยพูดไม่ตรงประเด็นเสียเลย ดังนั้นข้าน้อยจะขอพูดกับท่านตรงๆ นานนานของข้าน้อยบอกว่าถ้านางได้เรียนรู้เกี่ยวกับกฎแห่งเซียน นางอาจจะได้รับเลือกเป็นคนแรกสำหรับการคัดเลือกครั้งหน้า ตำรากฎแห่งเซียนนั้นสามารถหาซื้อได้ในเมือง แต่มันจะต้องใช้วิญญาณ… ศิลาวิญญาณหรืออะไรบางอย่าง แล้วครอบครัวของข้าน้อยจะมีสิ่งนั้นได้อย่างไร หลังจากที่ได้ช่วยท่านเทพธิดาจัดการกับธุระต่างๆ ในช่วงวันที่ผ่านมา ท่านเทพธิดาได้มอบทองให้กับพวกข้าน้อยมากมาย ดังนั้นพวกข้าน้อยเองก็ไม่ควรที่จะร้องขออะไรเพิ่มเติม แต่…”
“พวกเจ้าต้องการตำรากฎแห่งเซียนอย่างนั้นหรือ” โม่เทียนเกอพูดตัดบท
นายหญิงพยักหน้าอยู่หลายครั้งและพูดเพิ่มเติมว่า “ท่านเทพธิดา พวกข้าน้อยไม่ได้ขอทองจากท่านเพิ่มเติม มันเพียงพอกับพวกข้าน้อยแล้วหากท่านจะมอบตำรากฎแห่งเซียน ถ้านั่นยังไม่เพียงพอ ท่านเทพธิดาสามารถนำสิ่งที่ท่านชอบอะไรไปจากพวกข้าน้อยก็ได้เจ้าค่ะ…”
ชาวประมงที่ไม่ได้สลักสำคัญอะไรจะมีสิ่งที่นางต้องการได้อย่างไร
โม่เทียนเกอหันมองที่นานนาน ผู้ซึ่งมองนางอย่างประหม่าอยู่ด้านข้าง หลังจากนั้นโม่เทียนเกอจึงยกมือขึ้นเพื่อหยุดการพูดพร่ำเพรื่อของนายหญิง “ตกลง ข้าเข้าใจแล้ว”
หลังจากนั้นนางหยิบหยกบันทึกหลายอันออกมาจากกระเป๋าเอกภพของนาง แต่หลังจากคิดอีกครั้ง นางก็เก็บพวกมันกลับเข้าไปแล้วหยิบหนังสือออกมาแทน นานนานนั้นยังคงเป็นมนุษย์อยู่ในตอนนี้ ดังนั้นนางก็ไม่สามารถใช้จิตสัมผัสที่จำเป็นสำหรับการอ่านหยกบันทึกได้
“ทองนั้นไร้ประโยชน์สำหรับข้า นานนานและข้าพบกันด้วยโชคชะตา ดังนั้นจงเอาตำราเล่มนี้ไปถือว่าเป็นของขวัญแล้วกัน”
นานนานรับหนังสือเล่มบางเอาไว้ รู้สึกตื่นเต้นจนใบหน้าของนางเป็นสีแดงก่ำ คู่สามีภรรยาสุ่ยดึงนางให้คุกเข่าลงเพื่อก้มคำนับแก่โม่เทียนเกอ “ขอบพระคุณท่านเทพธิดาเจ้าค่ะ! ขอบพระคุณท่านเทพธิดาเจ้าค่ะ!”
โม่เทียนเกอโบกมือแล้วไม่ได้พูดอะไรอีก เพียงแค่การสะบัดแขนเสื้อของนาง นางก็เหาะขึ้นไปพร้อมกับสายลม
จากครอบครัวสุ่ยไปจนถึงทุกคนที่อยู่ในหมู่บ้านชาวประมงไร้นามนี้ต่างมุ่งความสนใจไปทางนางแทบทุกคน
โม่เทียนเกอเห็นนานนานผู้ซึ่งเงยหน้าขึ้นมองนางอยู่มีสายตาที่เต็มไปด้วยความหวังและความชื่นชมต่อนาง
นางยิ้มเล็กน้อยให้กับนานนานหลังจากนั้นจึงเปลี่ยนเป็นแสงเหินพุ่งหายไปยังเส้นขอบฟ้า
การครอบครองวิชาการฝึกตนขั้นพื้นฐานเช่นนี้เป็นสิ่งที่ง่ายเหมือนกับการกระดิกนิ้วสำหรับนาง แต่สำหรับเด็กตัวน้อยๆ ที่หวังจะก้าวเข้าสู่เส้นทางแห่งเซียนนั้นคงเป็นเรื่องที่ยากลำบาก โม่เทียนเกอไม่ได้รังเกียจที่จะทำตัวใจกว้างสักครั้งหนึ่ง ความจริงแล้วอาจจะสามารถพูดได้ว่าเป็นเพราะนางเกิดในฐานะมนุษย์ นางจึงมีความใจดีต่อมนุษย์มากกว่าผู้ฝึกตน อย่างไรก็ตาม ไม่ว่าเด็กน้อยคนนั้นจะสามารถเดินสู่เส้นทางแห่งเซียนได้หรือไม่นั้นก็ขึ้นอยู่กับตัวของนางเอง
นางส่ายหัว โยนความคิดต่างๆ เหล่านี้ไว้เบื้องหลังและมุ่งมั่นต่อการเดินทางของนาง
เมืองหลินไห่นั้นไม่ได้อยู่ไกลนัก เพียงแค่สิบนาที โม่เทียนเกอก็มองเห็นกำแพงเมืองได้จากระยะไกลแล้ว
แต่บางสิ่งบางอย่างทำให้นางต้องประหลาดใจ ตอนแรกนางคิดว่าในเมื่อเมืองหลินไห่นั้นตั้งอยู่ในพื้นที่ที่เล็กและห่างไกล มันก็น่าจะเป็นเพียงแค่เมืองเล็กๆ อย่างไรก็ตาม นางไม่ได้คาดคิดว่ากำแพงเมืองนั้นจะยิ่งใหญ่ขนาดนี้ ไม่แพ้เมืองขนาดกลางที่อยู่ดินแดนใจกลางแม้แต่น้อย
บางอย่างทำให้นางประหลาดใจยิ่งขึ้นไปอีก เมื่อนางเข้าไปใกล้ถึงเมืองหลินไห่ โดยไม่คาดคิดรองเท้าย่ำเมฆาของนางก็ไม่สามารถควบคุมได้ มันเหมือนกับว่า… มีการวางขอบข่ายพื้นที่ห้ามบินอยู่ในเมืองนี้
หลังจากพิจารณาถึงเรื่องนี้เล็กน้อย โม่เทียนเกอจึงเหาะลงทางด้านนอกเมืองหลังจากนั้นจึงเดินเท้าต่อไปยังเมืองหลินไห่
มันเป็นช่วงเวลากลางวันในตอนนั้น แต่ประตูเมืองก็ดูเหมือนถูกทิ้งร้างไว้ มีเพียงแค่คนไม่กี่คนเดินผ่าน ถึงแม้ว่าประตูนั้นจะถูกป้องกันโดยทหารยามเพียงหนึ่งคน ตอนนี้เขาก็ทำเพียงแค่ยืนพิงกำแพงที่อยู่ใกล้กับประตูและงีบหลับโดยไม่ได้สนใจคนเดินผ่านประตูเลยแม้แต่น้อย
โม่เทียนเกองุนงง นี่เมืองหลินไห่ไม่ได้เป็นของแคว้นใดเลยหรือ มีทหารได้อย่างไร
แต่เรื่องที่น่างุนงงยิ่งกว่ากำลังรอนางอยู่ ขณะที่นางกำลังจะเดินเข้าไปในเมือง ทหารยามที่กำลังงีบหลับเหลือบมองนางในสภาวะครึ่งหลับครึ่งตื่น ในทันทีเขาก็ตื่นขึ้น ขยี้ตาและรีบวิ่งไปขวางนาง เขาคำนับนางด้วยความเคารพพร้อมพูด “ท่านเทพธิดา ได้โปรดหยุดก่อน”
โม่เทียนเกอเลิกคิ้ว “เจ้ารู้ได้อย่างไรว่าข้าเป็นผู้ฝึกตน”
หลังจากที่นางถามเช่นนั้น ทหารยามแปลกใจและตกใจอย่างมาก ดังนั้นเขาจึงพูดโพล่งออกมา “นี่ท่านเทพธิดาไม่ได้เป็นท่านเซียนจากพื้นที่ของหลินไห่อย่างนั้นหรือขอรับ”
โม่เทียนเกอขมวดคิ้วและไม่ตอบ ความวิตกกังวลภายในใจของนางยิ่งทวีคูณมากขึ้น
เมื่อรับรู้ได้ว่าท่าทางของนางดูเปลี่ยนไป ทหารยามรีบพูดออกมา “ท่านเทพธิดาได้โปรดระงับความโกรธของท่านก่อน ท่านเซียนจากพื้นที่บริเวณเมืองหลินไห่รู้ว่าพวกข้าสามารถแยกแยะความแตกต่างของเซียนกับมนุษย์ได้ ข้ารู้สึกว่าท่านเทพธิดาไม่ทราบถึงสิ่งนี้ ดังนั้นข้าจึงคาดเดาว่าท่านเทพธิดาไม่ได้มาจากพื้นที่ของเมืองหลินไห่ขอรับ”
“โอ้” โม่เทียนเกอพยักหน้า “ข้าเป็นเพียงแค่ผู้ฝึกตนต่างถิ่นที่บังเอิญผ่านมาที่นี่ แล้วนี่มีเหตุผลอะไรที่เจ้าหยุดข้าหรือ หรือว่าที่เมืองหลินไห่นี่ไม่อนุญาตให้คนนอกเข้าไป”
ทหารยามโบกมือไปมา “ท่านเทพธิดาเข้าใจข้าน้อยผิดไปแล้ว ไม่มีเรื่องเช่นนั้นหรอกขอรับ เมืองหลินไห่ของพวกเรามีอยู่ได้ด้วยการสนับสนุนจากท่านเทพเซียนและเหล่าเทพธิดา พวกเราจะห้ามไม่ให้พวกท่านเข้าไปได้อย่างไร
“ถ้าอย่างนั้นเจ้าพยายามที่จะ…”
ทหารยามอธิบาย “ผู้ฝึกตนเดี่ยวของพื้นที่เมืองหลินไห่จำเป็นที่จะต้องลงนามในการเข้าเมืองขอรับ ดังนั้นท่านเทพธิดาช่วยลงนามของท่านที่นี่ก่อนได้หรือไม่ขอรับ”
“โอ้” โม่เทียนเกอรู้สึกรำคาญ กฎข้อนี้ของเมืองหลินไห่นั้นเกินไป นางเคยไปมาหลายที่และไม่มีที่ไหนเลยที่กล้าออกกฎเช่นนี้กับผู้ฝึกตน มันเป็นที่รู้กันว่าผู้ฝึกตนนั้นไม่ชอบที่จะถูกคนอื่นควบคุมมากที่สุด การที่จะต้องลงนามเพื่อเข้าไปในเมืองนั้นทำให้ผู้คนรู้สึกอึดอัด
ท่าทางของโม่เทียนเกอในตอนนี้ทำให้ทหารยามต้องรีบอธิบายเพิ่มเติม “ท่านเทพธิดา นี่เป็นกฎที่ตั้งขึ้นมาจากท่านเทพธิดาของสภาปี้เซวียน ข้าเป็นเพียงแค่มนุษย์ผู้ที่ต้องทำตามคำสั่ง…”
“หรือพูดอีกอย่างก็คือถ้าข้าไม่ลงนามของข้าไว้ ข้าก็จะไม่สามารถเข้าไปในเมื่องได้สินะ” โม่เทียนเกอชำเลืองมองเขาด้วยความเย็นชา
ถึงแม้ว่านางไม่ได้ตัวสูง แต่ทหารยามก็ต้องรู้สึกตัวเล็กอย่างช่วยไม่ได้เมื่อต้องเผชิญกับแรงกดดันที่นางปล่อยออกมาโดยไม่ทันรู้ตัว อย่างไรก็ตาม เขาก็ยังคงพูดยืนกรานว่า “อภัยให้ข้าน้อยด้วยท่านเทพธิดา แต่นี่เป็นกฎ…”
ภายในใจของนาง โม่เทียนเกอมั่นใจในทันทีว่าขอบข่ายพื้นที่ห้ามบินเหนือเมืองหลินไห่นั้นคงจะวางโดยสภาปี้เซวียนด้วยเช่นกัน มันดูเหมือนกับ… อำนาจของสภาปี้เซวียนที่ปกครองแคว้นริมน้ำนี้นั้นจะยิ่งใหญ่มหาศาล ไม่เพียงแต่ควบคุมเมืองเท่านั้น แต่ยังคงควบคุมไปถึงผู้ฝึกตนจากบริเวณใกล้เคียงด้วย
โม่เทียนเกอครุ่นคิดถึงสิ่งที่นางจะทำก่อนที่จะพูดด้วยท่าทางที่เย็นชาว่า “เจ้าต้องการให้ข้าลงนามที่ไหน”
ทหารยามกลัวว่าจะทำให้เทพธิดานางนี้โกรธ ถึงแม้ว่าเขาจะทำงานให้กับสภาปี้เซวียน มนุษย์เช่นเขาก็ไม่กล้าที่จะทำให้เซียนขุ่นเคือง ไม่ว่าจะเป็นเซียนผู้ใดก็ตาม และเพราะเหตุนั้นเมื่อเขาได้ยินที่โม่เทียนเกอพูด เขาจึงรู้สึกยินดีมาก เขารีบหยิบหนังสือลงนามออกมาจากด้านข้างและส่งให้โม่เทียนเกอ “ท่านเทพธิดา โปรดลงนามของท่านที่นี่ขอรับ”
เมื่อเปิดหนังสือลงนาม โม่เทียนเกอเห็นชื่อหลายคนถูกเขียนเอาไว้ เวลาที่พวกเขาเข้าไปและออกจากเมืองก็ถูกบันทึกไว้อย่างชัดเจน
นางไม่ได้หยุดนิ่งแม้แต่น้อยหลังจากรับพู่กันมาจากทหารยาม นางเขียน “เยี่ยเสี่ยวเทียน” ลงบนพื้นที่ว่างในทันที
หลังจากนั้นนางจึงโยนพู่กันกลับไปยังทหารยามและพูด “แค่นี้พอแล้วใช่ไหม”
ทหารยามพยักหน้าซ้ำๆ “เพียงพอ เพียงพอแล้วขอรับ ท่านเทพธิดา เชิญด้านในขอรับ”
โดยที่ไม่พูดอะไรต่อ โม่เทียนเกอเดินก้าวยาวๆ เข้าไปในเมือง
เมื่อนางเข้าไปในเมือง ทหารยามเขียนต่อท้ายชื่อของนาง “เยี่ยเสี่ยวเทียน ผู้หญิง ไม่รู้ระดับการฝึกตน เข้าเมืองวันที่ยี่สิบของเดือนที่แปด”
โม่เทียนเกอรู้สึกไม่ค่อยมีความสุข ความประทับใจของนางต่อสภาปี้เซวียนแย่อยู่แล้วจากศิษย์หญิงสามคนของสภาปี้เซวียนที่นางพบในถ้ำเซียนของจื่อเวย แต่ตอนนี้ความประทับใจของนางยิ่งแย่ไปมากกว่าเดิม ถึงแม้ว่าสภาปี้เซวียนจะเป็นกลุ่มการฝึกตนกลุ่มเดียวในบริเวณนี้ การกระทำที่ควบคุมผู้ฝึกตนจากที่อื่นนั้นดูเผด็จการเกินไป!
ในคุนอู๋ แม้กระทั่งกลุ่มการฝึกตนขนาดใหญ่ที่ได้รับการขนานนามว่าเป็นกลุ่มการฝึกตนที่ยิ่งใหญ่ที่สุดอย่างสำนักเทียนเต้าและโรงเรียนเสวียนชิงก็ยังไม่เคยบังคับให้ผู้ฝึกตนที่มาเยี่ยมเยียนเมืองของพวกเขาต้องลงนาม นับประสาอะไรกับกลุ่มผู้ฝึกตนเล็กๆ อย่างสภาปี้เซวียน แม้กระทั่งในเมืองที่เป็นเมืองส่วนตัว อย่างมากที่พวกเขาจะทำคือการถามถึงที่มาของผู้ฝึกตนหลังจากนั้นจึงออกเอกสารยืนยันตัวตนให้ พวกเขาจะไม่อนุญาตให้มนุษย์มาจดบันทึกถึงการมาและไปของผู้ฝึกตนแบบไม่ไตร่ตรองเช่นนี้
อย่างไรก็ตาม ความจริงที่ว่าสภาปี้เซวียนกล้าทำเช่นนี้แสดงให้เห็นแล้วว่าพวกเขามีอำนาจมากแค่ไหนในพื้นที่แห่งนี้ มันคงจะไม่ได้เป็นเรื่องราวอะไรไม่ว่านางจะเข้าไปในเมืองหรือไม่ถ้านางอยู่ที่คุนอู๋ แต่ที่นี่ นี่เป็นเพียงเมืองใหญ่เมืองเดียวในบริเวณนี้ และยิ่งไปกว่านั้น นางก็ไม่ได้ต้องการที่จะแตกหักกับสภาปี้เซวียน ดังนั้นนางจึงต้องลงนามไว้
ดังนั้นนางจึงไม่มีทางเลือกและเข้าเมืองไป ในกรณีใดก็ตาม ชื่อที่แท้จริงของนางไม่ได้ถูกบันทึกไว้ และเยี่ยเสี่ยวเทียนก็ไม่ได้เป็นชื่อที่โด่งดังนัก มันไม่เป็นปัญหาที่จะเปิดเผยออกไป
อย่างไรก็ตาม เรื่องนี้ทำให้นางนึกถึงบางสิ่ง เมื่อพิจารณาถึงความเผด็จการที่สภาปี้เซวียนเป็น นางควรทำอย่างไรถ้านางหาทางหนีด้วยตัวเองเมื่อนางถามถึงเส้นทางกลับไปยังคุนอู๋จากพวกเขา นางอยู่ด้วยตัวคนเดียวในตอนนี้ และไม่ว่าสภาปี้เซวียนจะแย่แค่ไหน พวกเขาก็คงจะต้องมีผู้ฝึกตนการก่อเกิดแก่นขุมพลังอยู่บ้างไม่น้อย
หากเป็นเช่นนั้น นางควรที่จะรวบรวมข้อมูลเสียก่อน และถามคนอื่นว่าเอกลักษณ์ของสภาปี้เซวียนเป็นอย่างไรบ้างทางฝั่งทะเลตะวันออกนี้
เมื่อนางมีแผนการเช่นนี้ โม่เทียนเกอจึงเริ่มสำรวจสถานการณ์ของเมืองหลินไห่
ถ้านางไม่รู้เรื่องมาก่อน นางคงไม่เคยคิดว่าเมืองหลินไห่นี้จะตั้งอยู่ในพื้นที่ห่างไกลอย่างชายฝั่งทะเลตะวันออกจริงๆ มันมีถนนที่กว้างขวางและอาคารสองชั้นหรือมากกว่านั้นมากมาย ไม่ได้ดูด้อยกว่าเมืองในดินแดนใจกลางแม้แต่น้อย
อย่างไรก็ตาม คนเมืองของที่นี่เป็นสิ่งที่แตกต่างอย่างสิ้นเชิง อย่างเช่น มีผู้คนมากมายแต่งตัวเหมือนชาวประมงที่นี่ แม้กระทั่งแขกเหรื่อในร้านอาหารก็ยังแต่งกายในเสื้อผ้าลักษณะที่เรียบธรรมดา คาดว่าพื้นที่นี้ไม่ได้มีทรัพยากรที่มีค่านัก ดังนั้นชาวบ้านจึงไม่สามารถมีผ้าปักดอกที่สวยงามไว้สวมใส่ได้
หลังจากไตร่ตรองถึงลำดับขั้นต่อไปของนาง โม่เทียนเกอหันไปทางร้านอาหารที่อึกทึกเป็นพิเศษและตรงเข้าไปหาเถ้าแก่ร้าน
เพียงแค่นางกำลังจะพูด เถ้าแก่ร้านเงยหน้าขึ้นมาพอดีและในเสี้ยววินาทีหลังจากนั้น เขาก็แสดงท่าทางที่เต็มไปด้วยความเคารพ “ท่านเทพธิดา เชิญด้านใน เชิญด้านในขอรับ”
โม่เทียนเกอรู้สึกสับสนเล็กน้อย ทหารยามเฝ้าประตูนั้นไม่ได้ผิดปกติ สุดท้ายแล้ว ในเมื่อเขาได้รับหน้าที่ให้เฝ้าประตูเมือง เขาต้องรู้อย่างแน่นอนว่าเซียนแตกต่างจากมนุษย์อย่างไร อย่างไรก็ตาม ทำไมเถ้าแก่ร้านทั่วไปเช่นนี้ถึงสามารถรับรู้ถึงตัวตนของนางได้ว่าเป็นผู้ฝึกตนด้วยเพียงแค่การชำเลืองมอง
“เถ้าแก่” โม่เทียนเกอไม่ได้ขยับ “ท่านรู้ได้อย่างไรว่าข้าคือผู้ฝึกตน”
เถ้าแก่ร้านประหลาดใจ “ท่านเทพธิดา ท่านไม่ได้มาจากบริเวณนี้หรือ”
“อือ”
เถ้าแก่ร้านรูปร่างอ้วนท้วมลูบมือของเขาขณะที่อธิบายด้วยรอยยิ้ม “ท่านเซียนในเมืองหลินไห่ของพวกข้าดำรงชีวิตอยู่ร่วมกับมนุษย์ หลังจากที่ดำรงชีวิตอยู่ร่วมกันมานาน พวกข้าก็สามารถแยกแยะได้ในทันที ท่านเทพธิดา ท่านมีความสงบสุขุม และท่านก็สง่างามดุจดั่งเทพ ดังนั้นท่านจึงเป็นท่านเซียนเป็นแน่ขอรับ!”
“โอ้ เจ้ารู้อย่างนั้นเองสินะ” โม่เทียนเกอพยักหน้า “แต่ข้าไม่ได้มาจากบริเวณนี้จริง”
“ไอ้หยา ผู้ฝึกตนต่างถิ่นยากที่จะพบเจอนัก! ท่านเทพธิดา ท่านอยากจะทานหรือดื่มอะไรในวันนี้ขอรับ พวกเราขอมอบให้ท่านโดยไม่คิดเงินขอรับ!”
โม่เทียนเกอส่ายหัวของนางเบาๆ “ข้าไม่ได้มาทานอะไร ข้าเพียงแค่ต้องการข้อมูลข่าวบางอย่างจากเถ้าแก่เท่านั้น”