เมื่อโม่เทียนเกอเดินออกจากร้านอาหาร นางก็มีจุดหมายปลายทางอยู่แล้ว จึงเดินตรงไปตามถนนสายหลักและเป็นดังที่นางคาดไว้ ไม่ช้าก็เห็นร้านอาหารหรูหราที่ชื่อว่าเรือนเมฆคราม
หลังจากนางเข้าไปในร้านอาหาร เสี่ยวเอ้อร์ก็เข้ามาทักทายนางทันทีพร้อมรอยยิ้มกว้างบนใบหน้า “ท่านเทพธิดา เชิญขึ้นไปชั้นบนขอรับ เชิญขึ้นไปชั้นบน”
โม่เทียนเกอพยักหน้าแล้วจึงตามเสี่ยวเอ้อร์ไปชั้นบนจนกระทั่งนางมาถึงชั้นสาม
ทันทีที่นางก้าวขึ้นไปที่ชั้นสาม นางรู้สึกได้ถึงสายตาหลายคู่จับจ้องมาที่นางทันที
นางสำรวจดูสถานการณ์รอบตัวอย่างระมัดระวัง
ชั้นสามค่อนข้างจะหรูหราน้อยกว่าแต่ก็งามสง่ากว่าชั้นล่างๆ เล็กน้อย โต๊ะไม้หงมู่ประมาณห้าหรือหกตัวตั้งอยู่ในห้องที่กว้างขวางนี้และมีระยะห่างระหว่างโต๊ะแต่ละตัวพร้อมทั้งมีต้นไม้เป็นฉากกั้น ดูงดงามอย่างมาก
ตอนนี้โต๊ะทั้งสามตัวมีแขกจับจองอยู่แล้วซึ่งล้วนแต่เป็นผู้ฝึกตนทั้งสิ้น พวกเขาทุกคนเป็นผู้ชายและระดับการฝึกตนของพวกเขาก็อยู่ในดินแดนการหลอมรวมพลังงานวิญญาณทั้งหมด
โม่เทียนเกอครุ่นคิดถึงสถานการณ์นี้ สุดท้ายแล้วสภาปี้เซวียนก็ถือได้ว่าเป็นกลุ่มการฝึกตนขนาดกลางหรือเล็ก ดังนั้นหากผู้ฝึกตนเดี่ยวสามารถฝึกตนได้จนถึงดินแดนการสร้างฐานแห่งพลังงาน พวกเขาก็น่าจะถูกชักชวนเข้ากลุ่มไปนานแล้วถึงแม้พวกเขาจะเป็นผู้ฝึกตนชายก็ตาม
ที่โต๊ะตัวแรกคือชายวัยกลางคนสองคนซึ่งกำลังคุยกันเสียงดัง เมื่อพวกเขาเห็นนาง ก็มองนางอย่างเร็วๆ อีกครั้งด้วยความประหลาดใจ แต่ไม่ช้าก็หันมองทางอื่นและคุยกันต่อ
ที่โต๊ะตัวที่สองมีผู้ฝึกตนทั้งหนุ่มและแก่นั่งอยู่และกำลังคุยกันอย่างเรื่อยเปื่อย เมื่อพวกเขาเห็นนางเดินเข้ามา สายตาพวกเขาจับจ้องอยู่ที่นางทันที ดูเหมือนจะพยายามเดาที่มาที่ไปของนาง
โต๊ะตัวที่สามถูกจับจองโดยชายหนุ่มห้าวสามคน พวกเขาดูเหมือนจะเป็นเด็กจากตระกูลผู้ฝึกตน เพราะพวกเขาไม่ได้ดูยากจนเหมือนกับพวกผู้ฝึกตนเดี่ยว
“ท่านเทพธิดา เชิญทางนี้ขอรับ” เสี่ยวเอ้อร์นำทางโม่เทียนเกอไปยังโต๊ะที่ว่าง เมื่อโม่เทียนเกอนั่งลง เขาเสนอชาให้นางอย่างรวดเร็วและถามว่า “ท่านเทพธิดา ท่านต้องการสั่งอะไรดีขอรับ”
โม่เทียนเกอคิดดูนิดหน่อยก่อนจะตอบว่า “ขออะไรที่สดชื่นน่าจะดี”
“แน่นอนขอรับ แน่นอน” เสี่ยวเอ้อร์พูดอย่างว่าง่าย “ท่านเทพธิดา กรุณารอสักครู่ เดี๋ยวจะนำเครื่องดื่มมาให้ขอรับ”
จากนั้นเสี่ยวเอ้อร์ลงไปข้างล่าง ส่วนโม่เทียนเกอนั้น นางยกถ้วยน้ำชาและเริ่มดื่มอย่างสบายๆ
เถ้าแก่ของร้านอาหารเล็กๆ ก่อนหน้านี้บอกนางว่าในเมืองหลินไห่ ผู้ฝึกตนและมนุษย์อาศัยอยู่ร่วมกัน พวกมนุษย์มีความเคารพต่อผู้ฝึกตนอย่างสูง ดังนั้นผู้ฝึกตนจึงสุขสบายกับสิทธิพิเศษมากมายที่นั่น ในเมืองหลินไห่ ไม่ว่าจะเป็นศิษย์สภาปี้เซวียนหรือผู้ฝึกตนเดี่ยว ทั้งหมดล้วนได้รับการปฏิบัติด้วยความเคารพอย่างสูงจากมนุษย์ทุกคน พวกมนุษย์ถึงขนาดเตรียมสิ่งอำนวยความสะดวกไว้เป็นพิเศษเพื่อผู้ฝึกตนเลยทีเดียว เหมือนอย่างชั้นสามของเรือนเมฆครามนี้เป็นต้น
ที่นี่คือร้านอาหารที่ใหญ่ที่สุดในเมืองหลินไห่ ว่ากันว่านายใหญ่มีความสัมพันธ์อันดีกับพวกเทพธิดาจากสภาปี้เซวียน ชั้นสามของเรือนเมฆครามนี้เปิดเฉพาะสำหรับผู้ฝึกตนเท่านั้น ผู้ฝึกตนทุกคนแม้แต่พวกที่เพิ่งอยู่แค่ในระดับแรกของดินแดนการหลอมรวมพลังงานวิญญาณก็สามารถมากินดื่มที่นี่ได้โดยไม่เสียค่าบริการ เพราะฉะนั้นไม่ว่าจะเป็นศิษย์สภาปี้เซวียนหรือเด็กๆ จากตระกูลผู้ฝึกตนหรือบางทีอาจจะเป็นผู้ฝึกตนเดี่ยว ผู้ฝึกตนทุกคนในบริเวณใกล้เคียงของเมืองหลินไห่จึงมักจะมาที่เรือนเมฆครามเสมอเมื่อใดก็ตามที่พวกเขามีเวลาว่างมานัดเจอและแลกเปลี่ยนข่าวสารกัน
หลังจากโม่เทียนเกอได้รู้เรื่องนี้ นางไม่ได้พูดอะไรมากมายอีกและมาที่นี่ทันที
เหตุผลที่นางไม่ถามเถ้าแก่ถึงทุกสิ่งที่นางอยากรู้โดยตรงก็เพราะเถ้าแก่เป็นมนุษย์ธรรมดา ข่าวบางเรื่องจะน่าเชื่อถือกว่าเมื่อได้ยินได้ฟังจากพวกผู้ฝึกตนด้วยกันเอง
ขณะที่นางนั่งอยู่ที่นี่ตอนนี้ ก็ได้พินิจพิเคราะห์ทุกคนที่โต๊ะอื่นทั้งสามโต๊ะ นางใส่จี้ซ่อนวิญญาณอยู่ ดังนั้นนางจึงสามารถอำพรางระดับการฝึกตนของนางได้อย่างจงใจ ทำให้คนอื่นๆ สัมผัสถึงระดับการฝึกตนของนางว่าอยู่ในดินแดนการหลอมรวมพลังงานวิญญาณและในขณะเดียวกันก็ทำให้คนอื่นไม่สามารถตรวจสอบดินแดนของนางได้ต่อไป ท่ามกลางผู้ฝึกตนประมาณแปดถึงเก้าคนที่อยู่ในห้องนี้ ระดับการฝึกตนสูงสุดที่มีในกลุ่มพวกเขาคือระดับหกของดินแดนการหลอมรวมพลังงานวิญญาณ ดังนั้นพวกเขาจึงไม่สามารถสังเกตอะไรผิดปกติเกี่ยวกับตัวนางได้
ไม่นานนักหลังจากเสี่ยวเอ้อร์ลงไปข้างล่าง ชายหนุ่มบนโต๊ะตัวที่สามต่างก็เหลือบมองกัน ทันทีหลังจากนั้น หนึ่งในคนพวกนั้นยืนขึ้นและเดินมาหานาง
“สหายนักพรต นามข้าคือเหวยจื้อหมิง ยินดีที่ได้พบท่าน”
โม่เทียนเกอแสร้งทำเป็นเพิ่งสังเกตเห็นเขา นางยืนขึ้นและประสานมือเป็นการทักทาย “ข้าชื่อเยี่ยเสี่ยวเทียน ขอคารวะสหายนักพรตเหวย”
พอเห็นนางตอบกลับการทักทายของเขาอย่างสุภาพ ความดีใจปรากฏขึ้นบนใบหน้าของเหวยจื้อหมิงขณะที่เขาประสานมืออีกครั้ง “แม่นางเยี่ยสินะ”
เมื่อครู่เขายังเรียกนางว่า “สหายนักพรต” อยู่เลยแต่ตอนนี้จู่ๆ กลับเปลี่ยนเป็น “แม่นาง” โม่เทียนเกอยิ้มอย่างไม่แยแส “สหายนักพรตเหวยสุภาพเกินไป มีอะไรให้ข้าช่วยหรือ”
“อ้อ แท้จริงแล้วเป็นอย่างนี้นี่เอง” ความเป็นมิตรเข้าถึงง่ายของโม่เทียนเกอทำให้รอยยิ้มกว้างเบ่งบานบนใบหน้าของเหวยจื้อหมิง “หรือว่าแม่นางจะมาตัวคนเดียว เช่นนั้น ในเมื่อเรามีโชคได้พบกัน เรามาพูดคุยกันถึงเส้นทางสู่ความเป็นเซียนดีไหมล่ะ”
โม่เทียนเกอนั่งอยู่ตรงนั้นเพราะนางกำลังรอให้ใครสักคนเป็นฝ่ายเริ่มคุยกับนางก่อน ดังนั้นเมื่อนางได้ยินสิ่งที่เหวยจื้อหมิงพูด นางจึงใช้เวลาคิดแค่ครู่เดียวเท่านั้นก่อนนางจะยิ้มและตอบว่า “ในเมื่อสหายนักพรตเหวยมีเจตนาที่เมตตา ข้าจะปฏิเสธได้อย่างไรเล่า การนั่งอยู่ที่นี่คนเดียวช่างน่าเบื่อ ข้าจึงควรจะตอบรับคำเชิญของสหายนักพรต”
เหวยจื้อหมิงรู้สึกยินดี “แม่นาง เชิญมาที่โต๊ะของเราสิ” จากนั้นเขาตะโกนเสียงดัง “เสี่ยวเอ้อร์! ขึ้นมาชั้นบน!”
เสียงดัง ตุบๆๆ ของฝีเท้าที่เร่งรีบดังขึ้น ไม่นานหลังจากนั้น เสี่ยวเอ้อร์วิ่งขึ้นมาข้างบนและเขาก็ถือเครื่องดื่มของโม่เทียนเกออยู่ในมือด้วยพอดี
เหวยจื้อหมิงโบกมือและพูดว่า “เก็บโต๊ะของเราและเตรียมอาหารสดใหม่มาให้เราด้วย”
สายตาของเสี่ยวเอ้อร์กวาดไปทั่ว เขาเข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้นแค่มองปราดเดียว เขาพยักหน้าและโค้งคำนับอย่างว่าง่ายทันที “ขอรับๆ” จากนั้นเขาวางเครื่องดื่มที่ด้านข้าง เก็บโต๊ะของทั้งสามแล้วจึงลงไปข้างล่างอีกครั้ง
เนื่องจากชั้นสามถูกจัดไว้เป็นพิเศษสำหรับผู้ฝึกตน พวกเสี่ยวเอ้อร์จึงช่างใส่ใจเป็นธรรมดา คนหลายคนขึ้นมาโดยเร็วและจัดวางอาหารหรูทั้งร้อนและเย็นแทบทุกชนิดพร้อมทั้งเหล้าองุ่น ผู้ฝึกตนจะค่อยๆ ลดละอาหารทางโลกไปทีละนิดหลังจากที่พวกเขาเข้าถึงระดับสิบของดินแดนการหลอมรวมพลังงานวิญญาณ คนพวกนี้ยังไม่มีใครเข้าถึงระดับสิบของดินแดนการหลอมรวมพลังงานวิญญาณ ดังนั้นพวกเขาจึงยังกินและดื่มเหมือนกับมนุษย์ทั่วไป
“แม่นางเยี่ย เชิญสิ” เหวยจื้อหมิงพูดพร้อมรอยยิ้ม ผู้ฝึกตนหนุ่มอีกสองคนที่โต๊ะเขาก็ยืนขึ้นเช่นกัน ทั้งคู่แสดงกิริยาท่าทางที่มีเมตตามาก
โม่เทียนเกอทำความเคารพทั้งสองคนสั้นๆ ก่อนจะนั่งลง
ทันทีที่นางนั่งลงในที่นั่งของนาง เหวยจื้อหมิงรินเหล้าองุ่นให้นางอย่างตั้งใจ “แม่นางเยี่ย ขอให้ข้าได้แนะนำท่านก่อน นี่คือสหายนักพรตทั้งสองคนของข้า หวงจื้อเฟิงและเย่ว์หยาง”
สายตาโม่เทียนเกอจับอยู่ที่คนทั้งสอง เหวยจื้อหมิงให้ความรู้สึกของคุณชายวัยหนุ่มที่ค่อนข้างชวนฝัน และขณะที่หวงจื้อเฟิงสง่างามน้อยกว่าเขา แต่เขามีเสน่ห์มากกว่า ส่วนเย่ว์หยาง เขาขี้อายมากและดูเหมือนจะเด็กที่สุดในกลุ่มพวกเขา เขาดูเหมือนจะยังอยู่ในช่วงวัยรุ่น
ในหมู่พวกเขาทั้งสามคน คนที่ระดับการฝึกตนสูงที่สุดคือเหวยจื้อหมิง เขาอยู่ในระดับห้าของดินแดนการหลอมรวมพลังงานวิญญาณขณะที่อีกสองคนอยู่ในระดับสี่ทั้งคู่
นางทำการคาดคะเนอยู่ในใจ ทั้งสามคนนี้เป็นเด็กจากตระกูลผู้ฝึกตนอย่างไม่ต้องสงสัย ตอนนี้นางพอจะมีประสบการณ์ค่อนข้างมากแล้ว ดังนั้นนางจึงไม่ค่อยทำพลาดในการประเมินคนอื่น
“ชื่อของข้าคือเยี่ยเสี่ยวเทียน ขอคารวะสหายนักพรต” นางยกมือขึ้นเพื่อทำความเคารพพวกเขาอย่างสุภาพ
ทัศนคติของนางดูเหมือนจะเป็นการยกยอทั้งสองคน ทั้งสองจึงรีบทำความเคารพนางกลับพร้อมกับพูดซ้ำๆ “พวกเราไม่บังอาจ”
โม่เทียนเกอค่อนข้างสับสนกับท่าทางของพวกเขา ต่อให้ระดับการฝึกตนที่เห็นของนางจะสูงกว่าพวกเขา แต่นางก็อำพรางมันไว้จนถึงแค่ระดับเจ็ดของดินแดนการหลอมรวมพลังงานวิญญาณ พวกเขาไม่จำเป็นต้องทำตัวเช่นนี้…
เมื่อทั้งสี่คนแลกเปลี่ยนคำทักทายกันเสร็จเรียบร้อย เหวยจื้อหมิงยกถ้วยขึ้นพร้อมพูดด้วยรอยยิ้ม “ข้าขอทราบได้หรือไม่ว่าเทพธิดาคนใดของสภาปี้เซวียนคือท่านอาจารย์ของแม่นางเยี่ย”
โม่เทียนเกอหัวเราะแล้วจึงพูดแผ่วเบา “ข้าไม่ใช่ศิษย์ของสภาปี้เซวียน”
“อ๋า” สิ่งที่นางพูดทำให้ทั้งสามคนอึ้งไป เหวยจื้อหมิงแค่กะพริบตาราวกับว่าเขาแทบไม่อยากเชื่อนาง เขาพูดติดขัด “แม่นาง… ท่าน ท่านมีระดับการฝึกตนเช่นนี้ ท่านจะไม่ใช่ศิษย์ของสภาปี้เซวียนได้อย่างไรกัน”
ด้วยรอยยิ้ม โม่เทียนเกอพูดว่า “ว่ากันตามตรง ข้าเป็นผู้ฝึกตนเดี่ยวจากคุนอู๋ ข้ามาที่นี่โดยบังเอิญแต่ข้าไม่รู้เลยว่าจะออกจากที่นี่ได้อย่างไร”
ขณะที่โม่เทียนเกอพูด นางแอบสังเกตการตอบสนองของพวกเขา อย่างไรก็ตาม นางเห็นเพียงแค่ทั้งสามคนแสดงสีหน้าประหลาดใจเท่านั้น
หวงจื้อเฟิงเหลือบมองสหายของเขาแล้วจึงถามว่า “แม่นางเยี่ย ท่านไม่ได้มาจากเขตหลินไห่ของเราหรือ”
โม่เทียนเกอพยักหน้า “ใช่แล้ว”
ทั้งสามคนต่างมองหน้ากัน มีทั้งความประหลาดใจและความดีใจในสายตาพวกเขา ท้ายที่สุดเหวยจื้อหมิงพูดขึ้นอีกครั้งและครั้งนี้เขาดูจะตื่นเต้นมากด้วย “ข้าไม่เคยคิดมาก่อนเลยว่าแม่นางเยี่ยจะเป็นชาวต่างถิ่น! ชาวต่างถิ่นแทบไม่เคยมาที่เขตหลินไห่และมันก็ยากสำหรับเราที่จะออกจากที่นี่ แม่นางเยี่ย ท่านมาที่หลินไห่ได้อย่างไรรึ”
รอยยิ้มจางๆ ปรากฏขึ้นบนใบหน้าของโม่เทียนเกอ “ข้ามาผ่านทางม่านพลังเคลื่อนย้าย”
“ม่านพลังเคลื่อนย้าย!” ทั้งสามคนอุทานด้วยความประหลาดใจ ไม่นานหลังจากนั้น หวงจื้อเฟิงพูดอย่างร้อนรน “แม่นาง ท่านรู้จักสถานที่ที่มีม่านพลังเคลื่อนย้ายซึ่งสามารถเชื่อมต่อหลินไห่และคุนอู๋ได้งั้นหรือ มันไม่ใช่ม่านพลังเคลื่อนย้ายของสภาปี้เซวียนใช่ไหม”
“สหายนักพรตเข้าใจข้าผิดไป” หลังจากเห็นปฏิกิริยาของพวกเขา โม่เทียนเกอมีความเข้าใจสถานการณ์นี้แล้ว “ข้ามาผ่านทางม่านพลังเคลื่อนย้ายที่มีจุดหมายปลายทางแบบสุ่ม ไม่ใช่ม่านพลังเคลื่อนย้ายที่มีปลายทางกำหนดไว้ตายตัว”
“อ้อ…” เมื่อนางพูดเช่นนั้น ทั้งสามคนก็ดูผิดหวังขึ้นมาพร้อมกัน
โม่เทียนเกอชำเลืองมองพวกเขา จิตใจของนางเริ่มจะเข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้น ในตอนแรก สามคนนี้คิดว่านางเป็นศิษย์ของสภาปี้เซวียน ดังนั้นพวกเขาจึงทำตัวเป็นกันเองและสุภาพต่อนาง เนื่องจากอิทธิพลใหญ่โตที่สภาปี้เซวียนมีเหนือหลินไห่ สถานะของผู้ฝึกตนหญิงที่นี่จึงสูงกว่าผู้ฝึกตนชายมาก ดังนั้นทั้งสามคนนี้จึงจงใจผูกมิตรกับนาง ในขณะเดียวกัน เพราะศิษย์ผู้หญิงของสภาปี้เซวียนมักจะทะนงตนเสมอ พวกเขาจึงค่อนข้างรู้สึกเป็นเกียรติกับวิธีที่นางปฏิบัติต่อพวกเขา
ในตอนหลัง เมื่อนางพูดว่านางไม่ใช่ศิษย์ของสภาปี้เซวียน คนทั้งสามนี้จึงไม่ได้ผิดหวังไปเสียทั้งหมด พวกเขาดูจะประหลาดใจและตื่นเต้นแทน นางพอเดาได้ว่าทำไม ศิษย์ผู้หญิงของสภาปี้เซวียนน่าจะหยิ่งยโสมากเกินไปและบังเอิญว่ามนุษย์ผู้หญิงทุกคนที่เกิดมาพร้อมกับรากวิญญาณในหลินไห่จะต้องเข้าสภาปี้เซวียน ดังนั้นทั้งสามคนนี้จึงแทบไม่เคยเจอผู้ฝึกตนหญิงที่พวกเขาสามารถเข้าไปตีสนิทได้ จึงทำให้พวกเขาทั้งประหลาดใจและดีใจ
สุดท้ายเมื่อพวกเขารู้ว่านางมาจากภายนอก สิ่งแรกที่พวกเขาถามถึงคือม่านพลังเคลื่อนย้าย และพวกเขาถึงกับดูผิดหวังอย่างแรงด้วยเมื่อได้ยินว่าไม่มีม่านพลังเคลื่อนย้ายในหลินไห่ เห็นได้ชัดว่าพวกผู้ฝึกตนที่นี่ก็ติดอยู่ในเขตเล็กๆ นี้และไม่สามารถออกไปได้เช่นกัน และเพราะเหตุนั้น พวกเขาจึงสนใจในม่านพลังเคลื่อนย้ายเป็นอย่างมาก
หากเป็นเช่นนั้น ผู้ฝึกตนของหลินไห่ก็ไม่มีวิธีที่ได้ผลในการออกจากที่นี่เช่นกัน คาดว่ามันคงไม่ง่ายสำหรับนางในการกลับไปที่คุนอู๋โดยไม่ต้องผ่านสภาปี้เซวียน
ขณะที่จิตใจของนางใคร่ครวญสถานการณ์เสร็จเรียบร้อย โม่เทียนเกอแสร้งทำสีหน้าประหลาดใจได้อย่างสมบูรณ์แบบ “เป็นไปได้ไหมว่าในสถานที่แห่งนี้ไม่มีม่านพลังเคลื่อนย้ายเพื่อออกไป หรืออาจจะทางออกอื่นๆ”
หวงจื้อเฟิงส่ายหน้าแล้วจึงพูดด้วยรอยยิ้มขมขื่น “แม่นางเยี่ย เราจะพูดตามตรงกับท่าน เขตหลินไห่เล็กๆ ของเราบนชายฝั่งทะเลตะวันออกตั้งอยู่โดดเดี่ยวแยกออกจากส่วนอื่นของโลกโดยภูเขามาร ทางด้านตะวันตกของเราคือเขตฝ่ายอธรรม และทางด้านตะวันออกของเราคือทะเล เราไม่มีทางออกไปจากสถานที่แห่งนี้”
ความประหลาดใจบนใบหน้าโม่เทียนเกอยิ่งรุนแรงขึ้นและความประหลาดใจนั้นยังมีความตื่นตระหนกเจืออยู่ด้วยเช่นกัน “ถ้าเช่นนั้นข้าควรทำอย่างไรดี ข้า… ข้ายังต้องกลับไปที่คุนอู๋…”
เย่ว์หยางผู้ที่ยังไม่ได้พูดอะไรจนถึงตอนนี้จู่ๆ ก็พูดขึ้นมา “แม่นางเยี่ยไม่ต้องกังวลไป ถ้าท่านเป็นผู้ฝึกตนชาย นี่คงเป็นสถานการณ์ที่ค่อนข้างยากลำบาก อย่างไรก็ตาม ท่านเป็นผู้ฝึกตนหญิง ท่านสามารถขอความช่วยเหลือจากสภาปี้เซวียนได้อย่างแน่นอน”
“อือ” โม่เทียนเกอแสดงสีหน้างุนงง “สหายนักพรตเย่ว์หมายความว่าอย่างไรรึ สภาปี้เซวียนมีม่านพลังเคลื่อนย้ายหรือ”
เหวยจื้อหมิงรับช่วงต่อ แต่แทนที่จะตอบ เขากลับถามแทน “แม่นางเยี่ย ท่านรู้เรื่องเกี่ยวกับโลกแห่งการฝึกตนในหลินไห่หรือไม่”
โม่เทียนเกอพยักหน้า “เมื่อข้ามาถึง ข้าได้ถามไปทั่วจึงพอจะรู้อยู่นิดหน่อย”
เหวยจื้อหมิงพูดต่อ “ในหลินไห่ กลุ่มการฝึกตนเดียวที่มีอยู่คือสภาปี้เซวียน เป็นกลุ่มการฝึกตนสำหรับผู้ฝึกตนหญิง” หลังจากพูดถึงจุดนี้ ความอับอายก็ปรากฏขึ้นบนใบหน้าเขาเล็กน้อย “เพราะเหตุนั้น ผู้ฝึกตนหญิงจึงมีสถานะสูงกว่าผู้ฝึกตนชายเล็กน้อย ผู้ฝึกตนหญิงทุกคนสามารถเข้าสภาปี้เซวียนได้ตราบใดที่พวกนางมีรากวิญญาณ แต่มันเป็นกรณีต่างไปสำหรับพวกเราผู้ฝึกตนชาย เพียงแค่ผู้ฝึกตนชายที่มีรากวิญญาณยอดเยี่ยมหรือระดับการฝึกตนสูงเท่านั้นถึงจะมีโอกาสได้รับเข้าเป็นศิษย์นอกโดยสภาปี้เซวียน นอกจากนี้ เพียงหลังจากที่พวกเขาทำการฝึกตนร่วมสัมพันธ์ร่วมกับหนึ่งในศิษย์ผู้หญิงเท่านั้นพวกเขาจึงจะถือว่าเป็นศิษย์ของสภาปี้เซวียนอย่างแท้จริง เรื่องนี้ยังใช้กับผู้ฝึกตนจากนอกเขตหลินไห่ด้วย ตลอดหลายปีมานี้ ถึงแม้ว่ามันแทบจะไม่เกิดขึ้น แต่ผู้ฝึกตนจากต่างถิ่นก็มาปรากฏตัวที่นี่บ้างบางครั้ง หากพวกนางเป็นผู้ฝึกตนหญิง ก็อาจจะถูกสภาปี้เซวียนเกณฑ์เข้ากลุ่ม หรือไม่พวกนางก็ต้องจ่ายค่าตอบแทนให้สภาปี้เซวียนเพื่อให้เคลื่อนย้ายพวกนางออกจากหลินไห่ แต่ถึงอย่างไรผู้ฝึกตนชายก็ไม่มีโชคเช่นนั้น พวกเขาต้องจ่ายราคาสูงกว่ามากหากพวกเขาต้องการออกจากหลินไห่ เพราะฉะนั้นแม่นางเยี่ย ท่านสามารถขอความช่วยเหลือจากสภาปี้เซวียนได้ บางทีพวกเขาอาจจะยอมปล่อยให้ท่านออกไป”
โม่เทียนเกอเงียบอยู่พักหนึ่งแต่สุดท้ายนางก็พยักหน้า “ที่แท้สิ่งต่างๆ ก็เป็นเช่นนั้นเอง ขอบคุณสหายนักพรตมากสำหรับข้อมูล”