ภาค 6 ยันฟ้าด้วยมือเดียว บทที่ 512 มังกรจะกินเสือ เหตุใดต้องแต่งเป็นหมู

ตำนานศิษย์พี่เจ้าปฐพี

จอมยุทธ์โลกผืนสมุทรต่างอ้าปากตาค้าง “…ใบวิญญาณสิบใบบานดอกวิญญาณสิบดอก?!”

สำหรับคนที่นี่ นี่เป็นเหตุการณ์ที่มีอยู่แค่ในตำนานเท่านั้น หลังจากมหาภัยพิบัติก็ไม่เคยปรากฏในโลกผืนสมุทรมาก่อน

แม้จะเป็นมหาจักรวาลก่อนมหาภัยพิบัติ จอมยุทธ์ที่มีใบไม้วิญญาณสิบใบบานดอกไม้วิญญาณสิบดอกก็เป็นแค่ตำนานเท่านั้น

ฟู่เอินซูมองเหตุการณ์นี้ด้วยความสับสนเช่นกัน ‘นับตั้งแต่มีแปดพิภพหลังมหาภัยพิบัติมา นอกจากเยี่ยนตี๋แล้ว เขาเป็นคนที่สอง’

นางตั้งใจนึกย้อน พบว่าต่อให้เทียบกับเยี่ยนตี๋ เยี่ยนจ้าวเกอก็ยังมีข้อแตกต่าง

ลวดลายอาคมที่สลักบนดอกไม้วิญญาณดอกที่สิบและใบไม้วิญญาณใบที่สิบของเยี่ยนตี๋ ถึงแม้จะลี้ลับยากหยั่งคาด แต่ก็ชัดเจน

ทว่าใบวิญญาณใบที่สิบและดอกไม้วิญญาณดอกที่สิบของเยี่ยนจ้าวเกอ กลับปรากฏเป็นสภาพโกลาหล ทั้งลึกล้ำและลี้ลับมากกว่า

จอมยุทธ์ในโลกผืนสมุทรมองเยี่ยนจ้าวเกอ ในใจเกิดความรู้สึกกลัวเกรงอย่างอธิบายไม่ถูก

โดยเฉพาะจอมยุทธ์คนอื่นจากนอกจากจางฮ่าวเฉิงและลี่เซิ่ง พวกเขามองเยี่ยนจ้าวเกอ จากนั้นก็มองจางฮ่าวเฉิงและลี่เซิ่งสองคน ในใจเกิดความปั่นป่วน ‘คนที่มีใบไม้วิญญาณเก้าใบบานดอกไม้วิญญาณเก้าดอกยังแข็งแกร่งชนิดมองเย้ยหยันคนรุ่นราวคราวเดียวกัน คนที่ใบไม้วิญญาณสิบใบบานดอกไม้วิญญาณสิบดอก จะเป็นอย่างไรกัน?’

จางฮ่าวเฉิงกับลี่เซิ่งได้สติกลับมา สายตาที่มองไปยังเยี่ยนจ้าวเกอกลายเป็นเร่าร้อน

เยี่ยนจ้าวเกอในตอนนี้มีสีหน้าสงบเหมือนกับน้ำกระจ่างใสที่เกิดจากหยดน้ำพิรุณ ไม่มีความหวั่นไหวแม้แต่น้อย

“ข้ามาที่ระเบียงสมุทร เพราะข้ามีเรื่องของข้าที่ต้องจัดการ ก่อนจะมาที่นี่ไม่ทราบเรื่องการท้าสู้ของพวกท่านสองคนมาก่อน”

ชายหนุ่มแบมือเล็กน้อย กล่าวด้วยรอยยิ้ม “แม้จะเป็นตอนนี้ ข้าก็ไม่คิดจะสอดมือในการต่อสู้ของพวกท่าน พวกท่านต้องการแย่งชิงอันดับหนึ่งในระดับมหาปรมาจารย์ขั้นกำเนิดญาณ ก็จัดการเรื่องของพวกท่านไปเสีย เหตุใดต้องมายุ่งกับข้าด้วย”

จางฮ่าวเฉิงเอ่ยอย่างราบเรียบ “แต่ท่านอยู่ในระเบียงสมุทรที่พวกเราจะต่อสู้กัน”

เยี่ยนจ้าวเกอยิ้มขึ้น “ข้าแค่ผ่านทางมาจริงๆ เพียงรั้งอยู่ชั่วคราวเท่านั้น หากข้าจัดการเรื่องของข้าเสร็จ ข้าย่อมจากไปเอง ถ้ายังไม่เสร็จก็ย้ายที่ไม่ได้”

“แต่ความจริงแล้ว การอยู่ในสายน้ำสายนี้ของข้ามิได้ส่งผลกระทบต่อการต่อสู้ของพวกท่าน ถ้าหากพวกท่านคิดจะตัดสินผลแพ้ชนะระหว่างกันเพื่อดูว่าใครจะเป็นอันดับหนึ่งในขั้นกำเนิดญาณจริงๆ พวกท่านแค่สู้กันก็พอ จะมีใครหรือไม่ล้วนไม่สำคัญ…”

ลี่เซิ่งเดินขึ้นหน้าหนึ่งก้าว ประกายดาบรอบตัวหายไปแล้ว แต่ว่าจิตสังหารอันดุดันทั่วร่างรุนแรงขึ้นกว่าเดิม “ก่อนหน้านี้ดูถูกเจ้าแล้ว คิดไม่ถึงว่าเจ้าจะมีรากฐานหยั่งลึกเช่นนี้”

“แต่ว่าใบวิญญาณสิบใบบานดอกวิญญาณสิบดอก ใช่ว่าจะเหนือกว่าใบวิญญาณเก้าใบบานดอกวิญญาณเก้าดอกของข้า”

“ที่ต้องลงมือเมื่อครู่ เพราะเจ้าเกะกะ”

“แต่ว่าตอนนี้ เทียบกับจางฮ่าวเฉิงแล้ว ข้าต้องการสู้กับเจ้ามากกว่า!”

เยี่ยนจ้าวเกอกะพริบตาปริบๆ “เหตุใดต้องลำบากด้วย ระหว่างข้ากับพวกท่านไม่ได้มีความแค้นหรือความขัดแย้งจริงๆ เสียหน่อย กลับกันข้าสนใจดูการท้ารบของพวกท่าน”

เขาสนใจจะดูการต่อสู้ของจางฮ่าวเฉิงและลี่เซิ่งอยู่ด้านข้างจริงๆ ที่ระดับของคนทั้งสองไม่แตกต่างกันเป็นเพียงปัจจัยหนึ่ง สำคัญก็คือเหตุการณ์เช่นนี้ทำให้เขานึกถึงความทรงจำที่เนิ่นนานมาแล้ว ทำให้นิสัยเสียของเขากำเริบอีกครั้ง

ทั้งภาพยนตร์เรื่องจันทร์กระจ่าง หรือสัประยุทธ์แห่งกู้กง

เรื่องดูดีทั้งหลาย เขาก็อยากได้การต่อสู้แห่งยุคที่โดดเด่นเช่นนี้บ้างเหมือนกัน…

ชายหนุ่มมองไปมาระหว่างจางฮ่าวเฉิงและลี่เซิ่ง ก่อนจะกล่าวด้วยความสนอกสนใจว่า “บทประพันธ์ไม่มีที่หนึ่ง วรยุทธ์ไม่มีที่สอง ทั้งสองท่านที่ถูกจัดอยู่ในจอมยุทธ์ขั้นกำเนิดญาณสิบอันดับแรกไม่เคยต่อสู้กันซึ่งหน้ามาก่อน การจัดอันดับเองก็เป็นผู้อื่นจัดให้ อีกทั้งยังมีการโต้เถียงกันมาโดยตลอด”

“วันนี้ในที่สุดก็มีโอกาสได้สู้กันแล้ว สู้ตัดสินที่ระเบียงสมุทร ผู้ชนะก็คือยอดฝีมืออันดับหนึ่งแห่งมหาปรมาจารย์ขั้นกำเนิดญาณอย่างไม่ต้องสงสัย ต่อจากนี้จะไม่มีข้อโต้แย้ง มีชื่อเสียงสมคำร่ำลือ”

“พวกท่านทั้งสองแบ่งเป็นธรรมมะและมาร การต่อสู้นี้สามารถสร้างขุมกำลังให้กับฝั่งตนได้ ดูว่าธรรมะชนะอธรรม หรือเต๋าหดหายมารเติบโต”

“เมื่อผลลัพธ์ของการต่อสู้นี้ถูกเผยแพร่ออกไป ย่อมกลายเป็นตำนานของโลกผืนสมุทร ข้าเห็นว่าพลังของทั้งสองท่านไม่ธรรมดาจริงๆ ถ้าหากไม่อายุสั้น วันนั้นจะต้องเป็นผู้โดดเด่นในเรื่องเล่าขานของโลกใบนี้ การต่อสู้ในวันนี้ก็จะกลายเป็นส่วนหนึ่งในตำนานของพวกท่านด้วย”

เขาแบมือ กล่าวด้วยรอยยิ้ม “อุตส่าห์มีเรื่องดีเช่นนี้ เหตุใดต้องแกว่งเท้าหาเสี้ยนด้วย?”

ลี่เซิ่งเดินไปด้านหน้าหนึ่งก้าว ปราณดาบอันดุดันเริ่มเล็งที่เยี่ยนจ้าวเกอ “ไม่สู้กับเจ้า แล้วจะเป็นอันดับหนึ่งได้อย่างไร”

แต่เขาเพิ่งจะเล็งปราณดาบที่เยี่ยนจ้าวเกอ ก็เห็นดวงตาของอีกฝ่ายส่องสว่าง แยงตาเขาจนเจ็บปวด

เยี่ยนจ้าวเกอเอ่ยอย่างเรียบเฉย “ขอสารภาพว่า ปฏิกิริยาของพวกท่านทำให้ข้าชื่นชม จอมยุทธ์เป็นคนไม่ยอมใคร ยิ่งไม่ต้องพูดถึงคู่ต่อสู้ที่อยู่ในระดับเดียวกัน ใครแข็งแกร่งว่าใคร สู้ก่อนค่อยว่ากล่าว ไม่ยอมรับข้าก็ถือเป็นเรื่องปกติ”

“แต่ว่าพวกท่านคล้ายเข้าใจผิดอะไรบางอย่าง”

ขณะพูด เงาแสงของดอกไม้วิญญาณที่อยู่เหนือศีรษะของเยี่ยนจ้าวเกอก็ส่ายไหว ลวดลายอาคมอันลี้ลับค่อยๆ ผสมกัน

ทุกคนต่างงงงัน “นี่คือการรวมอาคมญาณจริงแท้ของตัวเอง สำเร็จเป็นมหาปรมาจารย์ขั้นรูปญาณ!”

ชายหนุ่มเงยหน้ามองเงาแสงของใบวิญญาณและดอกไม้วิญญาณที่อยู่เหนือศีรษะของตนเอง แล้วกล่าวเรียบๆ ว่า “ที่แสดงดอกไม้วิญญาณและใบวิญญาณให้เห็น มิใช่เพราะข้าคิดจะลงมือ แต่ข้ากำลังจะเลื่อนขั้นต่างหาก”

“ดูพวกท่านสู้กัน ข้ารู้สึกสนใจ หากต้องสู้กับพวกท่านสองคนด้วยตัวเอง ข้าไม่ค่อยสนใจเท่าไร”

“พวกท่านไม่จำเป็นต้องสนใจข้าจริงๆ เพราะเดี๋ยวข้าจะไม่ใช่มหาปรมาจารย์ขั้นกำเนิดญาณแล้ว ไม่สู้กับข้า พวกท่านก็สามารถตัดสินที่หนึ่งของขั้นกำเนิดญาณได้”

จางฮ่าวเฉิงและลี่เซิ่งต่างกลั้นหายใจ

เยี่ยนจ้าวเกอมองจางฮ่าวเฉิงและลี่เซิ่งที่ตกตะลึงเล็กน้อย หัวเราะขึ้น “ข้าปกติแล้วไม่ปลอมเป็นหมูมากินเสือ หากอยากทำก็อาจจะเล่นด้วยได้ แต่ว่าเวลาส่วนใหญ่ไม่อาจทำได้”

“หมาป่าจะกินเสือ ต้องปลอมเป็นหมูเพื่อทำให้เสือประมาท ถือเป็นเรื่องปกติ”

“แต่มังกรจะกินเสือ เหตุใดต้องปลอมเป็นหมูเล่า?”

น้ำเสียงราบเรียบของเขานั้น กลับทำให้ทุกคนที่ได้ยินจิตใจสั่นสะท้าน

จางฮ่าวเฉิงครุ่นคิดครู่หนึ่ง ในที่สุดก็ก้าวขึ้นหน้าก้าวหนึ่ง กล่าวเสียงทุ้มว่า “จางฮ่าวเฉิงจากวังผลึกวารี ได้โปรดชี้แนะ”

ลี่เซิ่งสูดหายใจยาว ดวงตาสองข้างเปล่งประกาย “ได้ยินว่าเจ้าชื่อเยี่ยนจ้าวเกอกระมัง? คนแซ่เยี่ยน ในตอนนี้พวกเรามีความแค้นต่อกันแล้ว ข้าจะขัดขวางไม่ให้เจ้าเลื่อนเป็นมหาปรมาจารย์ขั้นรูปญาณ!”

“ขัดขวางการฝึกฝน เหมือนกับการสังหารบิดามารดา”

เขาตวาด “แค้นใหญ่หลวงเช่นนี้ พอจะให้เจ้าลงมือสักตั้งได้แล้วกระมัง?”

เยี่ยนจ้าวเกอมองจางฮ่าวเฉิงและลี่เซิ่ง ในดวงตาปรากฏแววชื่นชม

ลวดลายอาคมที่รวมตัวกันอยู่เหนือศีรษะหยุดลงชั่วคราว

เขาพยักหน้าอย่างเชยชม แล้วยื่นมือทำท่า ‘เชิญ’ ให้กับคนทั้งสอง “มีจิตใจใฝ่ยุทธ์เข้มแข็งนัก ประเสริฐ เช่นนั้นพวกเราก็มาประมือกันหน่อย”

ชายหนุ่มอายุยังน้อยกว่าจางฮ่าวเฉิงและลี่เซิ่งแท้ๆ ทว่าตอนนี้กลับอยู่ในขั้นกำเนิดญาณระยะท้ายเหมือนกัน ในสายตาของทุกคนที่มองเยี่ยนจ้าวเกอในตอนนี้อดปรากฏความรู้สึกเงยหน้ามองภูเขาสูงไม่ได้

ผู้อาวุโสต่งแห่งวังผลึกวารีและผู้อาวุโสเยว่แห่งสำนักสังหารมังกร ทั้งคู่ต่างเป็นยอดฝีมือระดับมหาปรมาจารย์มากประสบการณ์ อยู่ในขั้นมหาปรมาจารย์ระดับรูปญาณทั้งสิ้น

ตอนแรกก็ถูกสะกิดโทสะเพราะคำพูดและการกระทำของเยี่ยนจ้าวเกอ เพียงแต่กริ่งเกรงฟู่เอินซูจึงมิได้ลงมือ

แต่ว่าขณะมองลวดลายอาคมที่ผสมผสานกันอย่างต่อเนื่องเหนือศีรษะของเยี่ยนจ้าวเกอ สีหน้าของพวกเขาก็เปลี่ยนเป็นเคร่งขรึม

การเลื่อนระดับต้องทำในคราวเดียว มีหลายครั้งต้องดูที่โอกาสและโชคชะตา คิดจะฝ่าด่านต้องต่อสู้สุดชีวิต

แต่ใครจะคาดถึงว่าเยี่ยนจ้าวเกอบอกจะเลื่อนระดับก็เลื่อนระดับ บอกจะหยุดก็หยุดได้เช่นนี้หรือ?

การหยุดของเยี่ยนจ้าวเกอไม่ได้หมายถึงล้มเหลว ไม่ได้หมายถึงว่าละทิ้งโอกาสตรงหน้า เพียงแต่ขอแค่เขาต้องการ ก็สามารถทำต่อได้ตลอดเวลา!

การกระทำที่ง่ายดายเช่นนี้ จะยังใช้ขั้นกำเนิดญาณระยะท้ายมาวัดได้อย่างไร?

แม้ว่าจะเป็นมหาปรมาจารย์ขั้นรูปญาณเช่นพวกผู้อาวุโสต่ง ในขณะที่มองเยี่ยนจ้าวเกอ ในใจก็เกิดความรู้สึกสั่นสะท้านที่ล้ำลึกคาดไม่ถึง