“บ้านผีสิงของผมในจิ่วเจียงค่อนข้างมีชื่อเสียงอยู่บ้าง– ถ้าไม่เชื่อผมคุณลองเสิร์ชในออนไลน์ได้ มันเป็นสถานที่ทำงานที่ดีที่สุดถ้าคุณอยู่ในธุรกิจสวนสนุก เมื่อพวกเรากลับไป ผมจะให้พวกคุณฝึกฝนในส่วนที่จำเป็น และผมก็หวังว่าในที่สุดแล้วพวกคุณจะตกหลุมรักอาชีพนี้”
ถัดจากพนักงานผี เฉินเกอก็ได้พนักงานมีชีวิตอีกสามคน นอกจากเสี่ยวกู่และซูว่าน ทั้งสามคนนี้ล้วนรู้เรื่องที่เกิดขึ้นในเมืองหลี่ว่าน แต่ว่าวิธีการคิดของพวกเขานั้นต่างไปจากปกติ และเฉินเกอก็ไม่กังวลที่จะปล่อยให้พวกเขาช่วยดูแลฉากใต้ดิน
“โลกนี้ไม่ได้เรียบง่าpอย่างที่มันดูเหมือน เหตุผลที่ผมไม่ต้องการให้พวกคุณที่เหลือช่วยผมก่อนหน้านี้ก็เพราะว่าบ้านผีสิงของผมนั้นเป็นสถานที่พักของวิญญาณไร้บ้านบางดวง ดังนั้น…”
“พวกเราเข้าใจ!” พวกเขาเข้าใจความกังวลของเฉินเกอ หลังจากได้เห็นเหตุการณ์ประหลาดในเมืองหลี่ว่าน พวกเขาก็เข้าใจสถานการณ์ของเฉินเกอได้
“นั่นยอดเยี่ยมมาก” เฉินเกอตัดสินใจให้พวกเขาดูแลฉากใต้ดินและรับมือกับเรื่องฉุกเฉิน เมื่อบ้านผีสิงขยายออกไป ฉากใต้ดินก็มีแต่จะใหญ่ขึ้น และจำนวนผู้เข้าชมที่พวกเขาจะได้รับก็ด้วย เฉินเกอไม่สามารถรับมือกับทั้งหมดนั่นได้ด้วยตัวคนเดียว
“หลังจากพระอาทิตย์ขึ้น พวกคุณก็พักกันสักครู่แล้วค่อยไปรายงานความปลอดภัยของตัวเองกับครอบครัวของคุณ” เฉินเกอพูดแล้วหันไปหามือกรรไกรและหมอ “พวกคุณคนหนึ่งมาหาพี่ชาย และอีกคนมาตามหาภรรยา หลังจากนี้ ผมจะพาคุณค้นทั่วเมืองหลี่ว่าน หวังว่าพวกเราจะเจอพวกเขา”
ได้ยินว่าเฉินเกอจะช่วยพวกเขาค้นหาครอบครัวของตน มือกรรไกรก็พยักหน้าอย่างยินดี และกระทั่งสีหน้าของหมอก็อ่อนลงครู่หนึ่งเหมือนภูเขาลูกใหญ่ถูกยกออกจากอกเขา “ขอบคุณ”
“นี่เป็นสิ่งที่ผมควรทำ” มือกรรไกรและหมอนั้นไม่มีครอบครัวคนอื่นเหลืออยู่แล้ว แต่มันต่างออกไปสำหรับชายขี้เมา มันเป็นอุบัติเหตุที่เขาขึ้นมาบนรถเมล์คันสุดท้ายสาย 104 จากมุมหนึ่ง เขาก็ไม่ต่างไปจากคนธรรมดาคนหนึ่ง
“บ้านของผมอยู่ในเมืองซินไห่ หลังจากคำสาปบนร่างของผมควบคุมได้แล้ว ผมก็อยากจะกลับบ้าน” ชายขี้เมาเกาหัว “ผมอาจจะดูไม่เหมือน แต่ว่าผมมาจากครอบครัวที่ค่อนข้างมีฐานะ แต่ว่า หลังจากแม่ของผมเสียไป ความสัมพันธ์ระหว่างผมกับพ่อของผมก็เปลี่ยนเป็นเย็นชาขึ้นมา ดังนั้นผมจึงอาศัยอยู่ในจิ่วเจียงคนเดียวมาตลอดหลายปีนี้ หลังจากสิ่งที่เกิดขึ้นคืนนี้แล้ว ผมคิดว่าผมเข้าใจบางอย่างแล้ว ชีวิตนี้เสียใจทีหลังก็สายไป ผมคิดว่าผมอยากกลับบ้านไปคุยกับพ่อของผม”
“เดี๋ยวนะ แกเป็นพวกบ้านรวยเหรอ?” มือกรรไกรกับเฉินเกอนั้นไม่คิดจริง ๆ ว่าชายขี้เมาจะมีพื้นเพแบบนี้
“ไม่คิดว่ามันค่อนข้างหยาบคาบไปหน่อยเหรอที่เรียกคนอื่นเขาอย่างนั้นต่อหน้าอ่ะ” ชายขี้เมากุมขมับ– เขาเห็นแล้วว่าอนาคตของตัวเองจะน่าสนใจแค่ไหน “พวกเราควรจะเริ่มใหม่ ผมชื่อจางจิงจิ่ว อย่างที่คุณเห็น ผมดื่มไม่เก่ง แต่เพราะอะไรไม่รู้ ลูกค้าชอบเรียกผมว่า คอทองแดง ผมค้าขายอหังสาริมทรัพย์กับไวน์ขาว”
“ผมมีชื่อที่บ้านเด็กกำพร้าตั้งให้อยู่ แต่ว่าไม่ค่อยชอบ ดังนั้นพวกคุณแค่เรียกผมว่ามือกรรไกรก็พอ” ทั้งมือกรรไกรและชายขี้เมาแนะนำตัวง่าย ๆ ตอนที่ถึงตาคุณหมอ เขาส่ายหน้าเหมือนมีบางอย่างที่ยังไม่พร้อมจะบอก เฉินเกอก็ไม่ได้อยู่กับหัวข้อนี้นาน พวกเขาตามเสี่ยวปู้กลับไปเมืองหลี่ว่านเพื่อพบกับฟ่านฉง
“บอสเฉิน!” ฟ่านฉงดีใจมากมายเมื่อเห็นเฉินเกอ แต่ภายใต้ความดีใจก็มีความกังวล เขาไม่รู้เลยว่าเกิดอะไรขึ้นกับพี่ชายของเขา ฟ่านต้าเตอ
“พี่ชายของนายน่าจะสบายดี ผมแน่ใจเรื่องนั้น” หลังจากปลอบฟ่านฉง เฉินเกอก็พาพนักงานของเขาเดินไปทั่วเมืองหลี่ว่าน เหตุผลเบื้องหน้าก็คือช่วยมือกรรไกรและหมอตามหาครอบครัวของเขา เฉินเกอค้นไปทั่วเมืองเล็ก ๆ แห่งนี้ เขาไม่เจออะไรที่สมาคมเล่าเรื่องผีทิ้งไว้เลย วิญญาณที่อาศัยอยู่ในตึกล้วนแอบหนีไปเงียบ ๆ หลังจากเงาจากไป
หลังจากค้นหาอยู่นาน ก็ไม่เจอญาติของทั้งมือกรรไกรและหมอ และพวกเขาก็ดูค่อนข้างเศร้าซึม
“ในเมื่อเงาก็ถูกจัดการไปแล้ว พวกเราก็คอยกลับมาที่นี่ สักวันหนึ่งพวกเราก็ต้องพวกเขา” เฉินเกอไม่รู้ว่ามันถูกหรือไม่ที่พูดอย่างนั้น แต่เขารู้สึกว่า ตราบใดที่มีชีวิต ตราบนั้นก็มีความหวัง ดังนั้นเขาจึงคิดว่ามันก็ถูกต้องแล้ว
“ได้เวลากลับแล้ว พวกเราอยู่ในประตูนานเกินไปแล้ว ได้เวลาออกไปแล้ว”
ภารกิจเมืองหลี่ว่านนั้นมอบข้อมูลมากมายให้เฉินเกอ นอกจากปลดล็อกฉากและเพิ่มจำนวนพนักงานของเขาแล้ว เขายังได้ข้อมูลบางส่วนเกี่ยวกับภารกิจระดับสี่ดาว ผีทารก
ผีทารกที่เติบโตอยู่ในอกของเงานั้นน่าจะเป็นหน้าตาตอนกำเนิดของผีทารก และเฉินเกอก็จดจำใบหน้านั้นไว้ในหัวแล้ว
พวกเขากลับไปที่เขตที่พักอาศัยของฟ่านฉง เฉินเกอให้เสี่ยวปู้เตรียมเปิดประตู จากนั้นเขาก็วางหลี่เจิ้งที่หมดสติอยู่ไว้ในห้องข้าง ๆ เขาเริ่มพูดคุยกับมือกรรไกรและคนที่เหลือถึงวิธีการรับมือกับการสอบปากคำจากตำรวจ ในเรื่องนี้ เฉินเกอนั้นเป็นผู้เชี่ยวชาญตัวจริง
…
ในตึกเก่า ๆ ทางตะวันออกของเมืองหลี่ว่าน ครอบครัวสามคนถูกบีบจนมุม ชายที่ดูตื่นตระหนกนั้นอายุราวสี่สิบปี เขาเบียดตัวอยู่กับผู้หญิงที่ดูไร้อารมณ์คนหนึ่งและเด็กชายคนหนึ่งก็ยืนอยู่ข้าง ๆ เขา
“เงาก็ตายไปแล้ว แล้วพวกเราจะยังทำอะไรอยู่ที่นี่? ถ้าพวกคุณสนใจพวกเขา ก็แค่ฆ่าพวกเขาซะ หรือว่าอยากเล่นซ่อนหาต่อ?” เป้ยเยี่ยนั่งอยู่บนพื้นถือมีดเล่มหนึ่งเอาไว้ ชายหนุ่มร่างผอมคนหนึ่งยืนอยู่ข้าง ๆ เขา
“ฉันจะพูดซ้ำอีกที– ฉันต่างจากแก” เจียหมิงรั้งหน้าเด็กชายและมองใกล้ ๆ “ใช่ เป็นเขา”
“แกกำลังพูดอะไร?” เป้ยเยี่ยเดินเข้าไปและมองเด็กชายที่หวาดกลัวครู่หนึ่ง
“ตอนที่เงานั่นสิงร่างฉันอยู่ เขาทำเรื่องบ้าคลั่งมากมาย และเพราะอย่างนั้น ฉันก็เลยรู้ความลับของเงานั่นอยู่บ้าง ครั้งหนึ่งเขาเคยพยายามใส่ชิ้นส่วนของร่างกายของเขาเอาไว้ในแก่นของแม่และใช้มันพยายามประเมินระดับของคำสาปและความอาฆาตแค้นสูงสุดที่คนเป็นสามารถรองรับได้ ในความทรงจำของฉัน เขาทำสำเร็จสองครั้ง ครั้งหนึ่งสร้างผีทารก และอีกครั้งสร้างปิศาจน้อยตนหนึ่ง” ดวงตาของเจียหมิงที่มองไปยังเด็กชายและผู้หญิงที่ดูไม่ค่อยสบายนั้นดูน่าผวา
“แกกำลังพูดว่าเด็กนั่นเป็นส่วนหนึ่งของผีทารก?” เป้ยเยี่ยนั้นไม่รู้ว่าเจียหมิงกำลังคิดทำอะไร เหตุผลเดียวที่เขาตกลงร่วมมือกับเจียหมิงก็เพราะว่าฝ่ายหลังนั้นรู้ความลับมากมายของเงา
“หลังจากทดลองสำเร็จ เงานั่นก็ดึงความอาฆาตแค้นและคำสาปกลับ แต่ถึงอย่างนั้น มันก็ยังมีบางส่วนหลงเหลืออยู่ในตัวเด็ก เขาครอบครองคำสาปที่มีแหล่งกำเนิดเดียวกับผีทารกเอาไว้ ดังนั้น เขาน่าจะสามารถสัมผัสถึงตำแหน่งของผีทารกได้ เพราะอย่างนั้น พวกเราก็ควรจะพาเขาไปกับพวกเราด้วย”
“แกแน่ใจเหรอ? เด็กคนนี้ดูธรรมดามาก”
“นี่คือการปลอมตัวที่ดีที่สุด ถ้าไม่เพราะแม่ของเขา ฉันก็คงจำเขาไม่ได้จริง ๆ” เจียหมิงอุ้มเด็กขึ้นมาแล้วบอกพ่อกับแม่ของเขา “นี่เป็นเพราะเด็กคนนี้พวกเราก็เลยจะไม่ฆ่าพวกแก แต่ฉันหวังว่าพวกแกจะทำตามคำสั่งของพวกเราและช่วยพวกเราฝึกเด็กคนนี้ เพื่อให้เขาเข้าใจวิธีการควบคุมความอาฆาตแค้นและคำสาปในร่างของเขา”
“ไม่มีปัญหา” ชายคนนั้นรับปากอย่างรวดเร็ว เขาก้มหน้าต่ำ และความชั่วร้ายก็วิ่งผ่านดวงตาของเขา
“อย่างนั้นก็ไปกันได้แล้ว ฉันรู้ตำแหน่งของประตูอีกบานในจิ่วเจียงตะวันออก– พวกเราออกจากไปทางนั้นได้” หลังจากพูดอย่างนั้นแล้ว เจียหมิงก็พาพวกเขาเข้าไปในหมอกเลือด