มือข้างหนึ่งของเสี่ยวปู้นั้นถูกเงานั่นกินเข้าไปหมดแล้วขณะที่อีกข้างยังอยู่กับชายหน้ายิ้ม ตอนที่เกิดการต่อสู้ครั้งใหญ่ ชายหน้ายิ้มก็หายตัวไป บางทีอาจจะหนีไประหว่างความวุ่นวาย
“เสี่ยวปู้ ตอนนี้เธอก็ได้ร่างกายส่วนใหญ่ของเธอคืนแล้ว เธอควบคุมประตูได้หรือเปล่า?” เฉินเกอเป็นห่วงว่าประตูในเมืองหลี่ว่านจะขยายออกไปอีก เสี่ยวปู้ส่ายหน้า และเลือดก็รวมกันเป็นคำตอบของเธอ
“ประตูนั้นหลุดออกจากการควบคุมโดยสมบูรณ์ สิ่งเดียวที่หนูทำได้ก็คือลดความเร็วในการขยายออกไป ถ้าจะควบคุมมันได้โดยสมบูรณ์ หนูต้องหาร่างกายของหนูให้เจอทั้งหมด”
“อย่างนั้น เธอสามารถเปิดประตูส่งพวกเราออกไปจากที่นี่ได้ไหม?” เสี่ยวปู้นั้น อย่างน้อยที่สุด ก็เป็นผู้เปิดประตู และเฉินเกอก็เชื่อว่าเธอจะสามารถทำอะไรแบบนั้นได้
เลือดไหล และประโยคใหม่ก็ปรากฏขึ้นที่บนพื้น “ได้ค่ะ แต่หนูเปิดประตูได้แค่วันละหนึ่งนาที ประตูอยู่ภายใต้การควบคุมของเงามานานเกินไป หนูต้องการเวลาทำความคุ้นเคยกับมันใหม่”
“หนึ่งนาทีก็เกินพอ” เฉินเกอรู้ว่าเสี่ยวปู้ไม่สามารถออกจากที่นี่ไปกับเขาได้ เหมือนเหมินหนาน เธอต้องอยู่ด้านหลังประตูเพื่อดูแลมันเอาไว้ เฉินเกอเข้าใจจึงไม่ได้บังคับให้เสี่ยวปู้ต้องไปกับเขา
บางทีอาจจะเป็นเพราะว่าเธอเข้าใจความคิดของเฉินเกอ เลือดที่บนพื้นเปลี่ยนไปอีกครั้ง “คุณฆ่าเงาของตัวเอง และตามข้อตกลง หนูควรจะไปเป็นเงาใหม่ให้คุณ– หนูไม่ลืมเรื่องนั้น หลังจากหนูควบคุม ‘ประตู’ ได้อย่างสมบูรณ์ หนูจะไปหาคุณ”
ดวงตาของเสี่ยวปู้มองกลับไปมาระหว่างเฉินเกอและเงาด้านหลังเขา มันไม่ชัดนักว่าเธอกำลังคิดอะไรอยู่
“ตกลง” ฆ่าเงาและจากนั้นเสี่ยวปู้ก็จะมาเป็นเงาของเฉินเกอนั้นเป็นแผนการของพ่อแม่เฉินเกอ แต่ความจริงนั้นเป็นไปในทางที่เกินกว่าที่ใครจะคาดคิด เทียบกับเสี่ยวปู้ที่ควบคุมง่ายกว่ามาก จางหยานั้นก็เป็นอะไรที่สุดขั้วอีกด้านหนึ่ง ให้เธอมาเป็นเงาของเขา ไม่มีใครบอกได้ว่าจะเกิดอะไรขึ้นในอนาคต
“เอาละ มีอีกอย่างหนึ่งที่ฉันอยากจะถามเธอ” จู่ ๆ เฉินเกอก็นึกถึงคำถามหนึ่งได้ “สมาคมเล่าเรื่องผีซ่อนสมบัติล้ำค่าหนึ่งในสามเอาไว้ในเมืองหลี่ว่าน เธอรู้ไหมว่ามันน่าจะอยู่ที่ไหน?”
เสี่ยวปู้ส่ายหน้าอีกครั้ง และเฉินเกอก็ไม่ได้กดดันเธอ ทั้งเงาและคุณหมอเกาล้วนเป็นจิ้งจอกเฒ่าเจ้าเล่ห์ ดังนั้นพวกเขาย่อมต้องหาสถานที่ลับซ่อนของพวกนี้เอาไว้
“การมาถึงของคุณหมอเกาอาจจะมีบางอย่างเกี่ยวข้องกับสิ่งนั้น ชายเสียสติคนนั้นน่ากลัวเป็นอย่างยิ่ง และฉันก็กลัวว่าเขาจะกลับมา เธออยู่ในเมืองหลี่ว่าน และหญิงในชุดเสื้อฝนสีแดงก็อยู่ที่อพาร์ทเม้นท์ผี พวกเธอทั้งคู่ล้วนเป็นเพื่อนของฉัน และเพื่อนของเพื่อนฉันก็คือเพื่อนกัน ดังนั้นถ้าเธอเจออันตรายอะไร ฉันหวังว่าเธอสองคนจะช่วยดูแลกันและกัน หรือไม่อย่างนั้นก็ไปหาฉันที่สวนสนุกนิวเซนจูรี่ที่จิ่วเจียงตะวันตก”
หลังจากจัดการกับเสี่ยวปู้ เฉินเกอก็เริ่มตรวจดูพนักงานที่ยังเหลืออยู่ของเขา
ตอนที่เผชิญหน้ากับเงา พนักงานในกระเป๋าสะพายหลังล้วนอาสาออกมาช่วย ตอนนี้ทุกคนได้รับบาดเจ็บ แต่โชคดี นอกจากซู่อิน ไมมีใคร ‘ติดเชื้อ’ คำสาป
“เหล่าไป๋ ขอบคุณสำหรับความช่วยเหลือก่อนหน้านี้” ไป๋ชิวหลินนั้นเป็นนักพนันที่ในที่สุดก็มองเห็นแสงสว่าง เขามีหัวใจที่สุกสว่างยิ่งกว่าความเย็นชาที่แสดงออกภายนอก เมื่อเฉินเกอเอ่ยชื่นชม เขาก็ดูค่อนข้างอาย เมื่อคิดกลับไปถึงชีวิตกว่าสองทศวรรษของตัวเอง นี่เป็นครั้งแรกที่เขาได้ยินคำขอบคุณจากคนอื่น และอันที่จริง มันก็รู้สึกดีมากที่เป็นที่ต้องการของคนอื่น ๆ
“ผมก็แค่บังเอิญอยู่แถวนี้พอดี” ไป๋ชิวหลินยัดมือเข้าไปในกระเป๋าเสื้อเหมือนพูดอีกสักคำหนึ่งแล้วเขาจะตาย
“ไม่ว่ายังไง ถ้าไม่เพราะคุณคราวนี้ พวกเราทุกคนก็อาจจะบาดเจ็บ” ซู่อินนั้นขวางเงาเอาไว้ และไป๋ชิวหลินคว้าเฉินเกอกับกระเป๋าหนี พวกเขาแบ่งหน้าที่กันได้อย่างดี และถ้ามีผิดพลาดสักส่วน อีกคนที่อยู่ตรงนั้นอาจจะเป็นเงาหรือคุณหมอเกาก็ได้
การต่อสู้จริงจังเช่นนี้นั้นเป็นประโยชน์แก่ไป๋ชิวหลิน สีแดงรอบหัวใจของเขาเริ่มแผ่ออกไป และเขาก็สามารถปลดปล่อยพลังของซยงฉิงออกมาได้ราวหนึ่งในสาม ที่มุมเสื้อและกางเกงของเขาเริ่มมีรอยเลือดเปื้อน– ไป๋ชิวหลินกำลังมุ่งหน้าสู่การกลายเป็นวิญญาณสีเลือดอย่างมั่นคง
เทียบกับซู่อิน ความก้าวหน้าของเขานั้นง่ายกว่ามาก เขาครอบครองหัวใจของซยงฉิง ดังนั้นเขาจึงไม่จำเป็นต้องทำลายขีดจำกัดอะไร แค่กินวิญญาณอาฆาตให้มากหน่อย ในที่สุดแล้วเขาก็จะกลายไปเป็นวิญญาณสีเลือด
อันที่จริง หลังจากทำตารางรายการดูแล้ว เฉินเกอก็ได้ประโยชน์จากภารกิจนี้มากทีเดียว ซู่อินกลายเป็นวิญญาณสีเลือดตนหนึ่งอย่างเป็นทางการ และไป๋ชิวหลินก็พัฒนาไปเป็นกึ่งวิญญาณสีเลือด จางหยานั้นได้กินหัวใจของหญิงตะกละ และเธอยังได้ครอบครองกึ่งหนึ่งของหัวใจของบางอย่างที่ดูเหมือนจะมีระดับสูงกว่าวิญญาณสีเลือด ตอนที่เธอตื่นขึ้นมาอีกครั้ง เธอน่าจะน่าหวาดกลัวขึ้นอีก
พลังของพนักงานของเขาเพิ่มขึ้น และเฉินเกอยังได้รับพนักงานชุดใหม่ วิญญาณสัมภเวสีและวิญญาณอาฆาตที่มีพลังพิเศษ และวิญญาณสีเลือดที่ถูกจางหยา ‘เปลี่ยน’– ผีผู้หญิงไร้หัว
จุดสำคัญก็คือเฉินเกอได้รับมิตรภาพจากเสี่ยวปู้และผู้หญิงในเสื้อกันฝนสีแดง บ้านผีสิงนั้นอาจจะได้ต้องรับวิญญาณสีเลือดใหม่อีกสองตนในอนาคต
“หากฉันมองบ้านผีสิงเป็นฉากภารกิจ อย่างนั้นระดับของมันตอนนี้ก็น่าจะอยู่ราว ๆ สามหรือสี่ดาว บางทีอาจจะใกล้สี่ดาวมากกว่าสามดาว” หลังจากตรวจดูพนักงาน ‘ผี’ ของเขาแล้ว เฉินเกอก็วิ่งไปหาพนักงานที่ยังมีชีวิต
เพื่อขยายบ้านผีสิง การพึ่งพาผีมากเกินไปนั้นไม่ได้การ เขาจำเป็นต้องมีพนักงานคนเป็นด้วยเหมือนกัน การผสมกันระหว่างพนักงานคนเป็นและพนักงานคนตายนั้นย่อมทำให้ผู้เข้าชมได้รับประสบการณ์อันสุดยอด
เฉินเกอเจอตัวมือกรรไกร ชายขี้เมา หมอ และหลี่เจิ้งที่หมดสติอยู่ที่ชั้นแรก
“เจียหมิงอยู่ไหน?” เฉินเกอนั้นสงสัยเกี่ยวกับชายหนุ่มคนนั้นที่เคยถูกเงาสิงสู่อยู่หลายปี เขาต้องรู้ความลับของเงามากมาย
“ตอนที่คุณกำลังสู้อยู่ เขาก็ลากเจ้าหน้าที่ตำรวจวิ่งลงบันไดไปอย่างบ้าคลั่ง พวกเราเห็นเขาทำท่าประหลาด ดังนั้นก็เลยตามเขาลงบันไดมา”
ตอนที่เงาเรียกพลังทั้งหมดของตนกลับไปเพื่อหล่อเลี้ยงผีทารก มือกรรไกรและชายขี้เมาก็ได้รับอิสระ แต่ก็ยังมีเส้นสีดำที่เป็นตัวแทนคำสาปหลงเหลืออยู่บนร่างของพวกเขา
เฉินเกอหยิบกุญแจมือที่รอบข้อมือหลี่เจิ้งขึ้นมา ดีที่เขาใส่กุญแจมือตัวเองเอาไว้กับเจียหมิงเพื่อป้องกันไม่ให้ฝ่ายหลังหนี ไม่อย่างนั้น ด้วยนิสัยเจียหมิง เขาไม่มีทางลากหลี่เจิ้งหนีนอกเสียจากจะจำเป็น
“ผู้ชายคนนั้นไขกุญแจและหนีไป เขาวิ่งเร็วมาก” เจียหมิงและนักเรียนที่ชื่อเป้ยเยี่ยนั้นหนีไป เฉินเกอรู้สึกว่าจำเป็นต้องจับตัวทั้งสองคนเพราะว่าพวกเขารู้เรื่องที่ไม่ควรรู้มากไป เขาอาจจะคิดอย่างนั้น แต่แน่นอนว่า เฉินเกอไม่พูดออกมาต่อหน้าคนอื่น เขาใช้ดวงตาหยินหยางมองพวกเขาและพบว่าสภาพของพวกเขาดูไม่ดีนัก
มีเส้นสีดำเคลื่อนที่ในดวงตาของพวกเขา– มันเหมือนพวกเขาถูกสาป
สถานการณ์ของมือกรรไกรและชายขี้เมานั้นดีกว่า พวกเขากินเลือดที่เตรียมไว้ให้วิญญาณสีเลือดที่โรงแรม และร่างกายของพวกเขาก็ผ่านการเปลี่ยนแปลงพิเศษบางอย่าง เฉินเกอสัมผัสได้ว่าอุณหภูมิร่างกายของพวกเขาต่ำกว่าปกติ
สภาพของหมอนั้นย่ำแย่กว่า เพราะคำสาปที่ผสมเข้าด้วยกันกับพิษที่เขาดื่มไปก่อนหน้านี้ กล้ามเนื้อของเขาเริ่มฝ่อ ถึงแม้ว่าเขาจะยังเดินได้ มันก็เหมือนกับเขาแก่ขึ้นอย่างน้อยก็สิบปีในเวลาแค่คืนเดียว
“พูดไปแล้ว พวกเราก็ผ่านเรื่องแย่ ๆ มาด้วยกัน คุณรู้เรื่องผมหลายอย่าง และผมก็รู้ความลับในหัวใจของพวกคุณ ตอนนี้ พวกคุณถูกสาป และผมก็ไม่สามารถปล่อยพวกคุณไปทั้งอย่างนั้นได้ เอาอย่างนี้ไหม? พวกคุณไปพักกับผมก่อน และผมจะส่งคุณกลับบ้านหลังจากช่วยรักษาร่างกายที่ถูกสาปของพวกคุณและพวกคุณรู้สึกดีขึ้น” ความรับผิดชอบที่เฉินเกอเสนอนั้นเป็นทางเลือกให้ทุกคน
“ไม่จำเป็นที่คุณจะต้องรับผิดชอบอย่างนี้ นี่เป็นการเลือกของพวกเราเองในการเข้ามาในเมืองหลี่ว่าน นอกจากนี้ ถ้าไม่เพราะคุณ พวกเราก็คงตายไปแล้ว คุณช่วยพวกเราไว้หลายครั้ง และพวกเราก็ไม่สามารถตอบแทนสิ่งที่คุณทำได้– แล้วพวกเราจะรบกวนคุณมากกว่านี้ได้ยังไง?” ชายขี้เมานั้นสร่างเมานานแล้ว สมองของเขานั้นโล่งไปมากกว่านี้ไม่ได้แล้ว
“ถ้าคุณไม่ถอนคำสาป ชีวิตของคุณก็จะตกอยู่ในอันตรายตลอดเวลา พวกเราผ่านสิ่งต่าง ๆ มาด้วยกันตั้งมาก และผมก็ไม่สามารถยืนเฉย ๆ มองคุณทรมานด้วยความเจ็บปวดและโรคภัย” เฉินเกอนั้นเก็บพนักงานทั้งหมดไปแล้ว เขาตบกระเป๋า
“พวกเราได้รับความช่วยเหลือจากคุณหลายครั้ง และตอนนี้คุณยังให้พวกเราไปพักที่บ้านคุณ มันฟังดูไม่ถูกต้องจริง ๆ” มือกรรไกรพูด “เอาอย่างนี้ไหม? ถ้าคุณต้องการความช่วยเหลือจากพวกเรา พวกเราก็จะไปช่วยคุณแน่นอน! ห้ามปฏิเสธ นี่เป็นสิ่งเดียวที่พวกเราทำได้
“ใช่ คุณจะช่วยพวกเราถอนคำสาปของเงา คุณกำลังจะช่วยชีวิตพวกเราอีกครั้งแล้ว!” ชายขี้เมาและหมอหันไปทางเฉินเกอ
“ผมเปิดบ้านผีสิง และอย่างที่คุณคงจะเห็นแล้ว ผมมี ‘นักแสดง’ ที่เป็น ‘มืออาชีพ’ ที่สุดอยู่ในทีมอยู่แล้ว ผมไม่ต้องการความช่วยเหลืออื่น” เฉินเกอดูไม่สะดวกเหมือนกัน
“แต่พวกเราก็ไม่สามารถเป็นฝ่ายรับน้ำใจของคุณโดยไม่ตอบแทนได้! อย่างน้อยที่สุดก็ให้พวกเราได้ทำงานตามความสามารถของพวกเรา!”
ในเมื่อพวกเขาพูดอย่างนี้แล้ว ถ้าเฉินเกอปฏิเสธคำยืนยันของพวกเขาแล้วก็คงจะรู้สึกผิด เขาทำได้แค่ ‘บังคับ’ ให้ตัวเองตอบรับ “ตกลง แต่ว่าอย่างแรกที่สุดเลย พวกคุณจะไม่ช่วยผมฟรี ๆ ผมจะจ่ายให้พวกคุณตามมาตรฐาน อย่างไรเสีย พวกคุณก็ยังต้องดูแลครอบครัวของตัวเอง และพวกคุณก็ต้องใช้เงินในการดำรงชีวิต นี่เป็นเพียงเงื่อนไขเดียวของผม ผมหวังว่าพวกคุณจะไม่ปฏิเสธ”
ได้ยินอย่างนี้จากเฉินเกอ พวกเขาก็รู้สึกถึงความอบอุ่นที่แพร่ผ่านหัวใจของพวกเขา ความชื่นชมของพวกเขาต่อเฉินเกอนั้นมาจากใจจริงที่สุด
“บอสเฉินนี่นักบุญแท้ ๆ!”