ไม่รู้ว่าเพราะเหตุใด เสิ่นถูเลี่ยถึงไม่ต้องการให้อวี้เฟยเยียนได้เห็นภาพลักษณ์ในมุมที่โหดร้ายป่าเถื่อน ของเขาติดตาไป
จู่ๆก็ได้รับการผ่อนปรนใน ทำเอาเถ้าแก่ผู้นั้นดีใจจนเนื้อเต้น
“คุณชายใหญ่ ท่านและสหายของท่านอยู่ที่นี่ได้เลยโดยไม่ต้องจ่ายเงินขอรับ!” เถ้าแก่โรงเตี๊ยมรีบเร่งชันกายลุกขึ้น แล้วสมนาคุณคณะของเสิ่นถูเลี่ยทันที
“ข้าไม่ขาดแคลนเงินเพียงเท่านี้หรอก!”
เสิ่นถูเลี่ยกวาดสายตามองไปที่เถ้าแก่ครู่หนึ่ง
“ไสหัวไปซะ!”
“ขอรับๆ!” อวี้เฟยเยียนกำลังพูดคุยรำลึกความหลังหานจื่ออยู่ครู่ใหญ่ เมื่อเสิ่นถูเลี่ยที่เห็นว่านางกำลังพูดเองเออเองอยู่คนเดียว ก็รู้สึกแปลกใจเป็นอย่างมาก
“เสี่ยวอวี้เจ้ากำลังพูดคุยกับมัน?”
“ใช่นะสิ! หานจื่อเฉลียวฉลาดยิ่งนัก!” อวี้เฟยเยียนลูบหัวหานจื่อ
“หานจื่อ เขาคือเสี่ยวเลี่ย เสิ่นถูเลี่ย เป็นเพื่อนใหม่ของพวกเรา!”
เพื่อน?
หานจื่อมองสำรวจเสิ่นถูเลี่ยตั้งแต่หัวจรดเท้า แล้วฝืนยอมรับเขาเป็นสหายเช่นเดียวกัน
“ฮิ เสี่ยวเลี่ยเลี่ย!”
หานจื่อกางกงเล็บแล้วตวัดไปเบื้องหน้าทักทาย ทำเอาเสิ่นถูเลี่ยตื่นตระหนกยิ่งนักกับการกระทำของมัน
‘สุนัขตัวนี้เข้าใจภาษามนุษย์!’
เสิ่นถูเลี่ยโน้มกายลงเล็กน้อยแล้วเอื้อมมือไปจับอุ้งมือของหานจื่อเอาไว้เป็นการทักทายมันกลับ
“หานจื่อ!”
เสิ่นถูเลี่ยรู้ว่าควรจะทำตัวอย่างไร หานจื่อก็ดีใจ
การมาของหานจื่อทำให้ความไม่สบายใจทั้งหมดที่อัดแน่นอยู่ในใจของอวี้เฟยเยียนมลายหายไปมากทีเดียว
มีหานจื่ออยู่คอยเป็นกำลังหลักอยู่ทั้งตัว ศึกครั้งนี้กับสกุลหนานกง อวี้เฟยเยียนจึงมีความมั่นใจเต็มพิกัด นางไม่ต้องมาคอยนั่งเป็นกังวลอีกแล้วว่าตนเองจะเป็นตัวถ่วงของซย่าโหวฉิงเทียน
หลังจากที่สอบถามมาหลายคน ในที่สุดอวี้เฟยเยียนก็ตามหาร้านขายยาจนเจอ นางซื้อยาสมุนไพรมากมายกลับมาที่โรงเตี๊ยมเซียนเค่อ จากนั้นจัดแจงปิดประตูลงกลอนเริ่มปรุงยา
ข่าวที่คุณชายใหญ่แห่งตระกูลเสิ่นถูเดินทางมายังเมืองเฮ่อ แพร่สะพัดไปถึงหูของหนานกงอ๋าวภายในเวลาเพียงไม่นาน
“เสิ่นถูเลี่ย?” หนานกงอ๋าวขมวดคิ้ว
ตระกูลหนานกงและและตระกูลเสิ่นถูไม่นับว่าไปมามาสู่กันอย่างสนิทสนม เพียงแต่ไม่มีความขัดแย้งต่อกัน สามารถมองหน้ากันได้เท่านั้นเอง
เพราะทั้งสองตระกูลพำนักอยู่ห่างไกลกัน ไม่มีพื้นที่ได้ติดต่อทำการค้าสักเท่าไหร่นัก จึงไม่มีกรณีพิพาทเรื่องผลประโยชน์ต่อกันแต่อย่างใด
สำหรับคุณชายใหญ่แห่งสกุลเสิ่นถูคนนี้ หนานกงอ๋าวก็เคยแต่ได้ยินชื่อเสียงอันกึกก้องของเขามาบ้าง
งานชุมนุมแปดตระกูลใหญ่ที่สามสิบปีจะมีสักครั้งที่ผาจื่อจิงใกล้เข้ามาทุกขณะ และเสิ่นถูเลี่ยเป็นผู้ที่ได้รับความนิยมมากที่สุดในขณะนี้ ไม่มีเหตุผลอื่นใดนอกเสียจากเขาคือลูกหลานตระกูลทั้งแปดที่สำเร็จขั้นจักรพรรดิอาวุโสเร็วที่สุดนั่นเอง
พูดถึงงานชุมนุม แท้ที่จริงแล้วก็คือการประลองต่อสู้กันของตระกูลทั้งแปดก็เพื่อจะล้างไพ่กำหนดฐานะของแต่ละตระกูลบนแผ่นดินอู๋โยวแห่งนี้ใหม่อีกครั้งเท่านั้นเอง
คนรุ่นก่อนแก่เฒ่าเข้าสู่วัยชราย่อมต้องผันตัวไปอยู่เบื้องหลัง ปล่อยให้รุ่นลูกรุ่นหลานออกมาแสดงฝีมือบ้าง
‘แข่งขันกันระหว่างตระกูล’
พูดง่ายๆนั่นก็คือเปรียบเทียบว่าลูกหลานของตระกูลไหนเก่งกาจกว่ากัน ลูกหลานตระกูลไหนเด่นดังกว่ากันนั่นเอง! เพราะผู้ที่จะมาสืบทอด เป็นประมุขของตระกูลนั้นในรุ่นต่อไป ปกติแล้วก็จะแสดงตัวออกมาในงานชุมนุม ณ หุบเขาจื่อจิงแห่งนี้
ทายาทผู้สืบทอดของตระกูลที่มีความสามารถเหนือใคร จะสามารถนำพาตระกูลของตนให้รุ่งเรืองสืบต่อไป
หากไม่มีอะไรผิดพลาดละก็ เสิ่นถูเลี่ยก็คือประมุขแห่งตระกูลเสิ่นถูคนต่อไปแน่นอน
เมื่อคิดได้ดังนั้นก็ทำให้หนานกงอ๋าวอดที่จะเป็นกังวลใจขึ้นมาไม่ได้
เขามีหนานกงเช่อเป็นลูกชายเพียงคนเดียว แล้วลูกชายคนนี้ก็ดันสุขภาพอ่อนแอโรคภัยรุมเร้าเสียนี่ ความรู้ความสามารถในด้านวรยุทธ์ก็ไม่ได้โดดเด่น แม้ว่าสกุลหนานกงจงมีลูกศิษย์ลูกหาที่ยอดยเยี่ยมหลายคน แต่พวกเขาเหล่านั้นก็ไม่ใช่ลูกของเขาสักหน่อย!
ตอนที่สกุลหนานกงกำลังรุ่งเรืองถึงขีดสุดนั้นสามารถไปได้ถึงอันดับสองจากบรรดาตระกูลทั้งแปดทีเดียว แต่นั่นก็เป็นเรื่องที่ในอดีตที่ผ่านพ้นไปแล้ว
อันดับของสกุลหนานกงในตอนนี้จากบรรดาตระกูลทั้งแปดมิสู้ดี ที่ด้อยกว่าสกุลหนานกงมีเพียงเผ่าตันเท่านั้น แม้แต่สกุลสุ่ยยังอยู่เหนือกว่าสกุลหนานกงด้วยซ้ำ
งานชุมนุมที่หุบเขาจื่อจิงในครั้งนี้ หนานกงอ๋าวจึงมิได้คาดหวังแต่อย่างใด
เขาไม่คิดที่จะแย่งชิง และเขาก็แย่งชิงมาไม่ได้ด้วย
ทุกสิ่งทุกอย่างในโลกมีวันรุ่งเรืองย่อมมีวันตกต่ำ ยากจะคาดเดาและเปลี่ยนแปลงไม่มีสิ้นสุด
หนานกงอ๋าวฝากความหวังเอาไว้ที่งานชุมนุมที่หุบเขาจื่อจิงในคราวหน้าก็แล้วกัน
ในเมื่อลูกชายไม่มีความสามารถเพียงพอที่จะแบกรับหน้าที่อันใหญ่หลวงได้ ไม่เป็นไร ยังมีหลานชาย!
แต่ก่อนที่สกุลหนานกงจะกลับมารุ่งเรืองอีกครั้งได้นั้น สามสิบปีก่อนที่จะถึงวันนั้นเขาจึงต้องตระเตรียมการทุกอย่างให้เงียบเชียบมากที่สุด
โชคยังดีก็คือ เผ่าตันแบ่งออกเป็นซ้ายและขวา ความสามารถของพวกเขาจึงถูกแบ่งครึ่งในฉับพลัน สุดท้ายตกต่ำจนกลายเป็นตระกูลรั้งท้ายอยู่หางแถว
แต่ก็ยังโชคดีเพราะยังมีเผ่าตันรั้งท้ายเอาไว้ สกุลหนานกงจึงไม่ต้องอเนจออนาถมากนัก
ก็ไม่รู้เช่นกันว่าตันซ้ายจะมาเข้าร่วมงานชุมนุมที่หุบเขาจื่อจิง ถึงตอนนั้นคงจะมีละครสนุกให้ได้ชมอย่างแน่นอน!
“สืบมาได้หรือไม่ว่าเสิ่นถูเลี่ยมายังเมืองเฮ่อทำไมกัน?” คิดได้ดังนั้น หนานกงอ๋าวก็สงบสติอารมณ์ลงมา
“เรียนประมุข ไม่มีข้อมูลที่แน่นอนขอรับ”
“ช่างเถอะ เจ้าถอยไปได้!”
หนานกงอ๋าวครุ่นคิดอยู่นาน สุดท้ายจึงได้ตัดสินใจว่าจะไปพบเสิ่นถูเลี่ยสักครั้ง เขาไม่ควรจะไปล่วงเกินตระกูลเสิ่นถู อีกทั้งจะต้องสานสัมพันธ์อันดีกับว่าที่ประมุขแห่งตระกูลเสิ่นถูคนนี้ต่อไปอีกด้วย
ชื่อเสียงของสกุลเสิ่นถูในหมู่ตระกูลทั้งแปดนับว่าไม่เลว ในอดีตบรรพบุรุษของพวกเขาปฏิบัติตัวด้วยความเป็นธรรมโปร่งใส หากว่าต้องเผชิญเหตุการณ์ไม่คาดฝันขึ้นมา และสามารถทำให้สกุลเสิ่นถูเอ่ยปากแทนได้ ย่อมต้องดีกว่าต้องออกหน้ามาพูดเองอยู่แล้ว
สกุลหนานกงจะต้องก้าวผ่านสามสิบปีนี้ให้ได้อย่างปลอดภัย สร้างบรรยากาศที่สงบสุขเพื่อเตรียมตัวสำหรับงานชุมนุมที่หุบเขาจื่อจิงในครั้งหน้า
หนานกงเช่อไม่มีหวังแล้ว ดังนั้นหนานกงอ๋าวจึงได้ฝากความหวังเอาไว้ที่หลานชายของตนแทน
หวังว่าหลานชายของเขาจะสามารถเชิดหน้าชูตา นำพาสกุลหนานกงไปสู่ความรุ่งเรืองอย่างสูงสุดได้
คิดได้ดังนั้น หนานกงอ๋าวจึงเดินทางไปที่โรงเตี๊ยมเซียนเค่อด้วยตัวเอง ซึ่งเสิ่นถูเลี่ยก็ใจกว้างพอที่จะให้เกียรติมาพบเขาด้วยตัวเองเช่นกัน
เมื่อหนานกงอ๋าวเชื้อเชิญตนเองไปเป็นแขกที่สกุลหนานกงนั้น เสิ่นถูเลี่ยจึงเอ่ยตอบกลับว่าขอสอบถามสหายของตนเองก่อน
“สหายของคุณชายเสิ่นถู ก็คือสหายของข้า หนานกงอ๋าวเช่นกัน!” หนานกงอ๋าวกล่าวพร้อมกับรอยยิ้ม
เสิ่นถูเลี่ยมีนิสัยผ่าเผย ชอบการคบค้าสมาคม เรื่องนี้ใครๆต่างก็รู้ดี เขาและอวิ๋นจิ่นเฉินแห่งตระกูลอวิ๋น และกงอวี้หลิงแห่งตระกูลกงอวี้เป็นสหายที่ดีต่อกัน จนได้รับชายยาว่า “เหล็กสามแฉก”
โบราณว่าคนแบบไหนก็คบค้าสามคมกับคนแบบนั้น
สหายที่ดีของเสิ่นถูเลี่ยทั้งสองคน ต่างก็เป็นทายาทที่ยอดเยี่ยมและเก่งกาจที่สุดจากบรรดาพี่น้องในตระกูลของตนเองทั้งสิ้นเช่นกัน คนหนุ่มทั้งสามเป็นสหายที่ดีต่อกัน ความสัมพันธ์ของทั้งสามตระกูลก็เป็นได้ด้วยดี จึงทำให้หนานกงอ๋าวรู้สึกอิจฉาไม่น้อย
หากว่าหนานกงเช่อสามารถคบค้ากับเสิ่นถูเลี่ย กลายเป็นเพื่อนที่ดีต่อกัน จนสามารถเข้าไปคลุกคลีกับวงการของเสิ่นถูเลี่ยได้ เขาคงจะไม่มีอะไรต้องกังวลอีกแล้ว!
เพราะไม่ว่าจะเป็นตระกูลอวิ๋นหรือตระกูลกงอวี้ ก็ล้วนแล้วแต่เป็นตระกูลที่อยู่แถวหน้าทั้งสิ้นนะสิ!
เมื่อคิดได้ดังนั้น หนานกงอ๋าวก็ยังยินดีปรีดาอย่างยิ่งที่จะเชื้อเชิญเสิ่นถูเลี่ยและสหายของเขาไปเป็นแขกที่จวนหนานกง
“ซย่าโหว ท่านจะไปไหม?”
ลำพังตัวเขาเองนั้นไม่มีปัญหาอะไรอยู่แล้ว แต่เมื่อเห็นท่าทางของซย่าโหวฉิงเทียนและอวี้เฟยเยียนที่แลดูจะเป็นกังวลเรื่องของหนานกงจื่อหลิงไม่น้อย ดังนั้นเขาจึงได้เข้ามากล่าวถามเป็นพิเศษ
“ไปสิ ไม่เข้าถ้ำเสือแล้วจะได้ลูกเสือได้อย่างไรกัน!”
โอกาสมารออยู่ตรงหน้าเช่นนี้แล้ว เขาต้องคว้าเอาไว้อย่างแน่นอน