“มีหมอมาทั้งหมดสิบกว่าคน แต่ไม่มีสักคนที่สามารถรักษาคุณหนูใหญ่ได้ หมอทุกคนล้วนแต่บอกว่าคุณหนูเป็นโรคที่ไม่มีทางรักษาหาย!”
เสี่ยวเอ้อร์ทำท่าทางลึกลับน่าสงสัยแล้วกล่าวต่อไปอีกว่า
“ผู้เฒ่าแห่งตันขวาก็บอกแล้วว่าคุณหนูไม่มีทางรักษาหายได้! ดังนั้นสกุลหนานกงถึงได้ร้อนใจอย่างไรเล่าขอรับ!”
“โรคที่ไม่มีทางรักษาได้?” อวี้เฟยเยียนตักเนื้อปลาให้กับซย่าโหฉิงเทียนในใจก็ยิ่งรู้สึกว่าเรื่องนี้ต้องเป็นกับดักอย่างแน่นอน เพียงแต่นางคิดไม่ถึงว่าตันขวาจะเข้ามามีส่วนร่วมกับเรื่องในครั้งนี้ด้วย
นี่ใช่ไหมที่เขาเรียกว่า…พวกชั่วๆมารวมตัวกัน?
อวี้เฟยเยียนคิดได้ แน่นอนว่าซย่าโหวฉิงเทียนย่อมต้องคิดได้เช่นกัน โรคที่รักษาไม่ได้เป็นเพียงกำดัก ล่อให้เขาออกมาต่างหากที่เป็นเรื่องจริง
ไม่รู้ว่าตอนนี้หลิงเอ๋อร์เป็นอย่างไรบ้าง?
“คุณชาย เงินนี้เป็นของข้าน้อยแล้วใช่ไหมขอรับ?” เสี่ยวเอ้อร์มองดูเงินนั้นด้วยท่าทางละโมบ
“รับเอาไป!”
เสิ่นถูเลี่ยโบกไม้โบกมือเป็นเชิงให้เสี่ยวเอ้อร์รับเอาเงินไปแล้วให้รีบถอยออกไปในเร็วพลัน ทว่าเมื่อหันกลับมาก็เห็นสีหน้าของซย่าโหวฉิงเทียนและอวี้เฟยเยียนไม่สู้ดีนัก
“ซย่าโหว เสี่ยอวี้ เป็นอะไรไป? มีอะไรผิดปกติอย่างนั้นหรือ?”
หากว่าจุดประสงค์ที่พวกเขามาเพื่อเงินหนึ่งแสนหลิงปี้ละก็ ไม่มีใครสามารถรักษาหนานกงจื่อหลิงได้ พวกเขาจึงควรจะดีใจจึงสิถึงจะถูก
แต่ดูจากสีหน้าท่าทางของพวกเขาราวกับกำลังเป็นกังวลอย่างหนัก มันเพราะอะไรกัน?
“คันไม้คันมือนะสิ!” อวี้เฟยเยียนยิ้มน้อยๆ
อีกฝ่ายถึงกับใช้หนานกงจื่อหลิงมาข่มขู่ มิเท่ากับกำลังเหยียบจมูกราชสีห์ รนหาที่ตายถึงที่อย่างนั้นหรือ?
แต่ก่อนที่จะเดินทางไป นางมีบางอย่างจะต้องตระเตรียมให้เรียบร้อย
เพราะตนเองยังไม่สำเร็จถึงขั้นจักรพรรดิอาวุโส จึงทำให้อวี้เฟยเยียนรู้สึกผิดหวังอยู่บ้าง
ก่อนหน้านี้ที่นางตั้งเป้าหมายเอาไว้ก็เพื่อกระตุ้นเตือนใจตัวเอง ลองดูสักตั้งมันก็ไม่ได้มีอะไรเสียหาย หากว่าสามารถสำเร็จถึงจักรพรรดิอาวุโสได้โดยง่ายละก็ จักรพรรดิอาวุโสคงจะมีให้เห็นกันเกลื่อนกลาดไปแล้วกระมัง?
จะต้องกรำศึกใหญ่ในอีกไม่ช้านี้ ปรุงยาเพิ่มป้องกันเอาไว้จะดีกว่า!
แต่ก่อนที่จะเริ่มทำ ต้องให้ท้องอิ่มเสียก่อน
ซย่าโหวฉิงเทียนไม่ยอมเอ่ยอะไรออกมา ส่วนอวี้เฟยเยียนก็บอกไม่ชัดเจน เสิ่นถูเลี่ยจึงได้แต่เก็บความสงสัยเอาไว้ในใจแล้วก้มหน้าก้มตากินข้าวต่อไป
ในขณะที่อวี้เฟยเยียนเพิ่งจะกินจนอิ่มนั้น ที่ด้านนอกเกิดเสียงกรีดร้องด้วยความตื่นตระหนก
“เร็ว เร็วเข้า รีบเอาไล่เจ้าเดรัจฉานนั่นออกไป! เดี๋ยวแขกจะตกอกตกใจเอา!”
เสียงเถ้าแก่ของโรงเตี๊ยมเซียนเค่อ ดังขึ้นมาจากชั้นหนึ่ง
หลังจากนั้นก็มีเสียงคำรามของสัตว์ที่ดังสนั่นจนหูแทบจะแตกดังขึ้น
“อ๋าว——บรู๊ว——”
“หานจื่อ?!” อวี้เฟยเยียนเด้งตัวขึ้นด้วยความดีใจ แล้วเหลือบมองไปที่ซย่าโหวฉิงเทียน
“พี่รู้ว่าเจ้าคิดถึงหานจื่อ จึงได้ไปพามันมา!”
ทั้งๆที่ต้องการเอาใจศรีภรรยา ถึงกับทุ่มเทแรงกายแรงใจไปไม่ได้เพื่อที่จะนำหานจื่อมาถึงเมืองเฮ่อนี้ได้ แต่ซย่าโหวฉิงเทียนกลับแสดงท่าทีเรียบเฉยราวกับเป็นเรื่องที่ง่ายดายเพียงพลิกฝ่ามือเท่านั้น
“จุ๊บ!”
อวี้เฟยเยียนหอมแก้มซย่าโหวฉิงเทียนฟอดใหญ่ก่อนจะรีบวิ่งออกไป
รอจนกระทั่งอวี้เฟยเยียนวิ่งออกไป เสิ่นถูเลี่ยก็เห็นแก้มขาวเนียนของซย่าโหวฉิงเทียนปรากฎรอยแดงระเรื่อราวกับเอาเครื่องประทินผิวมาทาไว้อย่างไรอย่างนั้น
“ซย่าโหว ท่านเขินอาย?” เสิ่นถูเลี่ยยิ้ม เผยให้เห็นฟันเขี้ยวอันสวยงาม ซย่าโหวฉิงเทียนผู้ที่เย็นชาเ**้ยมโหดปานนั้นก็เขินอายเป็นด้วย?
ทุกอย่างย่อมต้องมีสิ่งมาแก้กันจริงๆด้วย!
“พูดมากน่า!”
ซย่าโหวฉิงเทียนขยับนิ้วเล็กน้อย ซาลาเปาลูกหนึ่งก็ถูกยัดใส่ปากเสิ่นถูเลี่ยทันที
“กินของเจ้าไปเถอะ!”
ที่ชั้นล่าง หานจื่อกระโจนเข้าใส่เถ้าแก่
“เจ้าต่างหากเดรัจฉาน!”
“พวกเจ้าทั้งตระกูลเป็นเดรัจฉาน!”
“ข้าเกลียดที่สุดก็คือการถูกด่าว่าเป็นเดรัจฉานนี่แหละ!”
หานจื่ออ้าปากแยกเขี้ยว จนเผยให้เห็นเขี้ยวสีขาวอันใหญ่ในปากของมันได้อย่างชัดเจน ทั้งยังคำราม “โห่งๆ——” ไม่หยุด ทำเอาเถ้าแก่ตกใจจนร้องเสียงหลง
“ช่วยด้วย! ช่วยข้าด้วย——”
เจ้าสุนัขดำตัวยักษ์นี่น่าหวาดกลัวยิ่งนัก! เขารู้สึกราวกับว่ามันจะกินเขาให้ได้!
“หานจื่อ!”
วินาทีที่เฒ่าแก่คิดไปว่าตนเองต้องตายแน่แล้วนั้น เสียงหวานก็ดังขึ้น
“แม่นางน้อย!”
แรงที่กดร่างของเถ้าแก่เอาไว้ก็พลันมลายหายไปจนหมดสิ้น เพราะหานจื่อโถมตัวเข้าหาอวี้เฟยเยียน แล้วใช้หัวของมันแพะมือนางอย่างออดอ้อน
“หานจื่อ คิดถึงเจ้าแทบแย่!”
อวี้เฟยเยียนลูบศีรษะของหานจื่อหลายครั้งด้วยความเอ็นดู
“แม่นางน้อย ข้าก็คิดถึงเจ้า…และก็คิดถึงกับข้าวที่เจ้าทำด้วย!”
หานจื่อแสดงความคิดถึงอวี้เฟยเยียนด้วยท่าทีที่ซื่อสัตย์ ตลอดทางที่เดินทางมามันต้องอดทนอดกลั้นจนแทบจะบ้าเป็นบ้า มีเพียงในตอนนี้ที่เพียงแค่ได้พบหน้าอวี้เฟยเยียน ถึงได้ร่าเริงขึ้นมา
การมาของหานจื่อสำหรับอวี้เฟยเยียนแล้ว ก็เป็นพลังในการต่อสู้อันแรงกล้า เพียงแค่ได้คิดว่านางได้ขี่หานจื่อพุ่งทะยานเข้าไปในบ้านสกุลหนานกง นางก็รู้สึกฮึกเหิมยิ่งนัก ปล่อยหานจื่อเข้าไปกัดพวกนั้นให้ตายไปเสียเลย! ราวกับว่ารู้สึกได้ถึงความดีใจของอวี้เฟยเยียน หานจื่อจึงได้ร่าเริงบันเทิงใจขึ้นมาเช่นกัน
“แม่นางน้อย ข้ามาคราวนี้จะไม่ไปไหนอีกแล้ว!”
“ข้าจะอยู่กับแม่นางน้อย!”
ช่วงเวลาที่ต้องห่างจากแม่นางน้อย หานจื่อรู้สึกว่ามันช่างยาวนานเหลือเกิน
“ไม่มีแม่นางน้อย ก็ไร้ซึ่งความสุข! แม้แต่เนื้อก็ไม่ได้กิน! ติดตามแม่นางน้อยอย่างเดิมนะดีที่สุด!”
“หานจื่อ เจ้ามาได้เวลาพอดีเลย! คราวนี้พวกเรากำลังจะมีศึกใหญ่!”
ได้ยินในสิ่งที่อวี้เฟยเยียนกล่าวมา หานจื่อก็เริ่มสนุกสนานฮึกเหิมขึ้นมาในทันที
“เห็นไหมเล่าติดตามแม่นางน้อย สนุกกว่ากันเยอะ!”
ในตอนนั้นเองที่คณะของซย่าโหวฉิงเทียน เสิ่นถูเลี่ยและอาหูเดินลงมาจากชั้นสองพอดี
เมื่อเห็นอวี้เฟยเยียนยืนอยู่กับเจ้าสัตว์ป่าตัวมหึมาตรงหน้าแล้ว ถึงได้เข้าใจว่าเพราะเหตุใดเมื่อครู่นางถึงได้ดีใจมากถึงเพียงนั้น
เพราะผู้หญิงล้วนแต่ชื่นชอบสัตว์เลี้ยงด้วยกันทั้งนั้น!
แต่เจ้าสัตว์เลี้ยงตัวนี้มันออกจะ…แตกต่างจากสัตว์เลี้ยงของคนอื่นมากไปเสียหน่อย!
มองด้วยตามันเป็นพียงสุนัขตัวหนึ่ง ที่รูปร่างใหญ่โตมโหฬาร แต่ดูท่าทางลักษณะนิสัยดุดันแข็งแกร่งยิ่งกว่าราชสีห์เสียอีก เมื่อครู่ที่ยืนอยู่ด้านบนมองลงมา ยังตระหนกตกใจคิดว่าเป็นสัตว์ป่าดุร้ายที่ไหนมานะสิ!
คนเลี้ยงก็พิเศษ สัตว์ที่เลี้ยงย่อมต้องไม่เหมือนใครเช่นกัน!
“นายท่าน…” เมื่อได้เจอกับซย่าโหวฉิงเทียน หานจื่อพยักหน้าทำความเคารพเบาๆ
ถูกเจ้านาย ‘ทอดทิ้ง’ เอาไว้หลายต่อหลายครั้ง บัดนี้หานจื่อจึงไม่ค่อยอยากจะเห็นหน้าซย่าโหวฉิงเทียนสักเท่าไหร่
มันจึงเอาแต่กอดขาอวี้เฟยเยียนเอาไว้แน่น!
เถ้าแก่ของโรงเตี๊ยมเซียนเค่อที่เดิมทีกำลังตื่นตระหนกตกใจ เมื่อเห็นเสิ่นถูเลี่ยที่อาบน้ำแต่งตัวสวมใส่ชุดใหม่ที่งามสง่า แลดูสะอาดสะอ้านแล้วก็ถึงกับเข่าทรุด
“คุณชายเสิ่นเมื่อครู่ผู้น้อยมีตาหามีแววไม่ มองไม่ออกว่าเป็นท่าน…”
เถ้าแก่ถึงกับอยากตายขึ้นมาเลยทีเดียวเชียว เขาแทบจะควักลูกตาตนเองออกมาแขวนเอาไว้ที่หน้าประตูเสียเดี๋ยวนั้น
บุคคลที่ยืนอยู่เบื้องหน้าของเขานี้ เป็นถึงคุณชายใหญ่แห่งสกุลเสิ่นถูเชียวนะ!
เป็นผู้มีพรสวรรค์ที่ชาวอู๋โยวต่างก็ให้การยอมรับ!
‘แล้วเขาไปเรียกท่านว่าเป็นขอทานได้อย่างไรกัน? ทั้งยังพ่นคำพูดที่ไม่น่าฟังไปตั้งมากมาย! ‘
‘วันนี้มันเป็นวันมหาโลกาวินาศอะไรกันนะ ถึงได้ซวยซ้ำซวยซ้อนอย่างนี้!’
“ตอนนี้เห็นชัดหรือยัง? เจ้าจะชดเชยอย่างไรบ้าง——”
เสิ่นถูเลี่ยยิ้ม ขณะที่มือก็ลูบคลำจี้โอปอลสีเขียวน้ำทะเลที่ห้อยอยู่ที่ปลายกระบี่ไปด้วย
“ข้าน้อย ข้าน้อย…”
เถ้าแก่ก็เกิดอาการพูดไม่ออกในฉับพลัน
ในบรรดาตระกูลทั้งแปดสกุลเสิ่นถูนับว่าเก่งกาจเป็นที่นับหน้าถือตาไม่น้อย วันนี้เขาล่วงเกินถึงคุณชายใหญ่แห่งสกุลเสิ่นถูเข้า ต่อให้ใช้ความตายแทนการขอโทษยังถือว่าเบาไปเลยด้วยซ้ำ
ใครบ้างที่ไม่รู้ว่าสกุลทั้งแปดมีอำนาจเบ็ดเสร็จในการควบคุมเมืองอู๋โยว
แม้ว่าเมืองเฮ่อจะเป็นถิ่นของสกุลหนานกง แต่หากว่าเสิ่นถูเลี่ยคิดจะเอาโทษในเรื่องที่เขาไม่ให้ความเคารพขึ้นมาละก็ อย่าว่าแต่เขาที่เป็นเพียงเถ้าแก่โรงเตี๊ยมตัวเล็กๆนี่เลย ต่อให้เสิ่นถูเลี่ยต้องการจะรื้อโรงเตี๊ยมทั้งโรงทิ้งให้หายแค้น สกุลหนานกงคงไม่ขัดข้องอยู่แล้ว
“ช่างเถอะ วันนี้ข้าอารมณ์ดี จะละเว้นเจ้าสักครั้ง!”