บทที่ 6 บทที่ 57 ประหลาด

สมาคมแลกเปลี่ยนทราฟฟอร์ด

รถซานตะนะ*สีขาวจอดข้างถนนอย่างกะทันหัน

 

 

คิ้วของเซอร์หม่าหรือหม่าโฮ่วเต๋อกระตุก เกิดความรู้สึกสังหรณ์ใจขึ้นมา อาจจะเป็นเพราะยังไม่ได้กินข้าวเช้าจึงหิวจนรู้สึกตระหนก

 

 

“หลินเฟิง! หลินเฟิง อยู่ไหม?” หม่าโฮ่วเต๋อแหวกฝูงชน เพียงรู้สึกว่ามีคนกำลังรีบเข้ามาหาเขาและเข้ามาอยู่ข้างๆ เขา หม่าโฮ่วเต๋อก็พูดโดยไม่หันมองว่า “ไป ไล่คนที่ไม่เกี่ยวข้องพวกนี้ไป แล้วก็…”

 

 

เซอร์หม่าผู้มีประสบการณ์มาหลายสิบปีร่ายกระบวนการที่ต้องทำออกมาเป็นชุดๆ

 

 

เพิ่งจะพูดเสร็จ หม่าโฮ่วเต๋อก็พบว่าคนที่อยู่ข้างกายนั้นไม่ใช่หลินเฟิง…แต่ถึงจะไม่ใช่หลินเฟิง เซอร์หม่าก็ไม่ได้รู้สึกกระดากใจ “ยังนิ่งอยู่ทำไม ไปทำงานสิ?”

 

 

ตำรวจผู้นี้ชะงักไปครู่หนึ่งถึงได้เอ่ยว่า “เซอร์หม่า พวกผมทำเรื่องที่คุณพูดหมดแล้วครับ!”

 

 

“ทำหมดแล้ว?” หม่าโฮ่วเต๋อชะงัก

 

 

อีกฝ่ายพยักหน้าจากนั้นก็พูดว่า “เมื่อกี้มีตำรวจหญิงคนหนึ่งมา เธอได้พูดเรื่องที่คุณพูดหมดแล้ว พวกเราเลยทำไปหมดแล้วครับ”

 

 

“ตำรวจหญิง?” เซอร์หม่าอ้าปาก “ตำรวจหญิงที่ไหน…เอาเถอะ แล้วเธอพูดอะไรอีกบ้าง?”

 

 

“ไม่มีอะไรแล้วครับ ก็เหมือนกับที่คุณพูดเมื่อกี้”

 

 

หม่าโฮ่วเต๋อถามว่า “แค่พวกนี้? แล้วไม่ได้พูดห้ามไม่ให้นักข่าวปะปนเข้ามางั้นเหรอ? โดยเฉพาะนักข่าวหญิง!!!”

 

 

“เรื่องนี้ไม่มีนะครับ” อีกฝ่ายส่ายหน้า “แต่เมื่อเซอร์หม่าสั่งมาแล้ว ผมก็จะไปจัดการเดี๋ยวนี้ครับ!”

 

 

หม่าโฮ่วเต๋อโบกมือ “รีบไปๆ!”

 

 

ก็ไม่รู้ว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้น…เป็นใครในแผนกมาก่อนเขากันแน่? แต่ตำรวจหญิงในแผนกก็นับได้เพียงสองนิ้วเท่านั้นนิ?

 

 

เซอร์หม่าส่ายหน้า ไปดูที่เกิดเหตุก่อนค่อยว่ากันเถอะ

 

 

เขาผ่านแนวป้องกันมาถึงที่เกิดเหตุ…แต่ก่อนที่จะไปถึงเขาก็ได้ยินเสียงกดชัตเตอร์ดังเข้ามา

 

 

หม่าโฮ่วเต๋อเบิกตากว้าง ท่าทางเหมือนเพิ่งตื่นนอน มึนงงไปชั่วขณะ…อะไรกัน!

 

 

หม่าโฮ่วเต๋อเรียกสติขึ้นมาในทันที เดินเข้าไปอย่างรวดเร็วและพูดว่า “คุณๆๆ คุณเข้ามาได้ยังไง??!!”

 

 

นี่คือรองบรรณาธิการเริ่นของพวกเรา

 

 

หลังจากได้ยินเสียงของเซอร์หม่าแล้ว เริ่นจื่อหลิงถึงได้วางกล้องที่ห้อยไว้บนตัว ปรับเลนส์พร้อมพูดโดยไม่หันหน้ากลับมาว่า “อ๋อ เหล่าหม่า นายมาแล้วเหรอ กินข้าวเช้าหรือยัง?”

 

 

“ยังไม่ได้กิน” หม่าโฮ่วเต๋อพยักหน้าโดยไม่รู้ตัว “เฮ้ย ไม่ใช่! ผมกำลังถามคุณนะ คุณปะปนเข้ามาได้ยังไง?”

 

 

“ฉันไม่ได้ปะปนเข้ามา”

 

 

เริ่นจื่อหลิงเคลื่อนไหวถ่ายรูปอย่างคล่องแคล่วรวดเร็วอีกหลายภาพ “ฉันเดินเข้ามาเลย…จริงสิ ฉันช่วยนายสั่งการไปแล้ว อีกอย่างฉันรู้ว่านายคงยังไม่กินข้าวเลยสั่งให้หลินเฟิงไปซื้อของกินแล้ว”

 

 

“มิน่าผมถึงไม่เห็นเจ้าเด็กนั่น ขอบคุณนะ”

 

 

หม่าโฮ่วเต๋อพยักหน้าอีกครั้ง จากนั้นก็รู้สึกว่ามีบางอย่างไม่ถูกต้อง ชั่วขณะนั้นใบหน้าก็เปลี่ยนไป “ไม่ใช่สิ! คุณสั่งได้ยังไง คุณไม่ใช่ตำรวจสักหน่อย…ผมเข้าใจแล้ว คุณมาทันหลินเฟิงแล้วเข้ามากับเขาใช่ไหม?”

 

 

“มองไม่ออกงั้นเหรอ?” ในที่สุดเริ่นจื่อหลิงก็หยุดมือ สบตากับเซอร์หม่า พยักหน้าพูดอย่างผ่อนคลายว่า “เหล่าหม่า นายดูฉลาดขึ้นนิ!”

 

 

“เป็นเพราะตกหลุมพลางคุณบ่อยๆ ไงล่ะ!”

 

 

หม่าโฮ่วเต๋อหัวเราะ จากนั้นก็รู้สึกว่ามีบางอย่างไม่ถูกต้อง ต้องมีอะไรที่ไม่ถูกต้องสักอย่าง!

 

 

จากนั้นเขาก็ตะเบ็งออกมาว่า “เริ่นจื่อหลิง!! คุณออกไปเดี๋ยวนี้นะ! อย่างน้อยก็ต้องห่างจากแนวป้องกันไปสิบเมตรเป็นอย่างต่ำ!!”

 

 

ความจริงแล้วหม่าโฮ่วเต๋อตะโกนออกไปพร้อมกับความคิดว่าต้องตายแน่ และก็เตรียมตัวรองรับความโกรธจากผู้หญิงคนนี้แล้ว…แต่สิ่งที่เซอร์หม่าประหลาดใจก็คือ ครั้งนี้เริ่นจื่อหลิงกลับพยักหน้าเหมือนแมวเชื่องๆ

 

 

“รู้แล้ว ฉันจะไปเดี๋ยวนี้แหละ ไม่รบกวนนายแล้ว มีข่าวอะไรค่อยติดต่อกันนะ”

 

 

เมื่อเซอร์หม่ามองเห็นเริ่นจื่อหลิงออกจากที่เกิดเหตุไปโดยไม่หันหน้ากลับมามองอีก เขาถึงได้สติขึ้นมา “ให้ตายสิ นี่มัน…”

 

 

ไม่ถูกต้อง ตอนนี้เซอร์หม่าถึงได้สติขึ้นมาอีกครั้ง ผู้หญิงคนนี้คงถ่ายรูปที่ควรถ่ายไว้หมดแล้ว ถึงอยู่ต่อก็ไม่มีประโยชน์อะไร สู้ออกไปเดินรอบๆ และสอบถามดีกว่า…

 

 

ตอนนี้หลินเฟิงถึงเดินเข้ามาจากแนวป้องกันและยังถือถุงเล็กๆ มาด้วย…เป็นเครื่องดื่มกับอาหาร

 

 

“เซอร์หม่า เซอร์หม่า?”

 

 

แต่หลินเฟิงพบว่าหม่าโฮ่วเต๋อดูแปลกๆ เขากำลังขมวดคิ้วไม่รู้ว่าคิดอะไรอยู่

 

 

“เซอร์หม่า คุณคิดอะไรออกแล้วใช่ไหม?” หลินเฟิงถามอย่างสนใจ “จริงสิ คุณเริ่นหายไปไหนแล้วล่ะ?”

 

 

“เอ่อ หลินเฟิง ฉันขอถามนายเรื่องหนึ่งสิ” ครั้งนี้หม่าโฮ่วเต๋อจ้องมองหลินเฟิงอย่างจริงจัง

 

 

“ว่ามาเลยครับ!”

 

 

หม่าโฮ่วเต๋อสูดลมหายใจเข้าลึกๆ และเอ่ยว่า “กว่าฉันจะได้ออกมาปรากฏตัวสักครั้ง ตอนแรกก็คิดจะทำงานให้ดีที่สุด แต่พวกนายกลับจัดการทั้งหมดแล้ว…งั้นฉันออกมาหรือไม่ออกมาจะมีประโยชน์อะไร?”

 

 

“มีสิครับ!” หลินเฟิงพูดอย่างเคร่งขรึมว่า “คุณเป็นหัวหน้างานนะ!”

 

 

“แต่เริ่นจื่อหลิงแย่งงานฉันไปทำหมดแล้ว!” หม่าโฮ่วเต๋อโมโหจนชูนิ้วกลางและพูดอย่างมีน้ำโหว่า “ฉันยังทำอะไรได้อีก?!!”

 

 

“กินข้าวไงครับ!”

 

 

“…”

 

 

 

 

 

 

“เป็นยังไงบ้างครับ?” หม่าโฮ่วเต๋อมองเหล่าฉินที่ไม่ได้ออกมาเป็นเวลานานเช่นกันด้วยสีหน้าจริงจัง

 

 

ตามปกติแล้ว หากไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร เหล่าฉินจะไม่ออกมาง่ายๆ ตอนนี้ลูกน้องของเขาเยอะมาก

 

 

แต่ครั้งนี้ไม่เพียงแต่พบซากศพไร้หัวธรรมดา ร่างกายส่วนล่างยังถูกตัดออกเป็นสองส่วนอีกด้วย

 

 

มีเพียงสถานการณ์ร้ายแรงเป็นพิเศษเท่านั้นเหล่าฉินถึงจะออกมาเอง

 

 

ที่เกิดเหตุฆาตกรรม

 

 

“อืม…พูดยากแฮะ”

 

 

“พูดยาก?” หม่าโฮ่วเต๋อชะงัก น้อยมากที่เขาจะได้ยินคำพูดไม่แน่ใจออกจากปากของเหล่าฉิน…และก็หมายถึงยากมาก

 

 

“ดูจากระดับความแข็งของศพแล้ว ตอนนี้คาดคะเนได้เพียงว่าผู้ตายตายเมื่อเวลาประมาณตีหนึ่งถึงตีสองของวันนี้”

 

 

เหล่าฉินมองดูเพื่อนร่วมงานกำลังจัดเก็บซากศพ “แต่ไม่พบอาวุธสังหารในที่เกิดเหตุ อีกอย่างนอกจากร่องรอยบาดแผลใหญ่สองรอยที่ทำให้เกิดอาการบาดเจ็บรุนแรงถึงแก่ชีวิตแล้ว บนร่างกายยังมีบาดแผลแปลกประหลาดเล็กน้อยจำนวนมากอยู่อีก…บาดแผลพวกนี้คล้ายถูกอะไรขบกัด แต่ที่แปลกประหลาดก็คือทุกๆ รอยกัดนั้นมีรอยฟันไม่เหมือนกัน”

 

 

“เป็นพวกหนูหรือเปล่า?”

 

 

“มีร่องรอยคล้ายหนู แต่มีอยู่มากที่ยังไม่ชัดเจน”

 

 

เหล่าฉินขมวดคิ้วและเอ่ยว่า “แต่บาดแผลที่ร้ายแรงถึงแก่ชีวิตนั้นก็ยังเป็นบาดแผลใหญ่สองรอยนั้น อันหนึ่งคือตำแหน่งคอที่ขาด อีกตำแหน่งคือรอยตรงเอวของผู้ตาย ผมตรวจสอบบาดแผลทั้งสองเบื้องต้นแล้ว รอยตัดที่คอไม่เท่ากันเหมือนโดนของจำพวกเลื่อยกัดลงมา ส่วนบาดแผลส่วนเอวนั้นดูเรียบร้อยและเชื่อมต่อกัน เหมือนกับถูกของที่คมมากๆ ตัดขาดอย่างรวดเร็ว”

 

 

เหล่าฉินส่ายหน้า “ตอนนี้ผมยังบอกไม่ได้ว่าเป็นการตัดหัวก่อนแล้วตัดเอวหรือตัดเอวก่อนค่อยตัดหัว…ยังต้องตรวจสอบเพิ่มเติมอีก แต่ไม่ว่าแบบไหนก็มองเห็นสิ่งเดียวกันได้”

 

 

หม่าโฮ่วเต๋อพยักหน้า ท่าทีดูเคร่งขรึม “ไม่ว่าฆาตกรและเหยื่อมีความเกลียดชังต่อกันหรือไม่…แต่ฆาตกรคนนี้ลงมือโหดเ**้ยมเกินไป บางทีอาจจะมีปัญหาทางจิต”

 

 

ตอนนี้เอง

 

 

“หัวหน้า เซอร์หม่า พวกคุณมานี่หน่อยครับ!”

 

 

เหล่าฉินกับหม่าโฮ่วเต๋อรีบไปตามเสียง เห็นนักนิติเวชคนหนึ่งนั่งยองๆ บนพื้น “หัวหน้ากอง พวกเราพบร่องรอยบางอย่างครับ”

 

 

เหล่าฉินย่อลงไปและขมวดคิ้ว

 

 

บนพื้นมีบางอย่างที่คล้ายกับเมือก อีกทั้งยังเริ่มแห้งจนบางส่วนกลายเป็นผงสีเทาไปแล้ว

 

 

เหล่าฉินใช้เครื่องขูดช้อนเมือกที่ยังไม่แห้งสนิทขึ้นมาดม จากนั้นเขาก็มองตามรอยเมือกเหล่านั้นไปจนพบว่ามันยาวออกไปถึงปากท่อระบายน้ำในตรอก

 

 

“ได้ดูท่อระบายน้ำด้านนั้นหรือยัง?” เหล่าฉินถาม

 

 

“ยังครับ”

 

 

“ไปดูสิ” เหล่าฉินเอ่ย “เก็บของเหลวพวกนี้กับผงที่แห้งแล้วกลับไปด้วย”

 

 

“ครับ!”

 

 

จากนั้นเหล่าเฉินถึงได้ลุกขึ้นมา หันขวับมองไปยังหม่าโฮ่วเต๋อ ขมวดคิ้วและพูดว่า “คุณว่างมากงั้นเหรอ? มายืนโง่อยู่ตรงนี้ทำไม?”

 

 

เซอร์หม่า…หม่าโฮ่วเต๋อมองรอบด้าน

 

 

ว่าง…ก็มันว่างจริงๆ นิ!!!! งานของฉันถูกพวกนายทำจนหมดแล้ว?!

 

 

 

 

 

 

ทุกวัน วันละสามครั้งและก็ตรงเวลาทุกครั้ง อีกทั้งทุกๆ ครั้งยังนำความเจ็บปวดมาให้เซียงหลิ่วได้เกือบจะถึงขีดสุดเสมอ

 

 

สิ่งนี้ทำให้เซียงหลิ่วคิดไปถึงเมื่อสิบปีก่อนที่เขาตกอยู่ในมือของสมาคม และถูกหั่นไปมาเพื่อทำการทดลอง

 

 

เขาเกลียดประสบการณ์ในครั้งนั้น แต่ที่น่าดูแคลนก็คือต้องขอบคุณประสบการณ์ในครั้งนั้นที่ทำให้เขาทนกับความเจ็บปวดทุกวันวันละสามครั้งได้

 

 

เดิมทีการเผชิญกับความเจ็บปวดเช่นนี้จะทำให้ร่างกายเกิดความอ่อนแอมาก…แต่เพราะอยู่ในเส้นสายจิตวิญญาณ ความเจ็บปวดของเขาจึงหายไปอย่างรวดเร็ว จากนั้นก็ใช้ร่างกายอันสมบูรณ์พร้อมเข้ารับความเจ็บปวดจากคำสาปครั้งต่อไป

 

 

ไม่รู้ว่าผ่านวันเวลามาด้วยอารมณ์แบบไหน

 

 

ทันใดนั้นเซียงหลิ่วก็เงยหน้าขึ้น

 

 

เพราะเวลาที่คำสาปออกฤทธิ์ในครั้งนี้สั้นกว่าครั้งก่อนๆ มาก แต่เขาก็ไม่คิดว่าเป็นเพราะพลังของคำสาปอ่อนแอลง

 

 

สาเหตุก็คือ…ที่มาของคำสาป ซูจื่อจวินกลับมาอีกครั้ง

 

 

ผนึกเส้นสายวิญญาณแห่งนี้เป็นส่วนของเธอ เธอจึงเข้ามาที่แห่งนี้ได้อย่างอิสระ

 

 

ซูจื่อจวินเข้ามาถึงสถานที่ที่เซียงหลิ่วถูกกักขังเอาไว้ได้อย่างง่ายดาย พร้อมกับยิ้มเยาะมองเขา “เป็นอย่างไรบ้าง รสชาติของหลายวันมานี้”

 

 

“ขอบคุณรางวัลจากองค์หญิง”

 

 

เซียงหลิวหัวเราะเบาๆ “แต่เกรงว่าจะทำให้องค์หญิงผิดหวังเสียแล้ว เพราะเซียงหลิ่วยังทนได้…ข้าคิดว่าอย่างน้อยก็ก่อนมังกรทะยานฟ้าครั้งหน้า”

 

 

ซูจื่อจวินหรี่ตาลง

 

 

ที่เธอมองนั้นไม่ใช่เซียงหลิ่วแต่เป็นโซ่บนตัวเซียงหลิ่วเหล่านั้น ของที่เหมือนจะแตกหักได้เพียงสัมผัสเหล่านี้กลับขวางเธอไม่ให้ฆ่าเซียงหลิ่วได้

 

 

ซูจื่อจวินมีประสบการณ์มาแล้วครั้งหนึ่งจึงไม่คิดจะแตะต้องโซ่เหล่านี้อีก…อย่างน้อยก็ก่อนที่จะอับจนหนทาง

 

 

“ในเมื่อเป็นเช่นนี้ก็เพิ่มระดับความรุนแรงอีกหน่อยแล้วกัน”

 

 

ครั้งนี้ซูจื่อจวินกัดนิ้วของตนเอง หยดเลือดสีดำถูกบีบออกมากลางอากาศและยิงไปยังหน้าผากของเซียงหลิ่ว

 

 

หยดเลือดสีดำเจาะเข้าไปในกะโหลกของเซียงหลิ่ว

 

 

เมื่อเห็นสีหน้าของเซียงหลิ่วเปลี่ยนไป ซูจื่อจวินถึงได้ยิ้มเขินอายเหมือนสาวข้างบ้าน หมุนตัวจนกระโปรงบานพริ้วและจากไป

 

 

แต่ก่อนที่จะจากไป ซูจื่อจวินยังหันกลับมายิ้มและเอ่ยว่า “สิบเท่านะ~”

 

 

อ้ากกก!

 

 

เพียงพริบตาเดียว ความเจ็บปวดก็เหมือนจะเกินกว่าที่เซียงหลิ่วรับไหวก็ทำให้เขารู้สึกเหมือนว่าวิญญาณกำลังถูกฉีกออกเป็นชิ้นๆ

 

 

 

 

“ไปไหนมา?”

 

 

ซูจื่อจวินเพิ่งกลับมาถึงโรงพยาบาลสัตว์ก็พบกับหลงซีรั่วที่วิ่งออกมาสูบบุหรี่ ทั้งสองคนเบิกตากว้างจ้องกันอยู่นาน

 

 

ซูจื่อจวินเอ่ยว่า “เจ้ามีขี้ตา!”

 

 

หลงซีรั่วก็เหมือนพูดขึ้นพร้อมกันว่า “เจ้ามีขี้ตา!”

 

 

ชิ!

 

 

สองปีศาจที่มีสถานะยิ่งใหญ่แห่งโลกปีศาจในปัจจุบันต่างพากันสบถ และหันหลังกลับไปใช้แขนเสื้อเช็ดดวงตาของตนเองอย่างรวดเร็ว จากนั้นถึงได้หันกลับมา

 

 

และก็เหมือนหันกลับมาพร้อมกัน อีกทั้งยังพูดขึ้นพร้อมกันอีกว่า “เจ้าตาฝาดแล้ว!”

 

 

บรรยากาศอันแปลกประหลาดชนิดหนึ่งแผ่กระจายขึ้นมาระหว่างทั้งสองคน

 

 

ตามปกติในเวลาเช่นนี้มักจะมีเสียงสดใสแทรกระหว่างพวกเธอทั้งสอง และขวางไม่ให้ทั้งสองปะทะกันต่อ

 

 

แต่ตอนนี้กลับไม่มี

 

 

ซูจื่อจวินสบถขึ้นในทันใด “ข้าจะจากไปสักระยะ เจ้าจับตาดูเจ้าเด็กนั่นให้ดี หากข้ากลับมาพบว่าเจ้าเลี้ยงไม่ดีหรือเลี้ยงไม่อ้วน ระวังข้าจะทำลายโรงพยาบาลของเจ้า!”

 

 

หลงซีรั่วพูดว่า “ในเมื่อเจ้าให้ความสำคัญขนาดนี้ ทำไมไม่ดูแลเองเลยล่ะ โยนมาให้ข้ารับผิดชอบทำไม?”

 

 

“ก็เจ้าเป็นคนเก็บกลับมาไม่ใช่หรือ?”

 

 

“ปีปีหนึ่งข้ามักจะเก็บเด็กเร่ร่อนกลับมาเสมอ ถ้าหากข้าต้องดูแลทั้งหมด ที่นี่คงกลายเป็นสถานรับเลี้ยงเด็กไปแล้ว?”

 

 

“เช่นนั้นเจ้าก็ให้เด็กนั่นเกิดเองดับเองเถอะ” ซูจื่อจวินสบถ

 

 

แต่หลงซีรั่วกลับถอนหายใจ “กว่าจะได้กลับมา ทำไมยังต้องไปอีก? เป็นเพราะบาดแผลหายดีแล้วงั้นหรือ?”

 

 

“อีกอย่างหนึ่ง” ซูจื่อจวินพูดขึ้นทันที “มีบางเรื่องที่ข้าไม่ชอบถ่วงเวลาออกไปนานนัก มีบัญชีเก่าบางอย่างที่ข้าควรไปจัดการเสียที อีกอย่าง…”

 

 

ซูจื่อจวินชะงักมองไปรอบด้านและสบถว่า “ช่วงนี้ที่นี่มีกลิ่นของลิงเหม็นตัวนั้นเข้มข้นขึ้นเรื่อยๆ อึดอัด!”

 

 

“ระวังตัวหน่อยนะ”

 

 

“ไม่ตายหรอก”

 

 

 

 

 

 

“ฮา…ฮาชิ้ว~!!”

 

 

ภายในเอลิเซียมบาร์ เสี่ยวเซิ่งเกอกำลังถือไมโครโฟนยืนอยู่บนฟลอร์เต้นรำ “ฮา! ข้าเมาคนเดียว มอบให้พวกเจ้า!”

 

 

เจ้าของเอลิเซียมบาร์โยนไมโครโฟนในมือออกไป จากนั้นก็กระโดดขึ้นมาใช้สองขาเกี่ยวบนแท่งอะไรสักอย่างสีดำๆ

 

 

เสียดสีๆ…

 

 

เสี่ยวเซิ่งเกอกำลังเต้นรูดเสาเท่านั้น

 

 

เสียดสีๆ

 

 

 

 

*รถฟ็อลคส์วาเกิน รุ่นหนึ่งที่ผลิตให้กับประเทศจีน