ไม่รู้ว่าเฟยเฟยกับเจ้าหมาโง่ไถลเข้ามายามใด ดวงตากลมโตสีม่วงคล้ำของเฟยเฟยกะพริบปริบๆ จ้องมองชายกระโปรงสีม่วงของนาง เจ้าหมาโง่หันข้างชื่นชมอย่างวางมาดเป็นผู้อาวุโสว่า “ผาร้างหลังฝนพรำ นภาค่ำสารทเยือนหา หนึ่งแน่งน้อยโสภา เคียงคู่ข้าขึ้นหอนาง” 

 

 

… 

 

 

“เจ้าดูสิ รูปแบบเช่นนี้ สีสันเช่นนี้ เหมาะกับเจ้าเพียงใด” นางประคองไหล่ของขุนนางหญิง กล่าวอย่างสนิทสนมกลมกลืนว่า “ทว่าทรงผมโบราณคร่ำครึของเจ้านี้ไม่ไหว ไม่เข้ากัน ต้องเปลี่ยนทรงผมให้เจ้า” 

 

 

นางกดขุนนางหญิงให้นั่งเบื้องหน้ากระจกแต่งหน้า ขุนนางหญิงมึนงงเคลิบเคลิ้ม ก้นเพิ่งแตะถึงเก้าอี้ รีบเร่งกระโดดขึ้นมาปานต้องอสนี ร้องว่า “ว้าย ไม่ๆ นี่จะเป็นที่นั่งของกระหม่อมไปได้อย่างไร? กระหม่อมกำเริบเสิบสานขนาดนี้ได้อย่างไรเพคะ…” ถอดกระโปรงอย่างรีบเร่งไปพลาง 

 

 

“อย่าขยับ” จิ่งเหิงปัวกดไหล่ของนางไว้ ยิ้มแย้มยั่วยวน กล่าวว่า “เจ้าจะตื่นเต้นขนาดนี้ทำอะไร? ไม่ได้มีคนนอกเสียหน่อย เจิ้นเพียงอยากมองผลลัพธ์ของกระโปรงชุดนี้จึงนำเจ้ามาเป็นนางแบบเท่านั้น เจ้ามีหน้าที่ร่วมมือกับข้าเชื่อฟังข้า ถูกต้องหรือไม่?” 

 

 

ขุนนางหญิงได้แต่พยักหน้า ฟังดูแล้วเรื่องราวเป็นเช่นนี้เอง การออกคำสั่งสมเหตุสมผลของราชินีไม่อาจฝ่าฝืนได้ 

 

 

“ควรทำทรงผมทรงใดดีนะ?” จิ่งเหิงปัวครุ่นคิดอยู่ชั่วครู่ ตบศีรษะครั้งหนึ่ง ร้องว่า “ได้ล่ะ” 

 

 

นางหาปากกากระดาษของตนเองมาวาดทรงผมเปียสองชั้นแล้วเกล้ามวยหลังศีรษะทรงหนึ่ง บอกใบ้ให้จิ้งอวิ๋น ถามว่า “ทำได้หรือไม่?” 

 

 

ชุ่ยเจี่ย จิ้งอวิ๋นและยงเสวี่ยในสามคนนั้น มีเพียงจิ้งอวิ๋นใส่ใจโฉมภายนอกมากที่สุด ฝีมือทางด้านนี้ไม่เลว 

 

 

เดิมทีจิ่งเหิงปัวนึกว่าจิ้งอวิ๋นที่มีนิสัยทระนงตนไม่ยอมลำบากจะไม่พอใจอยู่บ้าง ผู้ใดจะรู้ว่านางก้าวขึ้นมาด้วยรอยยิ้ม เกล้ามวยให้ขุนนางหญิงตามแบบอย่างนั้น ฝีมือดีเยี่ยมดังคาด เกล้าได้ไม่ขาดแม้แต่เส้นเดียว งดงามกว่าทรงมูลก้อนหนึ่งที่จิ่งเหิงปัววาดไว้มากนัก 

 

 

จิ่งเหิงปัวฉวยมือรื้อค้นในกล่องสมบัติของตนเอง หาเครื่องประดับศีรษะทรงดอกลิลลี่ใบกว้างประดับคริสตัลพลอยเทียมสีม่วงสไตล์เกาหลีชิ้นหนึ่งออกมาติดผม แสงสีสันทะลักล้นฉับพลัน พลอยเทียมเปล่งประกาย 

 

 

จิ้งอวิ๋นส่งสายตาอิจฉา ผลักขุนนางหญิงให้หันข้างมองด้านหลังศีรษะของนางอย่างแผ่วเบา ขุนนางหญิงเบิกนัยน์ตากว้างโดยพลัน ยื่นมือแตะเครื่องประดับศีรษะที่สวยงามเสียยิ่งกว่าทองคำอัญมณีชิ้นนั้นอย่างไม่เชื่อสายตา 

 

 

“งดงามนัก…ของสิ่งนี้ต้องราคาสูงลิบลิ่วยิ่งนักเป็นแน่เพคะ” 

 

 

จิ่งเหิงปัวคิดว่าอืมทับทิมเม็ดหนึ่งนั้นบนนิ้วมือเจ้าพอจะซื้อได้สักหมื่นชิ้นเลยล่ะ แต่สิ่งของหายากถึงล้ำค่า นี่น่ะเป็นงานฝีมือยุคปัจจุบัน มีราคาทางยุคสมัย มาอยู่ต้าฮวงย่อมล้ำค่ากว่าทับทิมของพวกเขามากนัก  

 

 

“ลุกขึ้นมองดูผลลัพธ์ทั่วร่าง” 

 

 

ขุนนางหญิงยืนขึ้นมาดั่งความฝัน โฉมสะคราญในกระจก เกศาโสภาดวงหน้าโสภณ อกอวบอิ่มเอวบาง ลูกไม้สีม่วงอ่อนประณีตอ่อนช้อยงดงาม เข็มขัดรวบตึงทอประกายแสงเงิน กระโปรงยาวทรงสุ่มทอดยาวออกมา สาดส่องผ่องอำไพในดวงตาของทุกผู้คนประหนึ่งในฝัน  

 

 

ขุนนางหญิงแทบถูกความงามของตนทำให้ไม่อาจหายใจ เบนสายตาออกไปอย่างเสียดาย ‘ 

 

 

จิ่งเหิงปัวเท้าคาง มองแล้วมองอีก ส่ายหน้า พึมพำว่า “ไม่ไหวๆ แต่งหน้าแข็งทื่อเกินไป” 

 

 

ขุนนางหญิงนิ่งเงียบ “…” 

 

 

ผ่านไปชั่วครู่นางถูกจิ่งเหิงปัวผลักให้นั่งลงอีกครั้ง คราวนี้จิ่งเหิงปัวขนกล่องสีดำใบใหญ่ใบหนึ่งออกมาเปิดออก ก่อนอื่นมองเห็นภายในขาวโพลนเปล่งประกาย พอขุนนางหญิงก้มหน้า มองเห็นจุดกระดำกระด่างสีน้ำตาลอ่อนผืนหนึ่งบนจมูกตนเองฉับพลัน ตกใจจนถอยร่นไปข้างหลัง…นี่คือกระจกหรือ? จะชัดเจนขนาดนี้ได้อย่างไร! 

 

 

“มองดูแป้งนี้ของเจ้า ไม่ละเอียดเลยสักนิดเดียว! อีกทั้งเหตุใดเจ้าถึงไม่แต้มชาดสักหน่อย? สีลิปสติกของเจ้าเชยเกินไปแล้ว! คิ้วก็ไม่ได้เขียนให้ดี แนวยาวตรงดิ่งขนาดนี้ คัดเขียนเลขหนึ่งหรือ? รีบไปล้างออก!” 

 

 

ชุ่ยเจี่ยยกน้ำอ่างหนึ่งมาอย่างมือไวตาไวแล้ว เฝ้าอยู่ทางหนึ่งอย่างสนอกสนใจเป็นอย่างยิ่ง สาวแก่นแก้วยังไม่อาจต่อต้านสัญชาตญาณการแสวงหาความงามของสตรีเพศ  

 

 

ขุนนางหญิงล้างหน้าอย่างเชื่อฟัง ทั้งตื่นตกใจทั้งดีใจเหลือเกิน นางดั่งอยู่ในความฝัน หลงลืมกฎเกณฑ์และการต่อต้านเนิ่นนานแล้ว ในใจเพียงอยากเห็นว่าตนเองจะงดงามได้เพียงใดภายใต้การเปลี่ยนแปลงมหัศจรรย์ของราชินี  

 

 

ในกล่องสีดำใบใหญ่ แบ่งเป็นช่องใหญ่ช่องเล็ก ภายในกล่องน้อยกล่องใหญ่พู่กันเอยแปรงเอยมองจนตาพร่าตาลาย จิ่งเหิงปัวรอให้ขุนนางหญิงล้างหน้าเสร็จ นั่งลงเบื้องหน้านางด้วยตนเอง 

 

 

“แล้วเจ้าจะรู้ว่า บนโลกนี้มีทักษะมหัศจรรย์ เบื้องหน้าทักษะเช่นนี้ ต้าฮวงจะไร้ซึ่งสตรีอัปลักษณ์อีก…หลับตาลง” 

 

 

ขุนนางหญิงหลับตาลง  

 

 

นางรู้สึกได้ว่านิ้วมือของราชินีเคลื่อนย้ายอย่างนุ่มนวลบนใบหน้าของตนเองคล้ายว่ากำลังแต่งแต้มสิ่งใด วาดเขียนสิ่งใด บางครั้งจะมีการออกคำสั่งเป็นระยะ  

 

 

“มองไปข้างบน ใช้ อย่ากะพริบตา” 

 

 

“มองมาข้างล่าง…” 

 

 

“เม้มริมฝีปากหน่อย” 

 

 

… 

 

 

ชุ่ยเจี่ยจิ้งอวิ๋นพวกนางมองจนนิ่งงันไปเนิ่นนานแล้ว แรกเริ่มพวกนางมองเห็นใบหน้าที่ถูกทาแป้งจนขาวโพลน น่ากลัวเล็กน้อยด้วยคล้ายสือเกา[1] ทว่าหลังจากลงรองพื้นกลบจุดด่างดำลงแป้งฝุ่นวาดโครงหน้าทาแก้ม สายตามองดูใบหน้ากลมเกลี้ยงที่เดิมทียังพอนับได้ว่าสวยสดงดงาม พลันยิ่งขาว ยิ่งสว่าง เค้าโครงยิ่งแจ่มชัด ถึงขนาดแม้แต่คางยังแหลมมนแล้ว ต่างตกตะลึงจนปากอ้าตาค้าง ไม่เข้าใจว่าพู่กันเอยแปรงเอยไขเอยแป้งเอยเหล่านั้น เหตุใดจึงมีผลลัพธ์มหัศจรรย์ขนาดนี้? 

 

 

จิ้งอวิ๋นมองดูการกระทำของจิ่งเหิงปัวอย่างไม่กะพริบตา พยายามจะจดจำว่าแต่ละครั้งนางใช้สิ่งใดบ้าง ทว่าพู่กันเหล่านั้นดูแล้วมิได้แตกต่างกัน สีสันเหล่านั้นซับซ้อนเช่นนั้น ในกล่องขนาดเล็กเท่าฝ่ามือใบหนึ่ง กลับแบ่งเป็นช่องเล็กได้หลายสิบช่อง ในช่องทุกช่องคือแป้งชาดสีสันที่นางไม่เคยพบเห็นชนิดหนึ่ง เปล่งประกายแสงเงินมืดครึ้ม ลึกลับยวดยิ่ง  

 

 

นางมองจิ่งเหิงปัวอย่างตระหนักรู้ปราดหนึ่ง หลายครั้งหลายครารู้สึกว่าดวงตานางเว้าลึกยิ่งนัก หางตาเปล่งประกายด้วยแสงสีลึกลับดึงดูดใจ อีกทั้งริมฝีปากของนางดูแล้วสวยสดงดงามอวบอิ่มเค้าโครงเด่นชัดยิ่งนัก ด้วยเพราะมีความเกี่ยวข้องกับกล่องน้อยมหัศจรรย์เหล่านี้หรือ? 

 

 

นึกไม่ถึงว่าแป้งชาดจะมีสีสันมากมายขนาดนี้ได้ สีสันมากมายยังสามารถใช้สอยเช่นนี้ได้ วันนี้นับว่าเปิดหูเปิดตาโดยแท้ พอเทียบกันแล้ว นางพลันรู้สึกว่าการประทินโฉมที่ทาแป้งแต้มชาดทาปากแต่เดิมเช่นนั้นแข็งทื่อไร้ชีวิตชีวา คล้ายดั่งภาพวาดที่ไร้ความเคลื่อนไหวโดยแท้  

 

 

แท้จริงแล้วจิ่งเหิงปัวแค่แต่งหน้าอ่อนๆ ให้ขุนนางหญิง ไม่ได้ใช้คอนแทคเลนส์เทปตาสองชั้นขนตาปลอมต่างๆ ทักษะการแต่งหน้าก็คือหนึ่งในความสามารถไม่กี่อย่างที่นางมี อีกทั้งไม่อยากนำออกมาทั้งหมดในครั้งเดียว  

 

 

ด้วยพรสวรรค์ในการแต่งหน้าของนาง การแต่งหน้าเล็กน้อยเพียงพอจะซ่อมแซมข้อบกพร่องบนใบหน้าของขุนนางหญิงแล้ว ปิดบังสันจมูกค่อนข้างเตี้ยของนาง สร้างเค้าโครงชัดเจนออกมา ทั่วทั้งร่างพลันมีชีวิตชีวาขึ้นมาก  

 

 

“เสร็จแล้ว” 

 

 

ขุนนางหญิงลืมตาขึ้น จากนั้นขุนนางหญิงที่ถูกคัดเลือกออกมาด้วยเพราะระวังวาจาและการกระทำเคร่งขรึมถือตนเป็นอย่างยิ่งผู้นี้ เปล่งเสียงกรีดร้องตื่นเต้นดีใจที่ไร้หนทางควบคุมเสียงหนึ่ง  

 

 

“นี่ นี่คือข้าหรือ!” 

 

 

จิ่งเหิงปัวกลอกตาขาว  

 

 

บทพูดน้ำเน่านี่ทุกครั้งเลย 

 

 

“แต่งหน้าอ่อนๆ เท่านั้น ทว่าอุปนิสัยของเจ้าก็เหมาะสมการแต่งหน้าอ่อนๆ คราวนี้ก็คือผลลัพธ์ทั่วร่างที่แท้จริงแล้ว ยืนขึ้นมาเดินหน่อยสิ” จิ่งเหิงปัวหยิบรองเท้าส้นสูงสีเงินคู่หนึ่งออกมา วางตรงฝ่าเท้าของขุนนางหญิง  

 

 

นางเลือกคู่ที่ส้นสูงเพียงแปดเซนติเมตรโดยเฉพาะ แต่ขุนนางหญิงยังคงถูกรองเท้านี้ทำให้ตกอกตกใจ  

 

 

“รองเท้านี้…” 

 

 

“งดงามหรือไม่?” จิ่งเหิงปัวรักรองเท้าทุกคู่ของนาง รองเท้ากินพื้นที่ รวมทั้งหมดนางมีเพียงสองสามคู่ กล่าวว่า “ให้เจ้ายืมสวมสักหน่อย เฮ้อ ข้าเจ็บปวดใจยิ่งนัก” 

 

 

รองเท้าสูงจนทำให้คนมองแล้วเกิดความหวาดกลัว แลงดงามจนทำให้คนไร้หนทางต่อต้าน ขุนนางหญิงสวมรองเท้าอย่างตื่นเต้นดีใจไม่สบายใจในที่สุด พอสวมเสร็จก็เอนเอียงไปอีกทางหนึ่ง จิ่งเหิงปัวที่เตรียมพร้อมตั้งนานแล้วรีบเร่งเข้าไปประคอง  

 

 

“เดินหลายก้าวหน่อยประเดี๋ยวก็เคยชินแล้ว” นางกล่าวว่า “รองเท้าพื้นสูงยามคิมหันต์ของพวกเจ้าขุนนางหญิงก็ไม่ได้แตกต่างกันมากไม่ใช่หรือ?” 

 

 

ยามกระโปรงบานสีม่วงยาววกวนคดเคี้ยวในห้อง ยามนิ้วมือสีขาวราวหิมะจับชายกระโปรงกว้างใหญ่ทั้งสองฝั่งอย่างแผ่วเบา ยามดอกไม้พลอยเทียมสีม่วงเปล่งประกายระยิบระยับบนมวยผมหนาแน่น ยามขุนนางหญิงเชิดสีขาวราวหิมะลำคอยืดอกขึ้นอย่างควบคุมมิได้ ในห้องนี้ดั่งคล้ายมีราชินีเพิ่มมาอีกองค์หนึ่ง  

 

 

เลาะกระดูกเกิดใหม่ ไม่มีสิ่งใดเกินไปกว่านี้  

 

 

สตรีสามนางที่เหลือพลันร่างเล็กนิดเดียว ปรารถนามุดกายเข้าไปในฝุ่นธุลีโดยพลัน  

 

 

เจ้าหมาโง่กระพือปีกบินเข้าไป อยากจะขโมยเครื่องติดผมดอกไป่เหอผลึกธารชิ้นนั้นมาติดบนหัวของตนเอง เฟยเฟยโผเข้าหาชายกระโปรงนาง ซบศีรษะเข้าไป มองสายตามืดคล้ำนั้น คล้ายกำลังครุ่นคิดความเป็นไปได้ในการมอมเมาคนจนสลบไสลแล้วลากกลับถ้ำ  

 

 

จิ่งเหิงปัวพอใจในผลลัพธ์อย่างมาก ปรบมือ  

 

 

“เสร็จแล้ว เช่นนั้นพวกเราไปเดินเล่นในตลาดกันเถิด” 

 

 

… 

 

 

ความเงียบสงัดระลอกหนึ่ง  

 

 

จากนั้นขุนนางหญิงฉับพลันหันหน้า “อะไรนะเพคะ?” ตกใจจนแม้แต่เสียงยังเพี้ยนไป  

 

 

“เดินเล่นในตลาด” จิ่งเหิงปัวทำสีหน้าเปี่ยมด้วยคำถามว่าเหตุใดต้องทำตัวเป็นกระต่ายตื่นตูม กล่าวว่า “ยุ่งวุ่นวายมานานขนาดนี้ หรือว่าเจ้าคิดจะให้เจิ้นทำเสียแรงเปล่า? สวยจนถึงระดับนี้ หรือว่าเจ้าคิดจะขังตนเองไว้ในห้องมองนิดหน่อยก็พอแล้ว? มีสำนวนหนึ่งเรียกว่าอะไรนะ? แต่งกายสวยงามไม่ไปเดินตลาดให้ผู้อื่นเชยชมเทียบได้กับสวมชุดแพรท่องราตรี เอาเถิด อย่าขัดพระราชโองการ เจิ้นมิใช่จะทำลายกฎเกณฑ์ เจิ้นเพียงมีแผนการใหม่ทั้งหมดแผนการหนึ่ง อยากจะช่วยเหลือสตรีเพศทุกนางในต้าฮวง บุกเบิกจิตสำนึกแห่งความสวยงาม ยกระดับคุณภาพชีวิต ภายภาคหน้าเจิ้นหวังจะอาศัยสิ่งนี้ก่อเป็นร้านเสริมสวยหรือร้านเสื้อผ้าที่มีกิจการสาขา สร้างโอกาสในการจ้างงานให้สตรีเพศแห่งต้าฮวง แก้ไขปัญหาตำแหน่งต่ำต้อยของสตรีเพศแห่งต้าฮวง นี่คือความผาสุกที่เจิ้นแสวงหาเพื่อสตรีเพศแห่งต้าฮวงในฐานะราชินี แลเป็นการกระทำศักดิ์สิทธิ์ที่เป็นประโยชน์ต่อแคว้นและราษฎร…” 

 

 

ขุนนางหญิงฟังอยู่อย่างวิงเวียนศีรษะ ไม่เข้าใจว่าเรื่องราวเริ่มต้นอย่างไรแลพัฒนาไปอย่างไร เหตุใดเพียงลองสวมกระโปรงแทนชุดหนึ่ง พลันเพิ่มพูนถึงเรื่องใหญ่ของแคว้นที่เป็นประโยชน์ต่อแคว้นและราษฎรไปแล้ว เรื่องราวความผิดใหญ่หลวงชัดแจ้งเช่นแอบออกไปเดินเล่นในตลาด เหตุใดพลันเปลี่ยนแปลงเป็น “ถวายงานให้องค์ราชินี ดำเนินการแสดงหุ่นสร้างสรรค์และสำรวจท่าทีโต้ตอบของผู้คนในสถานที่จริงแทนนาง” แล้ว… 

 

 

ถึงอย่างไรยามราชินีแซ่จิ่งเริ่มกล่าวบิดพลิ้วเป็นน้ำไหลไฟดับอย่างแท้จริง ราษฎรต้าฮวงผู้ซื่อสัตย์ย่อมไร้หนทางจำแนกแยกแยะและต่อต้าน ถึงอย่างไรครึ่งชั่วยามต่อมา จิ่งเหิงปัวล่อลวงขุนนางหญิงและสตรีหลายนางไปเดินเล่นในตลาดสมความปรารถนาแล้ว  

 

 

มีขุนนางหญิงนำทางทำให้ออกจากวังง่ายดายยิ่งนัก จิ่งเหิงปัวนั่งรถม้าออกไป ภายใต้การอ้อนวอนครั้งแล้วครั้งเล่าของขุนนางหญิง นางขัดขืนฝืนใจสวมผ้าคลุมไหล่สีขาวผืนเล็กผืนหนึ่ง 

 

 

บนถนนใหญ่จิ่วกงที่คึกคักที่สุดของตี้เกอในวันนี้ เกิดพายุหมุนน้อยลูกหนึ่ง  

 

 

  

 

 

 

 

 

[1] สือเกา หรือแร่ยิปซัม (gypsum; CaSO4.H2O) หรือเรียกว่าเกลือจืด มีสีขาว ไม่มีสีหรือสีเทา มีความวาวคล้ายแก้ว มุก หรือไหม