พายุหมุนเริ่มจากทิศตะวันตกของถนนใหญ่จิ่วกงใกล้กับจัตุรัสหวงเฉิง หมุนไปเบื้องหน้าอย่างเชื่องช้า ยิ่งหมุนยิ่งใหญ่ ยิ่งหมุนยิ่งเร็ว ยิ่งหมุนยิ่งสะท้านสะเทือน  

 

 

หากมองลงไปจากด้านบน จะมองเห็นฝูงชนสีดำเวียนวน ล้อมรอบจุดน้อยหลากหลายจุดหลากสี จุดน้อยเคลื่อนย้าย ฝูงชนติดตามไปอย่างเชื่องช้าด้วย มีเสียงแอบกระซิบกระซาบแว่วออกมาอย่างต่อเนื่อง  

 

 

“ดู ดูสิ นั่นคือกระโปรงอะไร!” 

 

 

“งดงามยิ่งนัก! ไม่เคยเห็นอาภรณ์ที่งดงามเช่นนี้มาก่อนเลย!” 

 

 

“ข้าชื่นชอบชุดสีม่วงนั้น สูงส่ง! ประณีต! สวมแล้วดั่งราชินี! อา นางใช่ราชินีหรือไม่!” 

 

 

“ข้าชื่นชอบชุดกระโปรงหลากสีชุดนั้น งดงามเหลือเกิน! พลิ้วไหวดั่งความฝัน!” 

 

 

“มีร้านใดขายบ้าง? ข้าจะต้องซื้อสักชุด!” 

 

 

“อา มองรองเท้าของนาง รองเท้าสีเงิน สูงยิ่ง ประณีตงดงามนัก! รองเท้ายังทำเป็นรูปร่างเช่นนี้ได้ด้วยหรือ?” 

 

 

“ดูหมวกของนางสิ สายผ้าสีกำลังลอยล่อง!” 

 

 

“อาๆๆ ปิ่นกลัดผมดอกไป่เหอสีม่วงชิ้นนั้นประดิษฐ์อย่างไรกัน! เครื่องประดับที่งดงามที่สุดของข้ายังเทียบไม่ได้ครึ่งหนึ่งของปิ่นกลัดผมนี้!” 

 

 

“พวกเจ้ามองเพียงกระโปรงรองเท้าแล้ว ข้ากลับรู้สึกว่าประทินโฉมการพวกนางประณีตนัก สีริมฝีปากนั้นสวยสดงดงามขนาดนั้นได้อย่างไร? ซ้ำยังเปล่งประกาย!” 

 

 

“ข้าอยากรู้แหล่งที่มาของสิ่งของทั้งหมด!” 

 

 

“เร็วเข้า คิดวิธีติดตามไป ไถ่ถามพวกนางซื้อมาจากที่ใด!” 

 

 

ร้านตัดเสื้อผ้า ร้านเครื่องประดับ ร้านแปรรูปอัญมณี ร้านรองเท้า ร้านแป้งชาด ช่างปักผ้า พ่อค้าหาบเร่ทุกแห่งทั่วทั้งตี้เกอ…ร้านค้าและผู้ทำงานที่มีความเกี่ยวข้องกับสิ่งของสตรีแทบจะทั้งหมดต่างถูกทำให้ตกใจแล้ว  

 

 

บุตรสาวผู้ดีทุกคน สาวน้อยอายุเข้าเกณฑ์แทบจะทุกคนทั่วทั้งนครตี้เกอต่างถูกทำให้ตกใจแล้ว  

 

 

ลูกหลานตระกูลผู้ดี คุณชายตระกูลขุนนาง พวกเจ้าชู้เสเพลหลายรูปแบบแทบจะทั้งหมดในนครตี้เกอต่างถูกทำให้ตกใจแล้ว เดินตามกลิ่นหอม ไม่เห็นโฉมสะคราญกลางฝูงชน ยังสามารถมองเห็นกุลสตรีนับมิถ้วน ยามปกติคงไม่ได้เห็นสตรีชุมนุมกันมากมายขนาดนั้นอีกแล้ว ยิ่งไม่ได้ท่าทางตื่นเต้นหน้าแดงซ่านของพวกนาง  

 

 

อาภรณ์สองนาง ลมหอมสองฝั่งถนน กวาดล้างตี้เกอในพริบตา  

 

 

จิ่งเหิงปัวเดินกลางฝูงชนอย่างไม่รีบไม่ร้อน มุมปากมีรอยยิ้มเพียงน้อย นางเคยชินกับถูกคนอื่นมองนานแล้ว เดิมทีก็หวังออกมาเตรียมให้คนอื่นมอง ผลลัพธ์ยิ่งสั่นสะเทือนยิ่งดี  

 

 

ครั้งแรกนางไม่อยากแปลกแยกแตกต่าง กระโปรงยาวนับว่าหัวโบราณ ผ้าคลุมไหล่ผืนเล็กสีขาวหิมะบดบังผิวกายที่เปิดเปลือย หมวกปีกกว้างหลากสีบดบังใบหน้าครึ่งหนึ่ง เผยให้เห็นเพียงริมฝีปากแดงราวเพลิงบนผิวกายสีขาวราวหิมะ รูปริมฝีปากอวบอิ่ม เส้นริมฝีปากกระหวัดจนแจ่มชัด แพรวพราวเปล่งประกายใต้เงามืดของปีกหมวก  

 

 

กระโปรงยาวเนื้อผ้าชีฟองล่องลอย กระโปรงหลากสีรวมกันเป็นสีสันที่งดงามที่สุด ดุจฤดูสารทแพรวพราวดุจมหาสมุทรก่อเกลียวคลื่นดุจผกายามวสันต์ผลิบาน ใต้กระโปรงเผยหัวรองเท้าแหลมของรองเท้าส้นสูงสายรัด ประดับด้วยพลอยเทียม เปล่งประกายหลายระลอก  

 

 

ขุนนางหญิงอ่อนวัยข้างกายชื่อว่าซย่าจื่อหรุ่ย มิน่าล่ะนางถึงชื่นชอบสีม่วง จิ่งเหิงปัวติดผ้าตาข่ายสีดำประดับลูกปัดเล็กสีดำบนมวยผมนาง บดบังใบหน้าครึ่งหนึ่งของนางไว้ ใบหน้าครึ่งหนึ่งที่ผุดเผยออกมาขาวผ่องแดงซ่าน ปลายจมูกเชิดขึ้นเพียงน้อย มีลักษณะอ่อนวัยที่เฉิดฉาย ความบริสุทธิ์ไร้เดียงสาของเด็กผู้หญิงอายุยี่สิบคล้ายดั่งเพิ่งถูกขุดค้นออกมาในยามนี้  

 

 

นางไม่ได้สุขุมเท่าจิ่งเหิงปัวแม้เพียงน้อย ตั้งแต่เค่อแรกที่เดินลงจากรถม้าเหยียบย่ำบนถนนยาวก็เริ่มเสียใจในภายหลัง หากไม่ใช่จิ่งเหิงปัวฝืนลากฝืนดึง คิดว่านางคงต้องวิ่งหันกลับมาเป็นแน่ ยามคนยิ่งมากขึ้นเรื่อยๆ มุงดูกันยิ่งตื่นตะลึงขึ้นเรื่อยๆ นางก็ยิ่งตื่นเต้นขึ้นเรื่อยๆ มือจับชายกระโปรงไว้ไม่หยุดหย่อน รองเท้าส้นสูงก็เอนไปเอียงมาจนไร้หนทางเดินก้าวต่อไป อาศัยจิ้งอวิ๋นประคองทั้งสิ้น 

 

 

“อย่ากลัว พวกเราเดินรอบหนึ่งก็กลับแล้ว” จิ่งเหิงปัวปลอบโยนนาง ยิ้มแย้มกับจิ้งอวิ๋นสามคนอย่างรู้สึกเสียใจ กล่าวว่า “วันนี้เวลาไม่พอ ทำได้เพียงแต่งกายให้จื่อหรุ่ยผู้เดียว คราวหน้าแต่งกายให้พวกเจ้าสวยสดงดงาม ออกมาโปรยเสน่ห์ด้วยกัน” 

 

 

“ช่างมันเถิด” ชุ่ยเจี่ยส่ายหน้า เอ่ยว่า “สวมอาภรณ์จนเป็นเช่นนี้ ข้าคงเดินถนนไม่ได้แล้วล่ะ รองเท้านี้เป็นรองเท้าที่ให้คนสวมหรือ?” 

 

 

ยงเสวี่ยเอ่ยด้วยเสียงเล็กแผ่วเบาว่า “ได้มองดูก็ดีมากแล้ว มีอาภรณ์เหล่านี้ แลต้องมีโชคชะตาค้ำจุน” 

 

 

จิ่งเหิงปัวยังไม่ทันได้ชื่นชมวาจาของนาง จิ้งอวิ๋นยิ้มแย้มพลางเอ่ยขึ้นมาว่า “ฝ่าบาทอยากเผยแพร่อาภรณ์เครื่องแต่งกายเช่นนี้ออกไปใช่หรือไม่? ให้เหล่าสตรีแห่งตี้เกอได้เรียนรู้กันหน่อย ฉวยโอกาสหาเงินหาทองด้วย?” 

 

 

“เจ้าฉลาดนัก!” ดวงตาของจิ่งเหิงปัวกะพริบวูบ “เจ้าทำไหมล่ะ? เงินของสตรีเก็บง่ายที่สุด ต้าฮวงไม่ยากจน ทว่าด้วยเพราะติดต่อสื่อสารกับแคว้นอื่นน้อยเกินไป เหล่าสตรีแต่งกายโบราณล้าหลังเกินไปแล้ว สวรรค์ส่งข้ามาที่แห่งนี้ เพื่อให้ข้ามาเก็บเงินใช้จ่ายเบ็ดเตล็ดส่วนเกินของพวกนาง!” 

 

 

ยิ่งกว่านั้นยังมีราชินีเช่นนางนี้ กับขุนนางหญิงในพระราชวังเป็นนางแบบจัดแสดงด้วยตนเอง! 

 

 

มองโดยทั่วไปแล้วประเทศที่มีจักรพรรดิทรงเป็นประมุขในยุคปัจจุบันเหล่านั้น เสื้อผ้าเครื่องประดับของเหล่าพระชายาพระราชินีเจ้าหญิงก่อให้เกิดกระแสนิยมตลอดมา สินค้าแบบเดียวกันบนเถาเป่าขายดีเป็นเทน้ำเทท่า ทุกผู้คนต่างมีความฝันจะเป็นพระชายาสักครั้งหนึ่ง ทำได้เพียงสวมใส่เสื้อผ้าสินค้าแบบเดียวกันกับพระชายาชดเชยสักเล็กน้อย 

 

 

ตอนพิธีเฉลิมฉลองรับขบวนเสด็จ ด้วยเพราะสถานการณ์ไม่ชัดเจน นางเลือกสวมชุดพิธีการที่ทางต้าฮวงตระเตรียมให้อย่างว่านอนสอนง่าย ภายหลังรอให้นางลงหลักปักฐานมั่นคง นางจะทำให้ทั้งตี้เกอทั้งต้าฮวงมองเห็นบุคลิกโดดเด่นเป็นเอกลักษณ์ในยุคปัจจุบันซึ่งเป็นของนาง  

 

 

ราชินีเช่นนางนี้ อำนาจที่แท้จริงเทียบราชินีอังกฤษไม่ได้เลยด้วยซ้ำ เมื่อวานนางสอบถามจื่อหรุ่ยแล้ว การสนองความประสงค์ของนางต้องให้กองตรวจการวังและกองพิธีการอนุมัติเช่นกัน มีจำนวนครั้ง เอ่ยเสียดิบดีว่าหลีกเลี่ยงไม่ให้ราชินีก่อเกิดนิสัยฟุ่มเฟือยสิ้นเปลือง สตรีไม่มีเงินชีวิตอันตราย นางไม่อยากใช้ชีวิตที่เหลืออยู่ของตนเองแบบอยากซื้อเสื้อขนสัตว์สักตัวยังต้องทำรายงานครั้งแล้วครั้งเล่า แบบนั้นอนาคตนางอยากจะตามหาเพื่อนซี้สามคนทั่วทั้งโลกจะทำอย่างไร 

 

 

จิ่งเหิงปัวมองดูดวงตาที่เจือด้วยแสงรุ่งโรจน์ของจิ้งอวิ๋น เพิ่งคิดอยากคุยเรื่องแผนการของตนเองกับนางสักหน่อย หรือว่ามอบหมายให้นางจัดการเสียเลย อย่างไรเสียนางต้องการผู้ประสานงานกับโลกภายนอกสักคน ในใจสะท้านกะทันหัน คำกล่าวที่มาถึงปากหยุดลงแล้ว  

 

 

คนบางคนกับเรื่องบางเรื่อง ถึงอย่างไรวางแผนให้เชื่อถือได้สักหน่อยดีกว่า  

 

 

เบื้องหน้าเกิดความวุ่นวายต่อเนื่อง เถ้าแก่กลุ่มใหญ่กลุ่มหนึ่งไม่สนใจผู้กีดขวางทั้งชายทั้งหญิง เบียดฝูงสตรีออกไปสุดชีวิต อยากจะพุ่งเข้ามาสอบถามพวกนาง ซ้ำยังมีผู้อ่อนวัยแต่งกายหรูหรากลุ่มหนึ่ง สั่งให้องครักษ์ไล่ฝูงชนออกไป อยู่ไกลโพ้นยังหัวเราะร่าสอบถามราคาของพวกจิ่งเหิงปัว น้ำเสียงเหลาะแหละ  

 

 

จิ่งเหิงปัวได้ยินมีผู้พึมพำเสียงแผ่วเบาในฝูงชนที่ถูกเบียดออกไป  

 

 

“ตัวประกันที่อยู่ไปวันๆ ในตี้เกอกลุ่มหนึ่ง ไม่รู้ว่าศีรษะจะร่วงพื้นยามใด ยังกล้ากำเริบเสิบสานขนาดนี้!” 

 

 

จิ่งเหิงปัวเข้าใจแล้ว นี่คงจะเป็นบุตรชายของผู้นำหกแคว้นแปดชนเผ่าที่ถูกกงอิ้นใช้กลอุบายบังคับให้ส่งมาตามตำนาน คนเหล่านี้ดำรงชีวิตอยู่ตี้เกอในฐานะองค์ประกัน โดยทั่วไปแล้วถือเป็นบุคคลซึ่งเป็นผู้นำตระกูลของหกแคว้นแปดชนเผ่าในตี้เกอด้วย รับผิดชอบเรื่องราวที่เกี่ยวข้องกับการติดต่อสื่อสาร ควบคุมกำลังทั้งหมดของตระกูลที่อยู่ในตี้เกอ บางครั้งเข้าร่วมการลงมติเรื่องแคว้นด้วย  

 

 

ครั้งก่อนที่จะเข้าสู่ตี้เกอ ผู้นำหกแคว้นแปดชนเผ่าที่ถูกลักพาตัวเหล่านั้น ส่วนมากคือผู้นำขุนนางหรือกำลังทางทหารใต้บัญชาเหล่าองค์ประกัน ด้วยเพราะการดำรงอยู่ขององค์ประกัน หกแคว้นแปดชนเผ่าจำต้องให้ข้าราชบริพารรวมทั้งองครักษ์ส่วนหนึ่งอยู่ในตี้เกอ ทว่ากษัตริย์ที่แท้จริงต่างอยู่ในอาณาเขตของตนเอง หากไม่ใช่ถูกเรียกเข้าพบในพิธีเฉลิมฉลองไม่อาจก้าวออกมาจากเขตแดน  

 

 

ในฐานะที่เป็นองค์ประกัน มีความกลัดกลุ้มในความเป็นความตายทุกขณะ คงจะใช้ชีวิตอยู่อย่างไม่สบายใจ สำมะเลเทเมาเจ้าชู้บ้ากามอะไรนั่น คล้ายว่าเป็นการปกป้องตนที่ต้องทำอย่างแน่นอน  

 

 

จิ่งเหิงปัวรู้ที่มาของคนเหล่านี้แล้วไม่อยากคบค้าสมาคมให้มาก กำลังอยากจะหันหลังกลับ รู้สึกทันทีว่าข้างหลังผิดปกติ มีความรู้สึกดั่งหนามแหลมทิ่มแทงแผ่นหลัง นางหันหลังฉับพลัน มองเห็นดวงตาปานเหยี่ยวคู่หนึ่ง  

 

 

ทั้งย้อนแสง ทั้งท้องฟ้าใกล้มืดมิด ฝูงชนเบียดเสียดจอแจอยู่หลังกายแทบจะมองเห็นอะไรไม่ชัดเจน แต่ไม่รู้ว่าทำไมนางถึงมองเข้าไปในดวงตาคู่นั้นแวบหนึ่ง แสงนัยน์ตานั้นเยือกเย็นและลึกซึ้ง ทิ่มแทงมายังทิศทางของนางประหนึ่งเข็มแหลม แต่ไอสังหารพลันสูญสลายหายไปปานดาวตก กลับกลายเป็นความมืดสลัวสงบเงียบในครู่หนึ่งนั้นที่สัมผัสสายตานาง จากนั้นคนนั้นหันกายสูญสลายในฝูงชน 

 

 

จิ่งเหิงปัวทันได้แค่มองเห็นเงาด้านหลังสูงใหญ่ของคนนั้น ผมสีดำขลับคงจะค่อนข้างอ่อนวัย ดูจากการแต่งกายของเขา คล้ายว่าเป็นหนึ่งในกลุ่มองค์ประกันเช่นกัน  

 

 

จิ่งเหิงปัวแอบจดจำเงาด้านหลังเงานี้ไว้ในใจ  

 

 

ถนนใหญ่จิ่วกงกว้างนัก ฝูงชนที่พวกนางดึงดูดมามากเกินไป เดินไปครึ่งหนึ่งก็ไร้หนทางเคลื่อนย้ายไปข้างหน้าอีก ผู้ที่มีเจตนาร้านค่อยๆ เข้ามาใกล้ มีบางคนยื่นมือคิดจะดึงกระโปรงของจิ่งเหิงปัว จื่อหรุ่ยเสียใจอย่างไร้สิ้นสุดกับการกระทำของตนตั้งนานแล้ว กัดปากไว้เกือบจะร้องไห้ออกมา เอ่ยว่า “ฝ่าบาท…พวกเราไม่ควรมา…คนเยอะเหลือเกินออกไปไม่ได้ จะเกิดเรื่องนะเพคะ…” 

 

 

“อืม เท่านี้น่าจะพอแล้ว ควรทิ้งทวนปราดสุดท้ายงามตะลึงพรึงเพริดปราดหนึ่งแล้ว” จิ่งเหิงปัวพยักหน้า มองเห็นตรอกน้อยตรอกหนึ่งริมถนนเบื้องหน้า ก้าวเข้าไปแล้วหายตัว  

 

 

ลมระลอกหนึ่งพัดผ่าน สะบัดหมวกของนางขึ้นพอดี ผมยาวพัดสยายระหว่างสายริบบิ้นลอยล่อง นางยิ้มแย้มชำเลืองนัยน์ตา  

 

 

ผุดผาดหยกโสภณ อร่ามล้นมนตร์เสน่ห์  

 

 

ในพริบตาเดียวทุกผู้คนรู้สึกเพียงว่าเบื้องหน้าสว่างวูบ ดั่งแล่นเรือบนมหาสมุทรยามรุ่งเช้าพลันได้เห็นพระอาทิตย์ก่อเกิดแสงอรุโณทัยออกมา สายตาพลันเต็มเปี่ยมด้วยสีสันและความสวยสดงดงาม ความเฉิดฉายและความแพรวพราว สวยงามจนกระทั่งเอ่ยไม่ได้ว่าที่ใดงดงาม รู้สึกเพียงคิ้วดำโฉมอำไพ เค้าร่างดุจภาพวาด รู้สึกเพียงตั้งแต่ดวงตาถึงดวงใจ ตั้งแต่ดวงใจถึงวิญญาณต่างสั่นสะท้านในพริบตาเดียว ตื่นตะลึง หลงลืมสิ้นทุกสิ่ง จำได้เพียงครู่หนึ่งนี้ทอดข้ามแสงสว่างและแสงสีสันกลางม่านตา  

 

 

ทุกคนเปล่งเสียงอุทานอย่างตื่นตะลึงที่ไม่อาจเข้าใจความหมาย ต่างตกตะลึงงงงันไปชั่วครู่ 

 

 

ผ่านไปสักพักถึงมีผู้รู้สึกตัวขึ้นมา  

 

 

“เอ๋! คนล่ะ!” 

 

 

ผู้ที่เหลืออยู่ตกอกตกใจกันใหญ่ สายตามองดูโฉมสะคราญเบื้องหน้าสองนางนั้นที่ห่างออกไปไม่ไกลหายไปโดยพลัน  

 

 

เมื่อครู่ยังถูกล้อมไว้กึ่งกลางฝูงชนอย่างแจ่มแจ้ง แม้มีปีกยังยากจะโผบิน  

 

 

ทุกคนทยอยตามหารอบกาย จะหาเจอได้ที่ใด? สตรีที่สวมอาภรณ์งดงามมหัศจรรย์สองนางนั้นดุจมารผกาพราวเสน่ห์ในเรื่องราวภูตผีปีศาจจิ้งจอก เหินลมจุติมาแล้วยิ้มแย้มจากไป สูญสลายระหว่างสายตาเสียดายอาลัยอาวรณ์ของทุกคน  

 

 

… 

 

 

ครึ่งเค่อให้หลัง จิ่งเหิงปัวลากซย่าจื่อหรุ่ยที่เซ่อซ่ามึนงงกลับมาบนรถม้าที่จอดอยู่ซอกมุมหนึ่งในจัตุรัสหวงเฉิงแล้ว  

 

 

แล้วรออีกสักพัก พวกชุ่ยเจี่ยสามนางกลับมาแล้วเช่นกัน  

 

 

จิ่งเหิงปัวทำได้มากที่สุดแค่พาคนคนหนึ่งหายตัว โชคดีที่พวกชุ่ยเจี่ยได้ยินนางร้องเรียกล่วงหน้า สวมใส่ชุดปกติธรรมดา ในชั่วพริบตานั้นที่จิ่งเหิงปัวลากซย่าจื่อหรุ่ยหายตัว พวกนางหันกายแฝงเข้าไปกลางฝูงชนแล้วกลับมาด้วยตนเอง  

 

 

ภายใต้แสงสว่างรุ่งโรจน์ของพวกจิ่งเหิงปัวสองคน พวกนางก็คือผู้เดินถนนคนหนึ่ง ไม่มีใครสังเกตด้วยซ้ำว่าหน้าตาเป็นอย่างไร  

 

 

รถม้าเข้าวังมาอย่างราบรื่นยิ่ง องครักษ์ที่เฝ้าประตูวังคุ้นเคยกับจื่อหรุ่ยยิ่งนัก เพียงดูป้ายห้อยเอวที่จื่อหรุ่ยยื่นออกมา ไม่ตรวจค้นรถม้าเสียด้วยซ้ำ ผู้สามารถรับตำแหน่งขุนนางหญิงในพระราชวังต้าฮวงต่างผ่านการตรวจสอบและการทดสอบจากกองตรวจการวังครั้งแล้วครั้งเล่า ตนเองแม้แต่ชีวิตเกียรติยศศักดิ์ศรีของทั้งตระกูลยังอยู่ในกำมือของกองตรวจการวัง ไม่อาจทรยศได้โดยแท้  

 

 

เมื่อกลับมาถึงลานบ้านของตนเอง จิ่งเหิงปัวพบอย่างแปลกใจว่าลานบ้านกว้างขึ้นอีกหน่อยแล้ว มีสิ่งของมากมายเพิ่มเข้ามา เหมิงหู่เฝ้าอยู่ปากประตู เดินไปเดินมาด้วยสีหน้าร้อนรน พอมองเห็นนางรีบเร่งเดินเข้าลานบ้านข้างห้องไปแล้ว  

 

 

ตอนนี้จิ่งเหิงปัวถึงนึกได้ว่า แม้ว่าจื่อหรุ่ยมีป้ายห้อยเอวเข้าออกวังได้สะดวก แต่ตนเองออกจากวังครั้งนี้ยังง่ายดายเกินไปหน่อย กงอิ้นไอ้จอมควบคุมนั่นจะไม่ได้สั่งการให้คนตามมาเลยเหรอ? 

 

 

… 

 

 

กงอิ้นฟังรายงานของเหมิงหู่แล้ว วางม้วนหนังสือในมือลง หางตาชำเลืองไปทางคนอีกผู้หนึ่งซึ่งยืนอยู่เบื้องหน้า  

 

 

ผู้นั้นคือเจ้าอ้วน เป็นหนึ่งในผู้ติดตามที่เดินทางไปต้าเยียนด้วย นามว่าอวี่ชุน  

 

 

“เรียนนายท่าน” อวี่ชุนเอ่ยว่า “ฝ่าบาททรงติดตามขุนนางหญิงจื่อหรุ่ยออกจากวัง แลมิได้ทรงกระทำสิ่งใด ทรงพระราชดำเนินบนถนนใหญ่จิ่วกงสามสิบจั้งแล้วเสด็จกลับมา รวมเวลาทั้งสิ้นไม่เกินหนึ่งเค่อ ทว่า… ” เขาเช็ดเหงื่อ นึกได้ว่าเมื่อครู่ตนเองเบียดเสียดจนผิวเกือบจะลอกออกมาชั้นหนึ่ง ยิ้มขมขื่นเอ่ยว่า “ทว่าทั่วทั้งตี้เกอ ยามนี้คงจะถูกทำให้ตกใจกันทั่วแล้วขอรับ…” 

 

 

“โอ้?” กงอิ้นหันหน้ามาในที่สุด ดวงพักตร์แจ่มชัดใต้แสงทิวาสายัณห์ แสงทองเพียงน้อยเปล่งประกายระยิบระยับบนขนตายาวดกดำ  

 

 

“เรื่องนี้…” อวี่ชุนรู้สึกได้เลยว่าไม่อาจบรรยายความรู้สึกงามตะลึงพรึงเพริดครู่หนึ่งนั้นของตนเองเบื้องหน้าราชครู ทำได้เพียงยิ้มคลุมเครือเอ่ยว่า “ท่านไปดูสักหน่อยย่อมรู้แล้วขอรับ…”