มหายุทธ์ สะท้านภพ บทที่ 611
เรื่องราวที่เกี่ยวข้องกับสำนักฟ้าดินนั้น เขาก็พอรู้มาบ้าง การสืบทอดของแดนศักดิ์สิทธิ์นี้ค่อนข้างลึกลับ การควบคุมพลังฟ้าดินได้นับว่าเป็นจุดที่ไร้ที่ติ

ภายในแดนการฝึกยุทธ์ ผู้ที่ฝึกถึงแดนราชายุทธ์จะเริ่มควบคุมพลังฟ้าดินได้ในขั้นแรก และเมื่อแดนสูงขึ้นเรื่อยๆ จนถึงแดนจักรพรรดิยุทธ์แล้วผนึกรวมเป็นเทพจิตแล้ว หลังจากนั้นก็จะเป็นฝึกร่างทองแดนมกุฎยุทธ์

ในทุกๆ แดนใหญ่มักจะมีกระบวนที่พิเศษต่างกันไป ดังนั้นผู้ที่อยู่ในแดนราชายุทธ์ก็สามารถควบคุมพลังฟ้าดินได้ก็จะค่อยๆ ถูกขับไล่ออกมา

จนมาถึงในตอนหลัง ผู้แข็งแกร่งโลกยุทธ์ค้นพบว่า กระบวนการพิเศษในแต่ละแดนใหญ่ อันที่จริงแล้วจะมีการพัฒนาพลังโซนอย่างมาก

เมื่อเป็นเช่นนี้แล้ว ก็เริ่มมีการถ่ายทอดวิธีการฝึกฝนแปลกๆ หลายชนิด

สำนักฟ้าดินให้ความสำคัญกับการฝึกพลังฟ้าดิน พลังที่สามารถควบคุมได้แม้แต่ผู้ที่อยู่ในระดับราชายุทธ์ เมื่อผ่านการเปลี่ยนแปลงและเสริมความแข็งแกร่งแล้ว ก็เกิดเป็นพลังที่มีความแข็งแกร่งยิ่งขึ้นกว่าเดิม

นอกจากพลังฟ้าดินแล้ว เทพจิตของผู้ที่อยู่ในแดนจักรพรรดิยุทธ์ก็มีการถ่ายทอดการฝึกเทพจิตเฉพาะทางอยู่บ้าง อย่างเช่นร่างทองของแดนมกุฎยุทธ์ก็เป็นวิชาร่างทองอันแข็งแกร่งที่ร่างเนื้อผ่านการทดสอบมาแล้วอย่างหนัก

และที่หลัวซิวไม่ได้ให้ความสำคัญกับการฝึกเพียงด้านเดียว ก็เป็นเพราะเขาฝึกวงล้อชีวิตแห่งเหล่าเทวเทพแล้ว จึงไม่ต้องทุ่มเทฝึกด้านใดด้านหนึ่ง

เพราะขอเพียงการฝึกตนของเขาพัฒนาขึ้นไปถึงระดับหนึ่ง ไม่ว่าเขาจะอยู่แดนไหนก็จะมีความสามารถที่เหนือกว่าเพื่อนร่วมแดนเดียวกัน

“ตราดิน!”

สวีเฟิงผนึกรวมพลังฟ้าดิน เขายกมือขึ้น พลังดินกลายเป็นหอกรบสว่างไสว และปรากฏเศษเงารางๆ ราวกับดาวตาที่แหวกทะยานขอบฟ้า

โซนบนเวทีประลองยุทธ์ไม่ได้กว้างขวางนัก ดังนั้นหอกรบที่กลั่นตัวมาจากพลังดินก็เคลื่อนที่ไปถึงตัวหลัวซิวอย่างรวดเร็ว

เว้นเสียแต่ว่าเขาจะใช้ความเร็วจากปีกทิพย์ไร้มลทินถึงจะหลบเลี่ยงได้ แต่ภายใต้การจ้องมองของผู้ชมเช่นนี้ เขาไม่อาจหยิบเอาสมบัติล้ำค่าจากแดนพรสวรรค์อย่างปีกทิพย์ไร้มลทินออกมาใช้ได้

ภายใต้ความอึดอัดนั้น หลัวซิวได้แต่ใช้ผนังเทพไท่เสวียนเพื่อรับมือการโจมตีนี้เท่านั้น

“ตู้ม!”

เสียงระเบิดดังสนั่น บริเวณเวทีประลองยุทธ์เกิดฝุ่นควันลอยโขมงขึ้น ส่วนร่างของหลัวซิวนั้นถูกฝุ่นอบอวลปกคลุมเอาไว้มิดจนไม่มีใครมองเห็นเขา

การโจมตีของสวีเฟิงไม่ได้หยุดอยู่เพียงเท่านี้ เขายังคงปล่อยหอกรบพลังดินออกมาอีกสิบกว่าอันต่อเนื่อง การโจมตีของหอกรบทุกๆ อันเทียบเท่ากับการลงมือของผู้แข็งแกร่งมกุฎยุทธ์

“อ๊าก!……”

เสียงโหยหวนดังขึ้นมาจากด้านล่างเวที การโจมตีอันน่าหวาดกลัวเช่นนี้ อย่าว่าแต่มกุฎยุทธ์ขั้น 7 ทั่วๆ ไปเลย แม้แต่มกุฎยุทธ์ขั้น 7 ที่มีฝีมือร้ายกาจก็คงโดนสังหารภายในระยะเวลาสั้นๆ เช่นกัน

สวีเฟิงผู้นี้มาจากแดนศักดิ์สิทธิ์อย่างสำนักฟ้าดิน การฝึกตนอยู่ในระดับมกุฎยุทธ์ขั้น 7 พลังในการต่อสู้ไม่ได้ด้อยไปกว่ามกุฎยุทธ์ขั้น 9 เลยด้วยซ้ำ

ในบรรดาฝูงชนที่มาชมการต่อสู้ เหยียนเยว่เอ๋อร์เริ่มเกิดอาการตึงเครียดขึ้นมา แม้ว่านางจะรู้ว่าพลังของหลัวซิวนั้นแข็งแกร่ง แต่คู่ต่อสู้เป็นถึงอัจฉริยะขั้นสุดยอดที่มาจากแดนศักดิ์สิทธิ์ การต่อสู้ในสนามแบบนี้หากพลาดพลั้งไปแม้แต่นิดเดียวก็อาจจะบาดเจ็บสาหัสได้

การโจมตีของหอกรบพลังดินสิบกว่าอันบดบังเวทีประลองยุทธ์ไปกว่าครึ่ง ริมฝีปากของสวีเฟิงปรากฏรอยยิ้มเย็น ส่วนผู้ชมการประลองแทบจะหยุดหายใจไปแล้ว เหยียนเยว่เอ๋อร์จับชายเสื้อเอาไว้แน่น พลางภาวนาขอให้หลัวซิวปลอดภัย

ทว่าหลังจากที่ฝุ่นควันจางลงไปแล้ว รอยยิ้มเย็นบริเวณริมฝีปากของสวีเฟิงก็แข็งชะงัก

เขาเห็นเวทีที่พังทลายตั้งอยู่ตรงกลาง หลัวซิวยืนนิ่งอยู่ที่เดิม ร่างของเขาปกคลุมไปด้วยเปลวไฟลุกโชนสีดำที่แทบไม่ได้รับอันตรายใดๆ เลย

“วิชายิ่งเลิศคุ้มกัน?”

สีหน้าของสวีเฟิงหมองหม่นลง เขาไม่อยากจะเชื่อว่าร่างยุทธ์ในแดนมกุฎยุทธ์ขั้นกลางจะสามารถต้านทานการโจมตีของหอกรบพลังดิน 10 สายได้ เห็นได้อย่างชัดเจนว่าเจ้าหนุ่มคนนี้ใช้วิชาป้องกันยิ่งเลิศ