บทที่ 127 โดย Ink Stone_Romance

 

บทที่ 127 วิกฤตโรงแรม (1)

            ตั้งแต่อี้เป่ยซีไปปลีกวิเวกอยู่ที่บ้านของเซี่ยเช่อแล้วก็ไม่ออกมาจากห้องอีก ขลุกอยู่บนเตียงทั้งวัน ตัวก็ร้อนตลอดเวลา ไม่ว่าหลานฉือเซวียนกับเซี่ยเช่อจะพูดกับเธออย่างไร อี้เป่ยซีก็ยังคงหัวเราะอย่างสนุกสนานและนอนบนเตียงต่อ จนกระทั่งถึงวันที่สี่ หลานฉือเซวียนทนไม่ไหวลากอี้เป่ยซีออกไปจากห้อง

            “ฉันง่วงมากเลย อยากกลับไปนอน” อีเป่ยซียึดประตูรถไว้ ทำอย่างไรก็ไม่เข้าไป เซี่ยเช่อเหลือบมองท่าทางที่เป็นกังวลของหลานฉือเซวียนแล้ว ผลักอี้เป่ยซีเข้าไปทันที จากนั้นจึงมองเธออย่างขอโทษ

            “ครั้งนี้จะพาเธอไปที่ใหม่”

            อี้เป่ยซีส่ายหัวสุดชีวิต “ไม่ไป ไม่ไป ที่ใหม่ยังไงก็ไม่ไป ฉันสบายดีมาก ไม่จำเป็นต้องเปลี่ยน ไม่อยากเปลี่ยนใหม่”

            “คือว่า” เซี่ยเช่อครุ่นคิด กัดฟันตัดสินใจใช้วิธีที่ตัวเองใช้ได้ผลมาตลอด “จื่อจวีหานซื่อ เธอจะไปไหม”

            “ไม่ไป ไม่ไป ฉันอยากกลับไปนอน”

            “จื่อจวีหานซื่อตัวเป็นๆ เธอจะไปหรือว่าไม่ไป?”

            อี้เป่ยซีส่ายหัวเหมือนกลองป๋องแป๋ง จนกระทั่งสมองเริ่มตอบสนอง เบิกตาที่งดงาม พูดอย่างชัดถ้อยชัดคำ “ถ้านายโกหกฉันอีก เราแตกหักกัน”

            หลานฉือเซวียนขมวดคิ้วมองเซี่ยเช่อ เห็นเขาหัวเราะเขินอาย พยักหน้า อี้เป่ยซีจึงนั่งในรถอย่างสงบเสงี่ยม หลานฉือเซวียนคว้าไหล่ของเซี่ยเช่อ พูดเสียงต่ำ “นายหมายความว่าอะไร?”

            เซี่ยเช่อจูบหูของเขา “เขาไม่รู้สักหน่อยว่าเป็นใคร ฉันหาเพื่อนสักคนก็ได้แล้ว วางใจเถอะ ไม่เป็นไรหรอก”

        หลานฉือเซวียนปล่อยเขา บนใบหน้ายังมีความกังวลเลือนลาง แต่ก็ยังพาอี้เป่ยซีไปยังภูเขาหลังอะพาร์ตเม้นต์แล้ว อี้เป่ยซีนั่งอยู่หลังรถ ไม่มีความสนใจใดๆ ต่อทิวทัศน์รอบกาย เมื่อมาถึงภูเขาแล้ว ก็ยังหาวไม่หยุด หลานฉือเซวียนเกือบจะลากเธอไปบนภูเขา

            “เธอไม่รู้สึกว่าตรงนี้คุ้นๆ เหรอ?” หลานฉือเซวียนหันหน้ามองรั้วที่พิงศาลาจิตรกรรม อี้เป่ยซีหรี่ตาพูดขึ้น เธออ้าปากหาวกว้างๆ พร้อมขยี้ตา “อืมรู้แล้ว อยู่ในรูปของจื่อจวีหานซื่อ”

            “เป่ยซี ตอนนี้เธอไม่สนใจอะไรเลยจริงๆ เหรอ?” หลานฉือเซวียนเข้าใกล้เธอด้วยสีหน้าจริงจัง หลายวันนี้ไม่ว่าจะพูดอะไร อี้เป่ยซีล้วนมีท่าทางเหนื่อยหน่าย ดนตรีหรือภาพวาดจีนเหมือนกับว่าได้กลายเป็นคำนามที่ไม่มีความหมายใดๆ สำหรับเธอแล้ว

            เธอเบือนหน้า “ไม่มีน่าสนใจนี่นา ทำไมต้องสนใจด้วย”

            “เป่ยซี เธอคิดเรื่องนี้ซับซ้อนเกินไปแล้ว ทำไมเธอต้องจมปลักกับการปฏิเสธตัวเองอยู่เสมอ ฉัน หรือเซี่ยเช่อพูดแค่นิดเดียว เธอ…”

            อี้เป่ยซีโบกๆ มือ “คิดว่าฉันตลกมากใช่ไหม?”

            “เปล่า ก็แค่รู้สึกว่า แค่คิดมาตลอดว่าเธอเป็นเด็กผู้หญิงใจกว้างคนนึง คิดไม่ถึงว่าความคิดจะแคบแบบนี้ ขังตัวเองอยู่ในกะลาตลอดเวลา” หลานฉือเซวียนถอนหายใจยาว จากนั้นก็นั่งลง “เธอคิดดีแล้วไม่ใช่เหรอ แต่ว่ายังไม่ปลง ก็เลยเริ่มทำอะไรไม่ชัดเจนอีกแล้ว เธอกับลั่วจื่อหานเป็นไปไม่ได้เลยจริงๆ เหรอ? ฉันดูออกว่าเธอชอบเขามาก และเขาก็รักเธอมากด้วย”

            เธอเงยหน้ามองดูคานของศาลา “ใช่สิ ดูแล้วปัญหาง่ายนิดเดียว แต่เพราะปมนั้นที่ทำยังไงฉันก็ไม่เข้าใจ ทำยังไงก็เดินออกมาไม่ได้”

            หลานฉือเซวียนเงียบไปสักพัก จึงค่อยๆ กุมมือของเธอด้วยความเย็นชาเล็กน้อย ผ่านไปเนิ่นนานอี้เป่ยซีจึงยิ้มเอ่ย “เซี่ยเช่อหลอกฉันอีกแล้ว ที่นี่มีจื่อจวีหานซื่อที่ไหนกัน เมื่อก่อนมีล่ะมั้ง ฉันอยากย้อนไปตอนนั้นจริงๆ ดูว่าเขาวาดรูปยังไง”

            “ถ้าเธออยากดูจริงๆ ที่จริงก็ใช่ว่าจะเป็นไปไม่ได้”

            “เอ๊ะ?” อี้เป่ยซีมองดูหลานฉือเซวียนที่เหมือนจะพูดอะไรบางอย่างแต่ลังเล สงสัยเล็กน้อย จากนั้นก็หัวเราะอย่างผ่อนคลาย “ไม่ต้องหรอก ถ้าหากได้เจอจริงๆ ต่อไปเซี่ยเช่อจะหลอกฉันออกมายังไงล่ะ หลายวันนี้ลำบากพวกนายแล้ว”

            “ต่อไปเธอจะทำยังไง?”

            “กลับไปสิ ฉันโดดเรียนไม่ได้ตลอดหรอกนะ สิ่งที่สำคัญของนักเรียนก็คือการเรียนหนังสือ นี่ก็คือสิ่งที่ฉันคิดไว้”

            หลานฉือเซวียนยังต้องการพูดอะไรบางอย่าง ก็เห็นชายแก่ที่มีผมหงอกในเสื้อคลุมสีขาวคนหนึ่งเดินมาหาพวกเขา มีชายหนุ่มตามมาด้านหลัง สวมหน้ากากและแว่นกันแดด บนตัวยังมีเป้สะพายหลังขนาดใหญ่

            อี้เป่ยซีชำเลืองมองพวกเขา แล้วนั่งตัวตรง “นายว่าใช่จื่อจวีหานซื่อหรือเปล่า คุณปู่คนนั้นดูแล้วผอมบางแต่ท่าทางภูมิฐานจริงๆ ส่วนผู้ชายที่อยู่ข้างๆ คนนั้น…” เปลือกตาของอี้เป่ยซีกระตุก หลานฉือเซวียนมองเธอเพื่อรอประโยคต่อไป “ช่างเถอะ ไม่มีอะไรน่าพูดหรอก ฉันคงจะนอนเยอะไปหน่อย” นอนเยอะจนเกิดภาพหลอน เธอก้มหน้ากับตัวเอง หลานฉือเซวียนลุกขึ้นต้อนรับ

            “พวกเธอคงจะเป็นเพื่อนที่เซี่ยเช่อพูดถึงสินะ พวกเราช่างมีวาสนาต่อกันจริงๆ” เสียงหัวเราะของชายแก่สดใสและมีพลัง ทำให้ติดเชื้อได้อย่างง่ายดายมาก อี้เป่ยซีที่นั่งอยู่ในศาลาก็อดไม่ไหวที่จะหัวเราะแล้ว ใบหน้าแข็งทื่อเล็กน้อย เธอเดินเข้าไปหาชายแก่

            “คุณก็คือจื่อจวีหานซื่อสินะคะ สวัสดีค่ะ ฉันเป็นแฟนพันธุ์แท้ของคุณ ชอบภาพวาดแล้วก็บุคลิกในภาพของคุณมาก”

            “อ๋อ บุคลิก?” คนแก่ลูบคลำหนวดของตัวเอง พินิจพิเคราะห์เด็กสาวที่มีหน้าตาซีดขาวเล็กน้อยตรงหน้า

            อี้เป่ยซีพยักหน้าด้วยความมั่นใจมาก “ใช่ค่ะ คุณวาดรูปคนในรูปทิวทัศน์ได้เยี่ยมมาก”

            หลานฉือเซวียนมองอี้เป่ยซี ไม่เข้าใจว่าเธอต้องการพูดอะไรกันแน่ คิดไม่ถึงว่าคนแก่จะอึ้งไปครู่หนึ่ง จากนั้นก็หัวเราะเสียงดัง “ดูแล้วเธอคงจะชอบมากจริงๆ”

            เด็กหนุ่มที่อยู่ข้างๆ กระแอมไอเบาๆ ด้วยเสียงหยาบกระด้าง อี้เป่ยซีจึงละสายตาของตัวเองจากเขา แอบถอนหายใจอย่างหดหู่

            “จื่อจวีหานซื่อ” สังเกตเห็นอาการของเธอโดยธรรมชาติ ลูบเคราด้วยท่าทางอารมณ์ดีมาก “ยัยหนู ดูแล้วเธอร่างกายไม่แข็งแรงเลยนะ เจ้าเซี่ยเช่อนั่นดูแลเธอไม่ดีเหรอ?”

            อี้เป่ยซีดวงตาเป็นประกายพร้อมส่ายหัว “เปล่านะคะ แค่รู้สึกว่าผอมแล้วดูดีกว่า” พูดจบก็ทำหน้าเศร้าเล็กน้อย หลานฉือเซวียนครุ่นคิดดูแล้วไม่สามารถละเลยคนที่มาช่วยได้ จึงคุยสัพเพเหระกับชายแก่ อี้เป่ยซีเหมือนกับหลุบตาลง ฟังพวกเขาพูดคุยกันเงียบๆ ผู้ชายที่อยู่ข้างๆ อยู่ไกลจากพวกเขามาก แต่มองตามชายแก่ตลอดเวลา

            คุยไปคุยมาจู่ๆ ชายแก่ก็ตื่นเต้น ลากหลานฉือเซวียนออกไปด้านข้างอย่างลึกลับแล้ว อี้เป่ยซีมองพวกเขาจากไปด้วยรอยยิ้มเย่อหยิ่ง พิงรั้วสีแดง หลับตาลงโดยไม่รู้ตัว น่าจะเป็นเพราะสายลมที่พัดปรอยผมบนใบหน้า ในใจก็รู้สึกระคายเคืองด้วย

        อี้เป่ยซีลืมตาขึ้นเป็นเส้นเล็กบางที่สุด เห็นคนที่ใส่ชุดดำสวมหน้ากากสีดำและแว่นตาดำนั่งอยู่บนม้านั่งหินตรงข้ามเธอ กระดานวาดภาพวางอยู่บนตักของเขา กำลังร่างภาพด้วยความระมัดระวังเป็นอย่างยิ่ง สายตาที่มองเธอนั้นชวนให้เจ็บปวด

————