เหตุผลที่จู่ๆ เขาก็พูดเรื่องตัดงบประมาณออกทีละส่วนขึ้นมาในขณะที่กำลังปรึกษาหารือกันเรื่องการสอบของสามัญชนคืออะไรกัน คำพูดที่ไม่คาดคิดของฮอนทำให้ความฉงนปรากฏขึ้นบนสีหน้าของเหล่าเสนาบดี แต่งบประมาณของพระราชวังก็อยู่ในขอบเขตอำนาจของกษัตริย์อยู่แล้ว นอกจากนั้นเขาก็ไม่ได้บอกว่าจะใช้อย่างฟุ่มเฟือย แต่กลับบอกว่าจะประหยัดมัธยัสถ์ให้ดูเป็นตัวอย่างอีกต่างหาก จึงไม่มีอะไรให้ต้องค้านและคิดอะไรไม่ออกด้วย ในระหว่างที่พวกเขากำลังสับสนอยู่นั้น เสียงของพระราชาซึ่งเปี่ยมไปด้วยพลังจึงพูดต่อ ส่วนพู่กันของผู้จดบันทึกที่จดตามก็ขยับพลิ้วไหวไปมาอย่างรวดเร็ว 

 

 

“ออซาบู[1]ใช้งบประมาณที่จัดไว้ให้ทั้งหมดและเติมเต็มส่วนที่ขาดด้วยงบสำรองในการก่อตั้งสถานที่สำหรับให้ราษฎรได้เล่าเรียนในทุกหัวเมือง ส่วนอาจารย์ที่จะมาสอนพวกเขาก็ให้คัดเลือกจากขุนนางซึ่งผ่านการสอบและแต่งตั้งตำแหน่งใหม่ให้เป็นลำดับขั้นที่ห้า ชั้นเอกมียศเป็น กุกซา การอบรมบ่มเพาะบุคคลที่มีความสามารถของประเทศก็สมควรได้รับค่าตอบแทนถูกต้องไหม กุกซาที่ผลิตบุคลากรได้มากที่สุดของทุกปี ข้าจะมอบรางวัลให้เป็นพิเศษ” 

 

 

“เป็นการตัดสินที่เฉลียวฉลาดและถูกต้องตามทำนองคลองธรรมโดยแท้จริงพ่ะย่ะค่ะฝ่าบาท” 

 

 

ท่านมหาเสนาบดีรีบสนับสนุนอย่างรวดเร็วก่อนที่พวกเสนาบดีจะอ่านสถานการณ์นี้ออก พลางเอ่ยออกมาว่า “เรื่องทั้งหมดนี้ต้องขอบใจคำตักเตือนของพวกท่าน และความเฉลียวฉลาดยิ่งนักของฝ่าบาทพ่ะย่ะค่ะ” ในระหว่างที่ลูกเขยกับพ่อตารับส่งกันอยู่นั้น หัวสมองของเหล่าเสนาบดีก็เริ่มยุ่งอยู่กับการคิดคำนวณกำไรขาดทุน 

 

 

ในเมื่อชนชั้นกลางได้เข้าสอบก็แสดงว่าแม้จะเป็นลูกหลานของขุนนางก็ไม่ได้รับประกันว่าจะได้ตำแหน่ง ปกติตำแหน่งขุนนางลำดับขั้นที่ห้า ชั้นเอกนั้น แม้จะถูกแต่งตั้งด้วยระบบการแนะนำอย่างในตอนนี้ แต่ก็แทบจะไม่มีใครเลยที่ได้เริ่มต้นเข้ารับราชการด้วยตำแหน่งขุนนางลำดับขั้นที่ห้า ชั้นเอก ดังนั้นสุดท้ายแล้วฮอนจึงเล่นกับหัวใจของข้าราชการระดับสูงที่รวมตัวกันในท้องพระโรง ในฐานะคนที่เป็นพ่อก็คงจะต้องอยากให้ลูกได้รับตำแหน่งราชการ ซึ่งทุกคนก็น่าจะเหมือนกันหมด ในท้ายที่สุดคำตอบที่ฮอนต้องการก็ดังออกมาจากปากของพวกเขา 

 

 

“เป็นพระมหากรุณาธิคุณพ่ะย่ะค่ะฝ่าบาท” 

 

 

“เป็นพระมหากรุณาธิคุณพ่ะย่ะค่ะฝ่าบาท!” 

 

 

การประสานเสียงนั้นช่างน่าฟังราวกับเสียงแตรของแม่ทัพที่ป่าวประกาศชัยชนะอันยิ่งใหญ่หลังการต่อสู้ที่ดำเนินไปอย่างเชื่องช้า แม้จะประสบผลสำเร็จในการนำระบบการศึกษามาใช้ซึ่งได้รับการกล่าวขานว่าเป็นความสำเร็จที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของพระราชาองค์ที่สี่สิบสามแห่งแทซากุก แต่ฮอนซึ่งเป็นผู้ริเริ่มวางแผนและบรรลุผลสำเร็จคิดเพียงแค่ว่ามันคือภูเขาใหญ่ลูกหนึ่งเท่านั้น 

 

 

“เรื่องถัดไป นำหนังสือถวายฎีกามา” 

 

 

ฮอนแอบส่งสายตาให้พ่อตาซึ่งคอยช่วยเหลือเขาเป็นอย่างดีพลางคลี่ม้วนกระดาษอันต่อไปราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น เมื่อเห็นว่ายังไม่มีการคัดค้านเรื่องนางสนมแม้จะทำการตัดสินใจไปแล้ว จึงทำให้รู้เลยว่าอำนาจของท่านมหาเสนาบดีนั้นมหาศาลเพียงใด แต่ก็ได้สัญญาอย่างหนักแน่นไปแล้วว่าจะจัดการเรื่องจดหมายลาออกให้ หลังจากที่ให้เขามาเป็นเกราะป้องกันให้และช่วยแก้ไขปัญหาสำคัญสำเร็จ น้ำหนักของตราพระมหากษัตริย์ที่ถืออยู่ในมือวันนี้จึงหนักเป็นพิเศษ 

 

 

 

 

 

* * * 

 

 

 

 

 

“ฝ่าบาทเสด็จมางั้นหรือ ไม่ได้ส่งคนไปทูลฝ่าบาทหรือว่าช่วงนี้อย่าเข้ามา” 

 

 

“ไม่ใช่เพคะ หม่อมฉันบอกเรื่องนี้แก่ขันทีโดยตรงแล้วเพคะ” 

 

 

แม้ว่ารยูฮาจะไม่ได้มีความรู้สึกไวขนาดนั้น แต่ก็พอรู้ได้ว่าข้างนอกนั้นมีเสียงอึกทึกครึกโครมดังขึ้น แถมยังเป็นช่วงว่าราชการตอนเย็นจบสิ้นลงแล้วด้วย ทั้งๆ ที่ให้คนไปบอกแล้วว่าอย่ามา แต่ดูเหมือนว่าเขาจะไม่สนใจเลย เหล่านางในที่กำลังพูดคุยกันเจื้อยแจ้วอยู่ข้างๆ รยูฮาหรือไม่ก็ทำงานของตัวเองจึงรีบจัดของรอบๆ ให้เรียบร้อยและออกไปข้างนอก การที่ทุกคนจะต้องออกไปห่างๆ จากห้องนอนให้ไกลที่สุดเท่าที่จะทำได้ยกเว้นขันทีเพียงหนึ่งคน เมื่อพระราชาเสด็จมากลายเป็นเหมือนกฎระเบียบที่มีเฉพาะแค่วังจานยองเท่านั้นไปเสียแล้ว 

 

 

“พระราชาเส…” 

 

 

“เลิกทำแบบนั้นเสียที” 

 

 

ขันทีที่เผลอเปิดปากพูดทุกรอบแม้จะถูกสั่งให้ไม่ขานบอกทุกรอบถูกต่อว่าอีกครั้ง ฮอนใช้เท้าเตะจูฮวานแล้วดันออกไปข้างๆ ก่อนจะเปิดประตูออกอย่างแรงและพบว่ามีสีหน้าที่ตึงเครียดกว่าปกติต้อนรับเขาอยู่ แต่นี่แหละคือรสชาติของการเป็นพระราชา หลังจากเสร็จงานประจำวันแล้ว เขาก็วิ่งมาที่วังจานยองเพื่อจับมือของรยูฮาแม้เพียงสักครั้งก็ตาม 

 

 

“เสด็จมาได้อย่างไรเพคะ” 

 

 

“ก็ข้าคิดถึงเจ้า อย่าทำหน้าตึงแบบนั้นสิ” 

 

 

ฮอนอมยิ้มอย่างมีเลศนัยก่อนจะประชิดตัวรยูฮาและกระซิบกระซาบอย่างไร้ยางอาย กลายเป็นคนเจ้าเล่ห์ไปแล้วสินะ รยูฮารู้สึกเสียดายที่ไม่ได้เห็นความน่ารักแบบเมื่อก่อนอีกแล้วและละสายตาออกจากเขา 

 

 

“พวกเราแอบออกไปกันดีหรือไม่” 

 

 

“เดี๋ยวจูฮวานก็ร้องไห้หรอกเพคะ” 

 

 

“ตอนนี้ก็ครบกำหนดยี่สิบเอ็ดวันหลังคลอดแล้ว แต่เห็นว่าร่างกายของคังยังอ่อนแออยู่จึงไม่สามารถออกไปข้างนอกได้จนกว่าจะครบร้อยวัน” 

 

 

“ฝ่าบาททรงต้องเป็นแบบอย่างที่ดีให้แก่เหล่าข้าราชบริพารสิเพคะ จะทรงเข้าๆ ออกๆ ข้างนอกแบบนี้ได้อย่างไรเพคะ” 

 

 

“แค่ครู่เองเดียวไม่ใช่หรือ แถมยังไม่ได้ไกลขนาดนั้นด้วย” 

 

 

“วันนี้งานเยอะมาก หม่อมฉันเหนื่อยแล้วเพคะ เสด็จกลับไปตำหนักบรรทมเถิดเพคะ” 

 

 

หากเป็นเมื่อก่อนก็คงจะรู้สึกเสียใจที่รยูฮาปฏิเสธข้อเสนอของตนเองทิ้งแบบตรงๆ แต่ฮอนได้ตระหนักแล้วว่าตัวเองโตขึ้นมาก เขาสัมผัสได้ถึงบางอย่างที่ดูมีพิรุธในดวงตาของนางที่ไร้การสั่นไหว 

 

 

“รู้อยู่แล้วสินะ เรื่องยี่สิบเอ็ดวันหลังคลอด” 

 

 

“เรื่องของหลาน ทำไมหม่อมฉันจะไม่รู้เพคะ” 

 

 

“แต่ทำไมเจ้าถึงดูไม่ผิดหวังเลยที่คังยังออกมาไม่ได้” 

 

 

ดวงตาที่มองเลยผ่านไหล่ของฮอนไปหันมาหยุดมองที่เขาครู่หนึ่ง ก่อนจะมองตรงไปนอกหน้าต่างอีกครั้ง 

 

 

“จะไปผิดหวังเรื่องนั้นได้อย่างไรเพคะ ในเมื่อเขาเกิดก่อนกำหนด” 

 

 

“ถ้าไปกันสองคนก็คงจะโดยท่านพ่อตาต่อว่าเป็นสองเท่า แต่ถ้าเจ้าไปคนเดียวก็คงจะไม่โดนสินะ แถมน่าจะไม่ถูกเสด็จย่าจับได้ด้วย” 

 

 

“ทรงพูดเรื่องอะไรเพคะ” 

 

 

รยูฮาทำแค่เพียงลูบเส้นผมที่ปล่อยยาวลงมาอย่างไม่สนใจ หากมองเผินๆ เหมือนนางยังคงเหมือนเดิมไม่เปลี่ยนแปลง แต่แล้วมือของนางก็ถูกฮอนจับไว้ก่อนที่จะวางไว้บนตักเหมือนเดิม 

 

 

“ไม่มีแหวนคู่นี่ เจ้าถอดออกเพราะจะแอบออกไปข้างนอกใช่หรือไม่” 

 

 

เครื่องประดับเพียงอันเดียวที่รยูฮาสวมอยู่เสมอเว้นเสียแต่ตอนนอนและตอนอาบน้ำ นั่นก็คือแหวนคู่ฝังอัญมณีสีแดง แต่บัดนี้สิ่งที่มีเพียงสตรีระดับสูงสุดในอาณาจักรเท่านั้นที่จะมีได้กลับถูกถอดออกไป 

 

 

“บอกไปแล้วว่าเหนื่อยไม่ใช่หรือเพคะ หม่อมฉันกำลังคิดว่าจะเข้านอนเร็วเพคะ” 

 

 

“แต่ดูเหมือนเจ้าจะยังไม่ได้อาบน้ำเลยนะ” 

 

 

พลาดแล้ว ตอนนี้เขาคืองูที่มีอายุร้อยปีไม่ใช่เด็กที่น่ารักน่าเอ็นดูอีกต่อไป เขาที่เคยเชื่อตามที่นางล้อเล่นหรือหลอกกลับกลายเป็นอ่านกลยุทธ์ของรยูฮาออกทั้งหมด นางได้วางแผนแอบหนีออกไปคนเดียวเพื่อที่จะได้ฟังเสียงบ่นของท่านมหาเสนาบดีน้อยลงไว้หมดแล้ว จึงส่งเสียงจิ๊ปากอย่างไม่พอใจพร้อมกับเอามือออก 

 

 

“มันจะสะดุดตาเกินไปหากไปด้วยกันกับฝ่าบาทเพคะ แถมยังไม่สามารถหนีออกจากการคุ้มกันไปได้ด้วย” 

 

 

“ทำไมถึงได้ใจร้ายแบบนี้ สามีภรรยาคือหนึ่งเดียวกันไม่ใช่หรือ” 

 

 

“ทรงไปเรียนคำพูดเหลวไหลแบบนั้นมาจากที่ไหนเพคะ งั้นก็ดีเลยเพคะ วันนี้หม่อมฉันว่าจะออกไปคนเดียว เพราะฉะนั้นโปรดทรงช่วยดูแลห้องไม่ให้พวกคนรับใช้สังเกตเห็นให้หน่อยเพคะ” 

 

 

ในเมื่อเป็นเช่นนี้แล้ว รยูฮาจึงตัดสินใจที่จะออกไปข้างนอกอย่างหน้าด้านๆ จากนั้นจึงหยิบชุดคลุมออกมาอย่างนิ่งเฉย ฮอนพูดไม่ออกหลังจากได้เห็นความดื้อรั้นนั้น แต่เขาก็ไม่ใช่ง่ายๆ เขาข่มขู่ว่าจะไปฟ้องเสด็จย่าที่วังจางชุนหากนางออกไปคนเดียว ดังนั้นในท้ายที่สุดทั้งสองคนก็ทิ้งขันทีซึ่งมีสีหน้าบูดเบี้ยวเอาไว้ ก่อนจะแอบออกไปจากพระราชวัง 

 

 

“โอ้ ให้ตายสิ” 

 

 

หลังจากได้ยินเสียงบ่นจากท่านมหาเสนาบดีกับนายหญิงตระกูลจองมาสักระยะหนึ่งว่า ‘ทำไมถึงทรงเสด็จเข้าออกข้างนอกบ่อยขนาดนี้พ่ะย่ะค่ะ ทรงต้องรักษาเกียรติไว้ด้วยสิพ่ะย่ะค่ะ กระหม่อมจะกราบทูลให้พระพันปีทรงทราบทันทีที่ได้เข้าไปในพระราชวัง’ คำพูดเมื่อกี้คือคำพูดคำแรกของรยูฮาหลังจากที่พบกับคังซึ่งถูกห่ออยู่ในผ้าไหม ตัวเล็กกว่าที่คิด แถมยังน่ารักน่าชังมากอีกด้วย ฮอนมองดูรยูฮาซึ่งไม่สามารถละสายตากลมโตออกจากองค์ชาย แล้วจึงเบือนหน้าไปด้วยหัวใจที่หนักอึ้ง 

 

 

“อันนี้คืออันที่ข้าทำใช่ไหม” 

 

 

“ใช่แล้วเพคะ” 

 

 

 

 

 

 

 

 

[1] ออซาบู ฝ่ายข้าราชการของเกาหลีโบราณ ดูแลเรื่องการศึกษา