มินอาตอบด้วยเสียงปนหัวเราะพลางยกมือของคังขึ้นมาเล็กน้อยเพื่อให้เห็นชัดๆ ถุงมือที่รยูฮาทำด้วยฝีมือที่ไม่ได้เรื่องเลยนั้นใส่ได้พอดีกับมือเล็กๆ ของเขาเป็นอย่างมาก ไม่รู้ทำไมถึงรู้สึกเหมือนมีอะไรบางอย่างเบ่งบานขึ้นข้างในมุมหนึ่งของจิตใจ ปลายนิ้วที่มีความระมัดระวังเป็นอย่างมากถูกดึงกลับมาอย่างน่าเสียดายหลังจากลูบแค่ตรงถุงมือเบาๆ ไม่กล้าสัมผัสโดนผิวหนังโดยตรง 

 

 

“ทำไมผิวถึงได้ขาวขนาดนี้นะ” 

 

 

“ทรงลองอุ้มดูสักครั้งสิเพคะพระมเหสี” 

 

 

“ถ้าเกิดตกขึ้นมาจะว่าอย่างไรล่ะ ข้าขอดูอย่างเดียวก็พอ” 

 

 

มินอาเสนอพลางยื่นห่อผ้าไหมที่ห่อคังไว้ให้ แต่รยูฮาตกใจกลัวจึงส่ายหน้าไปมาพร้อมกับซ่อนแขนไว้ข้างหลัง ฮอนที่อยู่ข้างๆ ก็ทำแบบเดียวกัน อย่าว่าแต่จะลองอุ้มเลย แม้แต่จะสัมผัสยังไม่กล้า ดวงตาของทั้งคู่ที่ยื่นหน้าเข้าไปเพ่งมองคังซึ่งกำลังหลับใหลกลมโตขึ้นพร้อมกันราวกับรู้สึกมหัศจรรย์ กำลังหลับอยู่แน่ๆ แต่ทำไมถึงยิ้มน่ารักแบบนี้ 

 

 

“คังมองหม่อมฉันแล้วยิ้มเพคะฝ่าบาท” 

 

 

“พูดอะไรกัน ข้าเป็นคนตัดสายสะดือให้ไม่ใช่รึ เขามองข้าแล้วยิ้มต่างหาก” 

 

 

“นั่นเป็นแค่หน้าของทารกแรกเกิดขณะหลับน่ะเพคะ เด็กที่นอนหลับอยู่จะมองเห็นอะไรได้เพคะ” 

 

 

มินอาตัดบทการทะเลาะของทั้งคู่อย่างเมินเฉยก่อนจะปรับท่าอุ้มคัง ไม่รู้ว่าตื่นเพราะปรับท่าอุ้มหรือตื่นเพราะเสียงดังโวยวาย คังที่กำลังหลับสนิทอยู่เมื่อครู่ลืมตาขึ้นมาช้าๆ และหันไปมองรอบๆ และในไม่ช้าก็ร้องไห้จ้าออกมา 

 

 

“อุแว้! อุแว้!” 

 

 

“เขาร้องไห้เพราะฝ่าบาทนั่นแหละเพคะ!” 

 

 

“เสียงเจ้าดังกว่าอีก!” 

 

 

“โปรดออกไปทั้งคู่เพคะ ดูเหมือนว่าองค์ชายจะทรงตกใจเพคะ” 

 

 

ทารกแรกเกิดที่อายุได้ไม่ถึงเดือนคงจะตกใจน่าดู มินอารู้ว่าลูกแค่ร้องไห้เพราะหิว แต่ก็เริ่มเบื่อที่สองคนนั้นเถียงกันไม่หยุดหย่อนจึงบังคับให้พวกเขาออกไป 

 

 

ฮอนกับรยูฮาจ้องมองคังอีกครั้งเป็นการส่งท้ายด้วยความเสียดาย ก่อนจะถูกไล่ออกไปจากห้องและไปนั่งยองๆ อยู่ตรงสวนหน้าบ้านอันมืดสนิท หลังจากจมอยู่กับความคิดชั่วครู่ รยูฮาก็เป็นฝ่ายเริ่มพูดก่อน 

 

 

“น่ารักเหลือเกินเพคะ เป็นครั้งแรกที่หม่อมฉันได้เห็นเด็กตัวเล็กๆ ขนาดนั้นเพคะ” 

 

 

“ข้าเองก็เพิ่งเคยเห็นเด็กเป็นครั้งแรกเหมือนกัน” 

 

 

“ความจริงแล้ว หม่อมฉันก็เพิ่งเคยเห็นเด็กเป็นครั้งแรกเพคะ” 

 

 

“ดวงตาเหมือนกับเสด็จพี่เลย” 

 

 

“หน้าผากก็เหมือนกับมินอาเพคะ” 

 

 

“ปากก็เหมือนข้านิดหน่อยนะว่าไหม” 

 

 

“อืม น่าจะเหมือนตรงมีสีแดงระเรื่อและงดงามเหมือนกัน” 

 

 

ความเศร้าสร้อยปรากฏในดวงตาของรยูฮาซึ่งปิดปากสนิททันทีหลังจากพูดคุยกระหนุงกระหนิงกัน ก่อนจะจ้องมองไปยังท้องฟ้าอันมืดมิด แม้จะไม่ได้พูดออกมา แต่ข้างในใจของนางจะเจ็บขนาดไหนกันนะ ควรจะรับนางสนมเข้ามาและมีลูกให้รยูฮาได้อุ้มดีไหม หลังจากคิดอะไรไร้สาระไปพักหนึ่ง ฮอนก็ส่ายหัวพลางลุกขึ้นพร้อมกับสะบัดชายเสื้อ 

 

 

“ไปกันเถอะ ถ้าดึกไปกว่านี้เดี๋ยวจะเกิดเรื่องวุ่นวายอีก” 

 

 

ทั้งสองคนซึ่งมีสีหน้าดีขึ้นผิดกับตอนมาเดินผ่านถนนยามราตรีอีกครั้งเพื่อกลับไปยังพระราชวัง หลังจากวันนั้นจิตใจของรยูฮาก็มักจะลอยไปที่อื่นเสมอๆ แต่ก็อย่างว่าโดยธรรมชาติแล้วจิตใจของคนเรามักจะหมกมุ่นอยู่กับสิ่งที่ตนไม่มีและสิ่งที่มีไม่ได้อยู่แล้ว 

 

 

 

 

 

นางซึ่งเป็นคนยิ้มน้อยอยู่แล้ว ตอนนี้เพียงแค่ฮอนพูดอะไรหรือเอาอะไรมาให้ก็ทำแค่เพียงยิ้มให้เล็กๆ และไม่ได้รู้สึกดีใจใดๆ แม้กระทั่งชาที่ฮอนชงมาให้ด้วยตัวเองก็เช่นกัน 

 

 

“ขอบพระทัยเพคะฝ่าบาท” 

 

 

รยูฮาขอบคุณด้วยเสียงที่ฟังดูไม่ได้ขอบคุณอย่างที่พูด จากนั้นจึงจรดริมฝีปากที่ถ้วยชาอย่างไม่สนใจ เมื่อสัมผัสได้ว่าทั้งกลิ่นและรสชาติแตกต่างจากปกติพอสมควรจึงหันไปมองฮอนด้วยแววตาปนความสงสัย 

 

 

“กลุ่มการค้ากลับมาจากประเทศฝั่งตะวันตกแล้ว” 

 

 

ฮอนตอบด้วยรอยยิ้มก่อนที่รยูฮาจะได้เอ่ยปากถาม กลุ่มการค้ากลับมาพร้อมกับบรรทุกผลิตภัณฑ์ อาหาร ยาและชาของฝั่งตะวันตกมามากมาย ไม่ใช่เพียงแค่ปืนใหญ่อย่างเดียวเท่านั้น ส่วนกลุ่มคนคุ้มกันที่ฮอนส่งไปได้เลือกเอามาเฉพาะสิ่งของที่มีค่าที่สุดจากในบรรดาทั้งหมด หลังจากที่ขึ้นไปซ่อนปืนใหญ่ไว้ในภูเขาลึกเสร็จเรียบร้อยแล้ว ซึ่งชาที่เขาเอามาให้รยูฮาด้วยตัวเองก็คือหนึ่งในนั้น 

 

 

“เป็นรสชาติที่แปลกมากเพคะ” 

 

 

“ไม่ชอบอย่างนั้นรึ หลังจากลองชิมเอง ข้าก็เลือกเอาอันที่รสชาติที่ดีที่สุดมาเลยนะ” 

 

 

นางยังจำใบหน้าของฮอนที่ลองชิมทุกอันแล้วครุ่นคิดว่าอันไหนดีที่สุดได้ดี รยูฮาจึงระเบิดเสียงหัวเราะออกมาหลังจากที่ไม่ได้หัวเราะมานานพร้อมกับใช้ปลายนิ้วลูบแก้มของเขาอย่างอ่อนโยน 

 

 

“รสชาติดีมากเพคะ มีพอจะให้หม่อมฉันดื่มทุกวันหรือไม่เพคะ” 

 

 

“แน่นอน ข้าจะชงมาให้เจ้าทุกวันเลย” 

 

 

ฮอนเริ่มคุยโวอีกครั้งหลังจากอารมณ์ดีขึ้นเพราะรอยยิ้มของรยูฮา ทั้งคำพูดของรยูฮาที่บอกว่าจะดื่มทุกวัน และคำพูดของฮอนที่บอกว่าจะชงมาให้ทุกวันต่างก็ไม่ใช่คำพูดลอยๆ เพราะชาอันนั้นถูกปากของรยูฮาจริงๆ 

 

 

หลังจากเสร็จงานประจำวัน ฮอนก็จะชงชาให้รยูฮาและเฝ้ามองดูท่าทางของนางที่ดื่มชาด้วยสีหน้าพึงพอใจ ส่วนรยูฮาก็เพลิดเพลินไปกับกลิ่นชาที่มีความขมเล็กน้อยพลางขอบคุณฮอนอยู่ในใจ เป็นเช่นนี้สม่ำเสมอทุกวันไม่ขาดแม้แต่วันเดียว จนกระทั่งใบชาที่นำมาเยอะมากหมดเกลี้ยง 

 

 

“อันนี้อันสุดท้ายแล้วหรือเพคะ” 

 

 

“ข้าจะส่งคนไปยังประเทศฝั่งตะวันตกอีก ตอนนั้นคงต้องเอามาเพิ่มอีกเยอะๆ แล้วแหละ” 

 

 

พอรยูฮาถามกลับราวกับเสียดาย ฮอนจึงยิ้มเล็กน้อยพลางตบไหล่นางเบาๆ ถ้าชอบขนาดนี้ก็คงจะต้องหามาเพิ่มให้แล้ว แม้จะต้องทุ่มหมดตัวก็จะต้องเอามาให้ได้ หลังจากค่อยๆ ดื่มอย่างช้าๆ เป็นพิเศษ ในที่สุดถ้วยชาที่ว่างเปล่าก็ส่งเสียงดังกิ๊กในขณะที่ถูกวางลงบนโต๊ะ ซึ่งในตอนนั้นเองก็มีเสียงขานบอกของยางจินจากด้านนอก 

 

 

“ได้เวลาเสวยยาสมุนไพรแล้วเพคะพระมเหสี” 

 

 

“อ้า เข้ามาสิ” 

 

 

มันคือยาสมุนไพรถ้วยสุดท้ายจากในบรรดายาสมุนไพรที่ถูกนำเข้ามาหลายรอบต่อวันโดยไม่หยุดพัก ซึ่งมันมีรสชาติขมมากที่สุดในบรรดายาทั้งหมด รยูฮาทอดสายตามองดูยาสมุนไพรซึ่งต้มจนเหนียวข้น แล้วจึงหลับตาและดื่มมันเข้าไปรวดเดียว ฮอนมองดูพลางทำหน้าเหยเกประหนึ่งว่าเป็นคนดื่มยานั่นเอง จากนั้นจึงหยิบควาพยอน[1]ที่มีรสชาติหวานป้อนใส่ปากให้ทันทีที่รยูฮาวางถ้วยยาลง และจากนั้นไม่นาน 

 

 

“กรี๊ด! พระมเหสี!” 

 

 

ยางจินซึ่งกำลังจะเก็บถ้วยออกไปกรีดร้องออกมาและทำโต๊ะสำรับหล่น เลือดสีแดงเข้มหยดติ๋งๆ ลงตรงระหว่างเศษถ้วยที่แตกและเกิดเสียงดังครึกโครม มันคือเลือดที่ไหลออกมาจากปากจองรยูฮาซึ่งยังคงงุนงงอยู่ว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้น 

 

 

“รยูฮา! หมอหลวง ไปตามหมอหลวงมา!” 

 

 

เสียงตะโกนของฮอนซึ่งกอดรยูฮาเอาไว้โดยไม่สนใจว่าเสื้อคลุมมังกรทองจะเปื้อนเลือดดังสนั่นไปทัวพระราชวัง ก้อนเลือดสีแดงเข้มกระอักออกมาอีกครั้งและเลอะเปรอะเปื้อนไปตามพื้น หลังจากนั้นศีรษะของรยูฮาก็ร่วงลง นางจึงหมดสติอยู่ในอ้อมกอดของฮอน 

 

 

 

 

 

ในห้องบรรทมซึ่งไม่ได้เล็กเลยเต็มไปด้วยผู้คนมากมาย แต่จากนั้นไม่นานก็กลับมาว่างเปล่าอีกครั้ง ฮอนนั่งเฝ้าตรงหัวนอนของรยูฮา ความไม่สบายใจที่อัดแน่นอยู่ภายในใจ เหงื่อกาฬที่ไหล่ท่วมออกมาราวกับน้ำในแม่น้ำหลังจากฝนตก หลังจากเลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อย หมอหลวงก็ลืมตาขึ้นแล้วเอามือออก จากนั้นจึงโค้งศีรษะให้ฮอน 

 

 

“ฝ่าบาท กระหม่อมไม่รู้สึกถึงความผิดปกติใดๆ ในพระวรกายของพระมเหสีเลยพ่ะย่ะค่ะ” 

 

 

“นางเพิ่งอ้วกเป็นเลือดแล้วสลบไป! แต่เจ้ากลับบอกว่าไม่มีอะไรผิดปกติอย่างนั้นรึ!” 

 

 

เขาหวังว่าจะได้ยินคำว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้น แต่พอได้ยินเข้าจริงๆ กลับไม่อยากจะเชื่อหูตัวเอง ฮอนรู้ว่าตัวเองกำลังดื้อดึงอยู่ แต่ก็ทำอะไรไม่ได้นอกจากดื้อดึงแบบนี้ จะให้บอกว่าโชคดีที่อย่างน้อยก็ได้สัมผัสถึงความรู้สึกของรยูฮาในตอนที่เขาหมดสติหลังจากดื่มยาพิษเข้าไปอย่างนั้นหรือ ฮอนจับหมอหลวงที่ไม่มีความผิดใดๆ และตะคอกให้เขาตรวจชีพจรอีกครั้ง แต่ในตอนนั้นเองเสียงอันแผ่วเบาก็ได้หยุดเขาไว้ 

 

 

“ฝ่าบาท…หนวกหู…เพคะ” 

 

 

“พระมเหสี!” 

 

 

ท่าทีของเขาที่โวยวายเหมือนกับกำลังจะคว้าคอเสื้อของหมอหลวงมาเขย่าเดี๋ยวนั้นเปลี่ยนไปในพริบตา ตั้งสติไว้ เป็นอย่างไรบ้าง ไม่เวียนหัวใช่ไหม ข้างในไม่เป็นไรใช่ไหม ในขณะที่คำถามและความเป็นห่วงหลั่งไหลเข้ามารวดเดียว รยูฮายกมืออันซีดเซียวขึ้นมาแล้วขยับขึ้นลงเบาๆ จากนั้นกระซิบอย่างแผ่วเบาแต่ชัดเจนตรงข้างหูของฮอนซึ่งเลื่อนมาอยู่ตรงหน้าริมฝีปากของนางตามการกวักมือนั้น 

 

 

“หนวกหูเพคะ…ปวดหัว” 

 

 

 

 

 

* * * 

 

 

 

 

 

 

 

 

[1] ควาพยอน ขนมเกาหลีชนิดหนึ่ง ทำจากน้ำผลไม้ผสมน้ำผึ้ง คล้ายกับเยลลี่ซึ่งเป็นขนมของฝั่งตะวันตก