พระราชวังซึ่งเกิดเรื่องโกลาหลขึ้นสักพักหนึ่งกลับมาเงียบสงบเหมือนเดิม หลังจากที่วันต่อมาพระมเหสีสามารถเดินเหินไปไหนมาไหนได้ตามปกติเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น ทุกสิ่งทุกอย่างตั้งแต่ยาสมุนไพร ควาพยอนซึ่งเสวยคู่กัน รวมไปถึงถ้วยที่ใช้ใส่และหมอต้มยาถูกนำไปตรวจสอบ แต่ก็ไม่ค้นพบร่องรอยของยาพิษใดๆ แม้กระทั่งยาสมุนไพรนั้นก็เป็นยาที่หมอหลวงต้มด้วยตนเองจึงแทบไม่มีโอกาสเลยที่จะใส่สมุนไพรผิด จากนั้นเวลาก็ได้ล่วงเลยผ่านไปโดยทิ้งไว้เพียงความค้างคาใจเล็กๆ น้อยๆ เท่านั้น ในระหว่างนั้นฮอนได้ส่งกลุ่มการค้าไปเอาชาที่รยูฮาชอบมาอีกครั้ง 

 

 

“โชคดีนะเพคะที่อากาศไม่ได้หนาวมาก” 

 

 

รยูฮาพึมพำในขณะที่เงยหน้ามองท้องฟ้าสีครามสดใส แม้ว่าฤดูหนาวจะใกล้เข้ามาแล้ว แต่อากาศก็ยังคงอบอุ่นอยู่อย่างประหลาด แต่เมื่อเห็นไอที่ออกมาจากปากเลือนรางอยู่ตรงหน้า บางทีที่รู้สึกอบอุ่นอาจจะเป็นเพราะสองมือที่จับกันแน่นก็ได้ หลังจากประกาศว่าวันนี้จะไม่มีการออกว่าราชการทั้งช่วงเช้าและเย็น ฮอนจึงสามารถเดินเล่นในพระราชวังกับรยูฮาได้อย่างผ่อนคลาย 

 

 

“ถ้าเป็นแบบวันนี้ทุกวันก็คงจะดี” 

 

 

“อยากเที่ยวเล่นอย่างวันนี้หรือเพคะ” 

 

 

“แค่พวกเราสองคน” 

 

 

ใบหน้าที่อมยิ้มเลื่อนลงมาหยุดอยู่ตรงหน้ารยูฮาอย่างพอดิบพอดี หางตายาววาดเส้นโค้งอันน่าหลงใหลพลางจับจ้องไปที่รยูฮา รยูฮาหลับตาลงสักพักและถอนหายใจออกมาเบาๆ จากนั้นหันหน้าขวับอย่างเย็นชาแล้วก้าวเดินต่อ เพราะกลัวว่าจะเสียศักดิ์ศรีหากถูกจับได้ว่าหัวใจเต้นแรงขัดกับความตั้งใจของตนเอง 

 

 

“เมื่อกี้นี้เหมือนเจ้าจะยิ้มด้วยนี่” 

 

 

ฮอนที่ยังคงอมยิ้มกรุ้มกริ่มเดินมาตรงหน้านางและเริ่มพูดหยอกล้อ 

 

 

“ใครยิ้มกันเพคะ” 

 

 

“เจ้าคิดว่าหลอกข้าได้รึ” 

 

 

“อ้า จริงๆ เลย” 

 

 

ปึก หน้าผากของรยูฮาที่เดินไปก้มหน้าไปชนเข้ากับหน้าอกของฮอนซึ่งจู่ๆ ก็หยุดเดินเสียอย่างนั้น น่าจะจงใจหยุดยืนอย่างแน่นอน จากนั้นแขนเสื้อกว้างก็โอบกอดรยูฮาพร้อมกันนั้นนางได้กลิ่นอายของแดดอันอบอุ่นราวกับว่าสิ่งนั้นรอคอยนางอยู่แล้ว 

 

 

“สวรรค์คงอยากให้ข้าทำหน้าที่กษัตริย์ให้มากกว่านี้และคงจะส่งลูกมาให้ช้าหน่อยสินะ เพราะถ้ามีองค์รัชทายาท ข้าจะส่งมอบตราพระมหากษัตริย์ให้เขาทันทีและย้ายไปอยู่ในตำแหน่งอดีตพระราชาเพื่อที่จะได้มองแต่หน้าเจ้าอย่างเดียว” 

 

 

ฮอนไม่เคยพูดเลยว่าเสียใจที่มีลูกไม่ได้หรือไม่มีรัชทายาท รยูฮาจึงรู้สึกขอบคุณเขา ถึงแม้จะปวดใจก็ตาม แม้ว่าฮอนจะเป็นพระราชาที่ยอดเยี่ยมและประชาชนทุกคนต่างก็สรรเสริญเขา แต่ราชบัลลังก์ที่ไร้ซึ่งรัชทายาทก็ไม่ต่างอะไรกับปราสาทที่สร้างขึ้นบนทราย ด้วยเหตุนั้นพระราชาแห่งฮเยกุกจึงพยายามอย่างเต็มที่ในการตามหาโฮจินและแต่งตั้งให้เขาเป็นองค์รัชทายาท รยูฮายกมือขึ้นกอดเอวฮอนเบาๆ และซบหน้าลงในอกกว้าง 

 

 

“ฝ่าบาท พระชายาแห่งมูยองวังเสด็จเข้าพระราชวังมาแล้วพ่ะย่ะค่ะ” 

 

 

น้ำเสียงเล็กๆ ราวกับผู้หญิงของขันทีดังแทรกขึ้นมาขณะที่ทั้งคู่อิงแอบแนบชิดกัน แต่พวกเขาก็ไม่ได้รู้สึกเสียดายอะไรเพราะความคาดหวังที่ทะลักเข้ามาในตอนนี้มีมากเสียยิ่งกว่า 

 

 

ฝีเท้าที่เร็วขึ้นกว่าก่อนหน้านี้มุ่งตรงไปยังวังจางชุนโดยไม่รีรอ ซึ่งที่นั่นเต็มไปด้วยเสียงดังเจี๊ยวจ๊าวต่างจากเวลาปกติ ไม่ว่าจะเป็นเสียงหัวเราะของพระพันปีซึ่งไม่เคยเล็ดลอดผ่านประตูวังออกมา หรือไม่ว่าจะเป็นเสียงของเหล่าซังกุงที่เอ่ยปากอย่างตื่นเต้น 

 

 

“ตายจริง องค์ชายของพวกเราช่างอ่อนโยนเสียจริง องค์ชาย มองย่าหน่อยสิ” 

 

 

“ทรงมีพระพักตร์ที่งามมากจริงๆ เพคะ เป็นครั้งแรกที่หม่อมฉันได้เห็นทารกแรกเกิดซึ่งมีคิ้วที่เข้มและชัดเช่นนี้เพคะ พระพันปี” 

 

 

หญิงชราอุ้มเหลนซึ่งหน้าตาคล้ายคลึงกับหลานที่จากไปยังที่แสนไกลไม่ปล่อยพร้อมกับร้องไห้แล้วก็หัวเราะขึ้นมาอีก พอฮอนกับรยูฮาเข้ามาด้านในและโค้งคำนับ นางก็พูดเพียงแค่ อืม เข้ามาสิ คำพูดของรยูฮาซึ่งเอ่ยขึ้นราวกับเย้าแหย่จึงไม่ใช่เรื่องที่เกินจริงไปนัก 

 

 

“ดูเหมือนว่าเสด็จย่าจะไม่มองว่าหลานสะใภ้น่ารักแล้วสินะเพคะ” 

 

 

“คงไม่อย่างนั้นหรอก แค่องค์ชายของพวกเราน่ารักกว่านิดหน่อยเท่านั้นเอง” 

 

 

สีหน้าสดใสที่ได้เห็นเป็นครั้งแรกหลังจากการจากไปของชาน เมื่อพระพันปีหยุดชะงักและจ้องมองคังอยู่อย่างนั้นสักพัก จากนั้นไม่นานมินอา รวมถึงฮอนกับรยูฮาก็ขมวดคิ้วเล็กน้อยก่อนจะระเบิดหัวเราะออกมา กลิ่นหอมรัญจวนแผ่กระจายไปทั่วห้องภายในพริบตา หลังจากอึออกมาอย่างน่าอาย คังก็ยิ้มแย้มด้วยความสงสัยว่าตลกอะไรกันแทนที่จะร้องไห้ ก่อนที่แม่นมจะอุ้มออกไปข้างนอก 

 

 

“พอรู้ว่าคลอดก่อนกำหนด ย่าคนนี้ก็กังวลไม่น้อยเลยทีเดียว เหนื่อยแย่เลยนะพระชายา” 

 

 

“ขอบพระทัยเพคะเสด็จย่า องค์ชายทรงประสูติออกมาตัวเล็กนิดหน่อย แต่อย่างที่ทรงเห็น พระองค์ทรงแข็งแรงมากเพคะ” 

 

 

แม้ว่ามินอาจะเป็นบุตรสาวบุญธรรมของท่านมหาเสนาบดีแต่นางก็เป็นชนชั้นกลางโดยกำเนิด นางจึงส่งยิ้มให้อย่างอ่อนหวานที่สุดเท่าที่จะทำได้เพื่อเป็นการขอบคุณพระพันปีที่เอ็นดูตนซึ่งเป็นเด็กที่ถูกเก็บมาเลี้ยงในฐานะพระชายาอย่างเปิดใจ ฮอนที่เห็นความพยายามนั้นก็ยิ้มออกมา ในขณะเดียวกันรยูฮาเองก็ยิ้มเช่นกัน หากชานยังคงมีชีวิตอยู่ก็คงจะมีความสุขมากทีเดียว พระพันปีพยายามกลืนความเศร้าที่ติดอยู่ตรงคอลงไป 

 

 

“ได้ยินมาว่าเจ้ามีช่วงเวลาที่ยากลำบากมากเพราะว่าคลอดยาก” 

 

 

“เพคะเสด็จย่า หากในตอนนี้ฝ่าบาทไม่เสด็จมาล่ะก็คงจะเกิดเรื่องใหญ่ขึ้นแล้วเพคะ” 

 

 

“ฝ่าบาทหรือ” 

 

 

พระพันปีมองฮอนด้วยความฉงนเล็กน้อยและหันไปมองรยูฮา จากนั้นจึงหันกลับไปมองมินอาอีกครั้ง ใช่วันที่นางว่ากล่าวตักเตือนทั้งสองคนที่ไม่รู้จักโตอย่างรุนแรงเพราะแอบออกไปสร้างความเดือดร้อนให้กับบ้านท่านมหาเสนาบดีไหมนะ 

 

 

“ทรงไม่ทราบหรือเพคะ หม่อมฉันเกือบจะหมดสติไปแล้ว แต่ฝ่าบาททรงถีบประตูเข้ามาจับมือหม่อมฉันไว้เพคะ เพราะเหตุนั้นสติของหม่อมฉันจึงกลับคืนมาเพคะ” 

 

 

“มีเรื่องเช่นนั้นด้วยรึ ฝ่าบาทไม่ได้ตรัสบอก ย่าจึงไม่เคยรู้มาก่อนเลย” 

 

 

“ถึงกระหม่อมจะทำเช่นนั้นจริง อย่างไรเสียก็ต้องฟังคำต่อว่าอยู่ข้างๆ พระมเหสีตลอดทั้งครึ่งชั่วยามอยู่ดีไม่ใช่หรือพ่ะย่ะค่ะ นอกจากนั้นแล้วหากทูลบอกว่าเข้าไปในห้องคลอดก็คงจะโดนดุเพิ่มอีก” 

 

 

เพราะว่าที่เขาพูดก็ถูกต้อง พระพันปีจึงยิ้มออกมาเล็กน้อย แต่จะว่าไปมันผ่านไปตั้งร้อยวันแล้วหรือเนี่ย เหมือนกับเพิ่งเกิดขึ้นเมื่อวานเอง 

 

 

“ไม่ว่าจะพยายามตั้งสติแค่ไหน เบื้องหน้าของหม่อมฉันก็มืดมนขึ้นทุกที แต่พอฝ่าบาททรงจับมือหม่อมฉันและตรัสว่า มินอา ลืมตาขึ้นสิ หม่อมฉันจึงลืมตาขึ้นมาได้เพคะ” 

 

 

“โอ้ ตายจริง” 

 

 

พระพันปีถอนหายใจออกมาหลังจากภาพสถานการณ์อันเร่งด่วนนั้นถูกวาดขึ้นตรงหน้า พอได้ฟังก็ได้รู้ว่าเกือบจะเกิดเรื่องใหญ่ขึ้นจริงๆ รวมถึงเกือบจะไม่ได้เห็นและสูญเสียเหลนชายสุดที่รักคนนี้ไปเสียแล้ว 

 

 

“รวมถึงในตอนที่หม่อมฉันเกิดอาการเจ็บท้องคลอด ฝ่าบาทก็ทรงให้กำลังใจว่าทำได้ดีแล้วมินอา หม่อมฉันจึงสามารถมีแรงฮึดขึ้นมาเพคะ” 

 

 

“ฝ่าบาททรงทำได้ดีมากทีเดียวนะ” 

 

 

ฮอนซึ่งกำลังฟังทั้งสองคนสนทนากันเลิกคิ้วข้างหนึ่งขึ้นเล็กน้อยแล้วเอียงคอด้วยความสงสัย 

 

 

“ข้าทำแบบนั้นรึ” 

 

 

“ฝ่าบาททรงจับมือและตรัสว่าทำได้ดีแล้วมินอา ทำได้ดีแล้วไม่ใช่หรือเพคะ” 

 

 

“ที่ข้าจับมือก็ใช่แต่…หลังจากที่บอกให้ลืมตา ข้าก็ไม่ได้พูดอะไรอีกเลยนะ เพราะข้าเองก็กังวลและหายใจลำบากเหมือนกัน” 

 

 

‘ทำได้ดีแล้ว มินอา ทำได้ดีแล้ว’ 

 

 

เสียงที่เหมือนกับชานไม่ผิดเพี้ยนให้กำลังใจอย่างสุขุม ในขณะที่นางอยู่ท่ามกลางความเจ็บปวดราวกับกระดูกทั้งร่างกายแตกออกเป็นเสี่ยงๆ ไม่ใช่การคิดไปเองแน่นอน ที่นางมีพลังเฮือกสุดท้ายขึ้นมาได้ก็เพราะเสียงนั้นและเสียงนั้นก็ทำให้นางคลอดคังออกมาได้ราวกับถูกลากออกไปไม่ใช่หรือ ความเงียบปกคลุมภายในห้อง เมื่อมินอาปิดปากเงียบสักพักหนึ่ง 

 

 

“ดูเหมือนว่าชานของพวกเราจะมาหาสินะ เพื่อมาช่วยชีวิตลูกของตัวเอง” 

 

 

น้ำตาหยดหนึ่งคลอบนหางตาที่มีริ้วรอย ก่อนจะซึมเข้าไปในผ้าเช็ดหน้าสีขาว ฮอนควานหามือรยูฮาใต้โต๊ะและจับไว้แน่น ซังกุงพระพี่เลี้ยงซึ่งอุ้มคังเข้ามาถึงกับตกใจกับบรรยากาศที่ต่างกับตอนออกไปอย่างสิ้นเชิง ก่อนจะวางห่อผ้าไหมลงในอ้อมอกมินอาอย่างใจเย็น 

 

 

“ทั้งสองพระองค์ทรงลองอุ้มดูสิเพคะ ตาเหมือนกับฝ่าบาทอย่างกับแกะเลยเพคะ คิ้วเข้มๆ นั่นก็ด้วย” 

 

 

มินอาเรียกเขาต่อหน้าผู้อื่นเป็นครั้งแรกหลังจากชานได้จากไป ยังอยู่ข้างๆ สินะ ทุกครั้งที่เรียกหาในตอนที่เผชิญความลำบากเพียงคนเดียว ฝ่าบาทก็ยังคงอยู่เคียงข้างเสมอสินะ แม้จะคิดถึงอย่างสุดหัวใจแต่ตอนนี้นางไม่เหงาอีกแล้ว เพราะทั้งในขณะที่ถึงจุดวิกฤตที่คังเกือบเสียชีวิตในท้อง ทั้งในตอนที่เขาลืมตาดูโลกเร็วเกินไป เขายังคอยเฝ้าดูอยู่เคียงข้างภรรยาและลูกของตัวเองเสมอ และในอนาคตก็จะเป็นเช่นนั้นต่อไป คังซึ่งอยู่ในอ้อมกอดของรยูฮาดิ้นไปดิ้นมาและหัวเราะอย่างสดใส 

 

 

“ดูสิเพคะฝ่าบาท เขาหัวเราะเพราะเห็นหม่อมฉันเพคะ” 

 

 

“เห็นข้าก็เลยหัวเราะต่างหากเล่า” 

 

 

“เขาก็แค่หัวเราะเพคะฝ่าบาท”